วันที่ 29 ธันวาคม 2563 เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้ เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณา ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้กับร่างกฎกระทรวงฯ ที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกันซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
เป็นการกำหนดให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถยื่นคำขอต่อศาลให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับตามคำสั่งทางปกครอง โดยขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทนได้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 30 วัน เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วหากสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภามิได้มีมติทักท้วง ให้นำร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตสามารถชำระค่าธรรมเนียมในการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตได้ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้น ๆ ได้แก่ พระราชบัญญัติและประเภทของใบอนุญาตที่กำหนดในบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ (พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 พระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถาน พ.ศ. 2528 พระราชบัญญัติสถานพยาบาลสัตว์ พ.ศ. 2533 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 (เฉพาะกรณีที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมประมง กรมปศุสัตว์ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 และพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. 2559
2. กำหนดให้การชำระค่าธรรมเนียมแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตให้ชำระค่าธรรมเนียมตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในกฎหมายนั้น ๆ ณ สถานที่ทำการของผู้อนุญาตหรือผ่านช่องทางหนึ่งช่องทางใด ได้แก่ จุดบริการรับชำระค่าธรรมเนียม ธนาคาร ศูนย์บริการร่วม หรือศูนย์รับคำขออนุญาต ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ช่องทางอื่นใดที่เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
3. เรื่อง การขยายระยะเวลาการลดค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (ร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. ....)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเป็นการล่วงหน้าแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
เป็นการปรับปรุงเพื่อขยายระยะเวลาและลดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสาร พร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่น ที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. 2563 ลงกึ่งหนึ่ง สำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา เฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เนื่องจากกฎกระทรวงลดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ พ.ศ. 2560 จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2563
โดยมาตรการดังกล่าวกระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้จากการลดอัตราค่าธรรมเนียม โดยพิจารณาจากอัตราค่าธรรมเนียมในช่วง ปี พ.ศ. 2561 – พ.ศ. 2563 จำนวน 8,503,830 บาท แต่จะเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการสำคัญของรัฐบาล ช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบกับเป็นการส่งเสริมการลงทุนและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่
เศรษฐกิจ - สังคม
4. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 เรื่อง โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 เรื่อง โครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ (โครงการฯ) โดยขอขยายสถาบันฝ่ายผลิต จากเดิม “สถาบันอุดมศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา” (สกอ.) เป็น “สถาบันอุดมศึกษา” โดยจำนวนคนและจำนวนเงินงบประมาณอยู่ภายในกรอบของมติคณะรัฐมนตรีที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม ทั้งนี้ ให้มีผลครอบคลุมถึงนักเรียนในโครงการฯ ที่เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) ตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 อนุมัติในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา [สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ในปัจจุบัน] และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ดำเนินโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ภายใต้แผนการดำเนินงานใน 5 ปีการศึกษา (ปีการศึกษา 2561 - 2565) เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ - กีฬา และแผนการเรียนศิลป์ภาษา - กีฬา ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 2,519 คน จาก 12 โรงเรียน ได้ศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสถาบันอุดมศึกษาสังกัด สป.อว. และระดับอาชีวศึกษาในสังกัด สอศ. ภายในกรอบวงเงิน 551.68 ล้านบาท ซึ่งการดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 จนถึงปัจจุบันมีนักเรียนในโครงการที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 3 รุ่น เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 585 คน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาพบว่า มีนักเรียนในโครงการฯ ให้ความสนใจและมีความต้องการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาทางด้านกีฬาโดยตรงจากมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติแต่มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติเป็นสถาบันอุดมศึกษาสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เนื่องจากเป็นสถาบันการอุดมศึกษานอกสังกัด สป.อว. ทำให้ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินทุนการศึกษาได้ คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการประชุมครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2563 จึงมีมติเห็นชอบให้ สป.อว. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 โดยขอขยายขอบเขตสถาบันฝ่ายผลิต จากเดิม “สถาบันอุดมศึกษาในสังกัด สกอ.” เป็น “สถาบันอุดมศึกษา**” เพื่อให้ครอบคลุมสถาบันอุดมศึกษาทั้งในและนอกสังกัด สป.อว. รวมถึงนักเรียนในโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ที่เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ กก. ตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 ด้วย ทั้งนี้ จำนวนนักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษาและวงเงินงบประมาณยังอยู่ภายในกรอบเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้
__________________________________
หมายเหตุ : **พระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562 มาตรา 3 บัญญัติให้ “สถาบันอุดมศึกษา” หมายความว่า สถาบันที่จัดการอุดมศึกษาระดับปริญญาและระดับต่ำกว่าปริญญาทั้งที่เป็นของรัฐและของเอกชน
5. เรื่อง การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2564 - 2566 สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2564 - 2566 สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ตามมติคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 ตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอดังนี้
กรอบการค้า |
ปริมาณในโควตา (ตันต่อปี) |
อัตราภาษี |
1) เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ |
3.15 |
- ในโควตา ร้อยละ 0 - นอกโควตา ร้อยละ 218 |
2) หอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและไม่เป็นผง) |
764 |
- ในโควตา ร้อยละ 27 - นอกโควตา ร้อยละ 142 |
3) หัวพันธุ์มันฝรั่ง |
ไม่จำกัดจำนวน |
- ในโควตา ร้อยละ 0 - นอกโควต้า ร้อยละ 125 |
4) หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป |
- ปี 2564 จำนวน 63,000 - ปี 2565 จำนวน 71,000 - ปี 2566 จำนวน 80,000 |
- ในโควตา ร้อยละ 27 - นอกโควตา ร้อยละ 125 |
ทั้งนี้ การบริหารการนำเข้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขและการกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง (คณะอนุกรรมการฯ)
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า
คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 มีมติเห็นชอบการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลง WTO ปี 2564 - 2566 จำนวน 4 รายการ ได้แก่ เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ซึ่งมีปริมาณและอัตราภาษีแตกต่างจากที่ผูกพันไว้กับ WTO จึงต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ การเปิดตลาดสินค้าเกษตรดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ผลิตภายในประเทศ และยังเป็นการช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรได้ใช้เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ และหัวพันธุ์มันฝรั่งนำเข้าในราคาที่เหมาะสม สำหรับสินค้าหอมหัวใหญ่ที่นำเข้าเป็นชนิดแห้งเป็นผงและไม่เป็นผง ซึ่งประเทศไทยไม่สามารถผลิตได้ และสินค้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปมีผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ รวมถึงเป็นการให้สหกรณ์ซึ่งมีเกษตรกรเป็นสมาชิกมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้วย โดยมีการบริหารการนำเข้าอยู่ภายใต้เงื่อนไขและการกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ชนิดสินค้า |
รายละเอียด |
1) เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ |
ให้ชุมนุมสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่แห่งประเทศไทย จำกัด (ชุมนุมสหกรณ์ฯ) เป็นผู้นำเข้าแต่เพียงผู้เดียว |
2) หอมหัวใหญ่ |
ให้ชุมนุมสหกรณ์ฯ เป็นผู้บริหารการนำเข้าเพื่อจัดสรรให้นิติบุคคลเป็นผู้นำเข้า |
3) หัวพันธุ์มันฝรั่ง |
อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่คณะอนุกรรมการฯ กำหนด ได้แก่ 3.1) ให้มีการพิจารณาจัดสรรการนำเข้าหัวพันธุ์มันฝรั่งปีละ 3 ครั้ง เพื่อนำไปส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก 3.2) ให้นิติบุคคลเป็นผู้นำเข้าและให้ผู้นำเข้าทำหนังสือรับรองพื้นที่เพาะปลูก 3.3) ผู้นำเข้าต้องจำหน่ายหัวพันธุ์มันฝรั่งให้แก่เกษตรกรไม่เกินกิโลกรัมละ 35 บาทและรับซื้อหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปจากเกษตรกร ดังนี้ - ในช่วงฤดูฝน (กรกฎาคม - ธันวาคม) ราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 14 บาท - ในช่วงฤดูแล้ง (มกราคม - มิถุนายน) ในปีเพาะปลูก 2564/2565 และ 2565/2566 ราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 10.80 บาท และในปีเพาะปลูก 2566/2567 ราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 11.00 บาท (เดิมไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 10.60 บาท) |
4) หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป |
อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่คณะอนุกรรมการฯ กำหนด ได้แก่ 4.1) ผู้นำเข้าต้องเป็นนิติบุคคล 4.2) ผู้นำเข้าหรือผู้แทนนำเข้าต้องรับซื้อหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปจากเกษตรกรในราคาเดียวกับผู้นำเข้าหัวพันธุ์มันฝรั่งในข้อ 3) [เดิมในช่วงฤดูแล้ง (มกราคม - มิถุนายน) ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 10.60 บาท ในช่วงฤดูฝนราคาเท่าเดิม] 4.3) ให้มีการนำเข้าในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม - ธันวาคมของทุกปี |
6. เรื่อง (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนในสาขาอาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อ การพัฒนาประเทศตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ พ.ศ. 2562 – 2565
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนในสาขาอาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการพัฒนาประเทศตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ พ.ศ. 2562 – 2565 [(ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ] จำนวน 7 สาขาอาชีพ [1) โลจิสติกส์โครงสร้างพื้นฐาน 2) โลจิสติกส์และซัพพลายเชน 3) หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ 4) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและดิจิทัลคอนเทนต์ 5) อาหารและเกษตร 6) ปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ พลังงานและพลังงานทดแทน และ 7) แม่พิมพ์] ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ศธ. รายงานว่า
1. คณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดแผนการผลิตและพัฒนากำลังคนตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ จำนวน 7 คณะ เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนใน 7 สาขาอาชีพที่มีความจำเป็นต่อประเทศ ซึ่งจะเป็นกลไกที่สำคัญในการสร้างต้นแบบการผลิตและพัฒนากำลังคนตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ เพื่อสร้างกำลังคนคุณภาพของประเทศให้เพียงพอ มีสมรรถนะที่จำเป็นตรงตามความต้องการของภาคประกอบการและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล และจะมีส่วนสำคัญในการนำต้นแบบการผลิตและพัฒนากำลังคนไปขยายผลต่อในสาขาอื่นที่มีความต้องการกำลังคนในอนาคต ซึ่งคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ แล้ว และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒนาฯ) ในคราวประชุมครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้ (1) ควรมีกลไกในการประมาณการความต้องการกำลังคนถึงระดับอาชีพอย่างเป็นระบบ รวมทั้งวิเคราะห์การเชื่อมต่อระหว่างกลุ่มอาชีพในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมนั้น ๆ กับอาชีพที่สำคัญหรือขาดแคลน (2) ควรมุ่งเน้นสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนในการผลิตกำลังคน และควรมีการวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างความต้องการและจำนวนที่ผลิตได้ให้ชัดเจน (3) ควรมีการพัฒนากลไกการเทียบโอนประสบการณ์การรับรองคุณวุฒิที่ได้จากการเรียนคอร์สระยะสั้นและการเรียนในลักษณะ Micro degree ที่นำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม (4) ควรกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบที่ต้องดำเนินการในแต่ละเรื่องให้ชัดเจน และ (5) ควรพิจารณาเพิ่มเติมสาขาที่เป็นจุดแข็งและมีความสำคัญกับเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติได้ดำเนินการปรับแก้ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ตามข้อเสนอแนะของสภาพัฒนาฯ แล้ว
2. (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
2.1 กรอบแนวในทางการดำเนินการจัดทำแผน
1) ศึกษาความต้องการกำลังคนทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพโดยร่วมมือกับสถานประกอบการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การพัฒนากำลังคนตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสามารถปรับตัวสอดรับกับทักษะ/สมรรถนะที่ทันสมัยและจำเป็นต้องมีภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีกลไกในการประมาณการความต้องการกำลังคนอย่างเป็นระบบรวมถึงวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มอาชีพในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมนั้น ๆ กับอาชีพที่มีความสำคัญหรือขาดแคลน
2) กำหนดระบบการพัฒนากำลังคน โดยการนำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพมาเป็นแกนหลักในการกำหนดหลักสูตรทั้งในภาคการศึกษาและหลักสูตรการอบรมในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงออกแบบการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้สู่การปฏิบัติที่สอดคล้องกับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ เพื่อพัฒนากำลังคนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
3) พัฒนา เชื่อมโยงมาตรฐานอาชีพกับระดับคุณวุฒิการศึกษาและการฝึกอบรม เช่น วิเคราะห์มาตรฐานอาชีพที่มีอยู่เดิม/ปรับปรุงเพิ่มเติมตามความต้องการกำลังคน เป็นต้น
4) กำหนดรูปแบบและแนวทางปฏิบัติการเทียบโอนประสบการณ์การยกระดับทักษะ (Up - Skills) และปรับทักษะ (Re - SkiIls)
5) กำหนดครุภัณฑ์และสื่อการเรียนการสอนที่จำเป็นสำหรับการพัฒนากำลังคน
6) เสนอแนวทางการพัฒนาครูและครูฝึกในสถานประกอบการ เช่น จัดทำหลักสูตรอบรมเพื่อพัฒนาครูเพื่อให้เพียงพอต่อการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ เป็นต้น
7) เสนอรูปแบบการวัดผล ประเมินผลสมรรถนะผู้เรียนที่มีประสิทธิภาพ
8) ส่งเสริมการมีงานทำและการมีรายได้ที่เหมาะสม
9) องค์ประกอบอื่น ๆ เช่น การเชื่อมโยงกับมาตรฐานสากล เป็นต้น
2.2 ในแต่ละสาขาอาชีพได้มีการประมาณการความต้องการกำลังคน ความสามารถในการผลิตกำลังคน จำนวนที่ต้องผลิตกำลังคนเพิ่มเติม เป้าหมายในการผลิตและพัฒนากำลังคน และวงเงินงบประมาณเบื้องต้น เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S - Curve) และรองรับการเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 สรุปได้ ดังนี้
ความต้องการกำลังคน จากแหล่งต่าง ๆ (Demand) |
ความสามารถ ในการผลิตกำลังคน (Supply) |
จำนวน ที่ต้องผลิต กำลังคนเพิ่มเติม (GAP) |
เป้าหมายในการผลิต และพัฒนากำลังคน (ระดับ/หลักสูตร) |
1. สาขาอาชีพโลจิสติกส์โครงสร้างพื้นฐาน (นำร่องในสาขาอาชีพช่างซ่อมบำรุงระบบขนส่งทางราง) |
|||
7,280 คน (วิศวกรและ ช่างเทคนิค) |
5,670 คน |
1,610 คน |
เพื่อพัฒนาและยกระดับการเรียนการสอนและการฝึกอบรมในสาขาระบบขนส่งทางรางในปัจจุบัน เพื่อรองรับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งทางรางที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ระดับอาชีวศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) 1) สาขางานซ่อมบำรุงระบบราง (Track Work) 2) สาขางานอาณัติสัญญา (Signaling) 3) สาขางานซ่อมบำรุงตู้รถไฟ (Rolling Stock) ระดับอุดมศึกษา เช่น 1) หลักสูตรระบบขนส่งทางราง 2) หลักสูตรเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 3) หลักสูตรวิศวกรรมการจัดการธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับระบบราง ภาคอุตสาหกรรม โครงการอบรมหลักสูตรระยะสั้นเพื่อเร่งสร้างกำลังคนเข้าสู่อาชีพ โดยความร่วมมือกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด 1) สาขางานซ่อมบำรุงระบบราง (Track Work) 2) สาขางานซ่อมบำรุงตู้รถไฟ (Rolling Stock) |
· งบประมาณเบื้องต้น : 547.10 ล้านบาท · ข้อมูล Demand และ Supply ช่วงระหว่างปี 2561 - 2565 |
|||
2. สาขาอาชีพโลจิสติกส์และซัพพลายเชน [นำร่องใน 3 สาขาอาชีพ ได้แก่ นักวางแผนอุปสงค์ พนักงานควบคุมยานพาหนะมืออาชีพประเภทรถบรรทุก (Smart Driver) และนักจัดการโลจิสติกส์มืออาชีพด้านสินค้าเกษตร ที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain)] |
|||
6,623,713* คน |
38,970 คน |
6,584,743* คน |
เพื่อพัฒนาบุคลากรโลจิสติกส์ให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และทักษะสูงทั้งในระดับบริหารและปฏิบัติการให้เพียงพอ กับความต้องการของภาคเอกชนและรองรับ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษา 1) สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์ 2) สาขาวิศวกรรมโลจิสติกส์และการจัดการ โลจิสติกส์ 3) สาขาอุตสาหการหรือโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ ภาคอุตสาหกรรม โครงการอบรมหลักสูตรระยะสั้นเพื่อต่อยอด (Up - Skills) ทั้ง 3 สาขาอาชีพโดยบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคการศึกษาและภาคเอกชน เช่น หลักสูตรตามแนวทางเกษตร 4.0 ในระดับเกษตรกรอัจฉริยะ (Smart Farmer), SMEs, วิสาหกิจชุมชน เป็นต้น |
· งบประมาณเบื้องต้น : 1,533.53 ล้านบาท · ข้อมูล Demand และ Supply ช่วงระหว่างปี 2560 - 2564 · *เป็นข้อมูลภาพรวมความต้องการกำลังคนทั้ง 3 สาขาอาชีพนำร่อง ไม่สามารถแยกความต้องการกำลังคนในแต่ละสาขาอาชีพได้ เนื่องจากภายใต้แต่ละสาขาอาชีพจะจำแนกบุคลากรเป็นหลายระดับและหลายตำแหน่งงาน และส่งผลให้ตัวเลขของจำนวนที่ต้องผลิตกำลังคนเพิ่มเติม (GAP) สูงตามไปด้วย |
|||
3. สาขาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ [นำร่องในสาขาอาชีพผู้ปฏิบัติงานหุ่นยนต์อุตสาหกรรม (System Integrator)] |
|||
11,521 คน |
7,140 คน |
4,381 คน |
เพื่อยกระดับเทคโนโลยีและประสิทธิภาพการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่สนับสนุนอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงช่วยยกระดับแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและรองรับปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่คาดว่าจะรุนแรงขึ้นในอนาคต ระดับอาชีวศึกษา หลักสูตร ปวส. สาชาวิชาหุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม ระดับอุดมศึกษา หลักสูตรวิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ภาคอุตสาหกรรม โครงการอบรมระยะสั้นโดยบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคการศึกษาและภาคเอกชน เพื่อ Up – Skills และ Re - Skills |
· งบประมาณเบื้องต้น : 1,608 ล้านบาท · ข้อมูล Demand และ Supply ช่วงระหว่างปี 2563 – 2565 |
|||
4. สาขาอาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และดิจิทัลคอนเทนต์ [นำร่องใน 9 สาขา ได้แก่ นักพัฒนาระบบ (Programmer) และนักทดสอบระบบ (Tester), นักพัฒนาเกม (Game) และแอนิเมชัน (Animation), นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist), *นักบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยระบบเครือข่ายและคอมพิวเตอร์ (Network Security) และนักบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security), *นักพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e- Commerce), *นักพัฒนาการเรียนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning), *ผู้ให้บริการด้านคอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์ (IT Support), *ช่างโครงข่ายปลายทางด้านเครือข่าย ใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) และ *นักบริหารโครงการสารสนเทศ (ICT Project Management)] |
|||
มากกว่า 87,427 คน |
29,670 คน |
มากกว่า 57,757 คน |
เพื่อบรรเทาปัญหาความขาดแคลนบุคลากรด้านดิจิทัลและยกระดับศักยภาพของนักศึกษาหรือผู้ที่จบการศึกษาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสายตรง หรือบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจและต้องการพัฒนาศักยภาพของตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม เนื่องจากปัจจุบันผู้จบการศึกษาในสาขานี้มีจำนวนและคุณสมบัติไม่สอดคล้อง ต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ระดับอาชีวศึกษา ระดับอุดมศึกษา และภาคอุตสาหกรรม 1) สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 2) สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ 3) สาขาดิจิทัลและมัลติมีเดีย |
· งบประมาณเบื้องต้น : 1,072.76 ล้านบาท · ข้อมูล Demand และ Supply ช่วงระหว่างปี 2562 – 2565 และ *ในบางสาขาอาชีพนำร่องยังไม่มีผลการสำรวจความต้องการกำลังคนที่ชัดเจน |
|||
5. สาขาอาชีพอาหารและเกษตร [นำร่องในอาชีพที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและอาชีพที่มีความจำเป็นในอนาคต เช่น นักจัดการอาหาร (ด้านความปลอดภัยอาหาร) นักพัฒนาอาหาร เกษตรกรอัจฉริยะ (Smart farmer) กลุ่มอาชีพโคนม กลุ่มอาชีพข้าว เป็นต้น] |
|||
177,314 คน |
48,864 คน |
128,450 คน |
เพื่อพัฒนาภาคการเกษตรให้เข้มแข็ง ซึ่งจะทำให้ไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางและสร้างความมั่นคงทางอาหารแก่ประเทศชาติได้ กลุ่มสาขาอาหาร ระดับอาชีวศึกษา หลักสูตร ปวส. เช่น 1) ผู้ประกอบอาหารไทยชั้นต้น 2) การจัดการความปลอดภัยอาหารเบื้องต้น และ 3) การพัฒนาอาหารเบื้องต้น เป็นต้น ระดับอุดมศึกษา 1) สาขาการจัดการความปลอดภัยในอุตสาหกรรมอาหาร 2) สาขาการวิจัยและพัฒนาอาหารเบื้องต้น กลุ่มสาขาเกษตร ระดับอาชีวศึกษา หลักสูตร ปวส. เช่น 1) การจัดการฟาร์มโคนมสมัยใหม่ 2) การจัดการฟาร์มข้าวมาตรฐาน และ 3) นวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ เป็นต้น ระดับอุดมศึกษา สาขาเกษตรนวัตกรรมและผู้ประกอบการ |
· งบประมาณเบื้องต้น : 1,425.15 ล้านบาท · ข้อมูล Demand และ Supply ช่วงระหว่างปี 2561 - 2565 |
|||
6. สาขาอาชีพปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ พลังงานและพลังงานทดแทน (นำร่องใน 2 สาขาอาชีพ ได้แก่ ช่างเทคนิค สาขาสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และช่างเทคนิคสาขาการกลั่นและปิโตรเคมี) |
|||
2,137 คน |
500 คน |
1,637 คน |
เพื่อสร้างบุคลากรด้านเทคนิคที่มีคุณภาพให้ ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานในระดับประเทศ และสามารถรองรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้นได้ กลุ่มปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษา สาขางานปิโตรเลียม กลุ่มพลังงานและพลังงานทดแทน ระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษา 1) สาขางานควบคุมและบำรุงรักษาระบบผลิตไฟฟ้า 2) สาขางานเทคโนโลยีระบบส่งไฟฟ้า 3) สาขางานระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ |
· งบประมาณเบื้องต้น : 427.76 ล้านบาท · ข้อมูล Demand และ Supply ช่วงระหว่างปี 2562 - 2565 |
|||
7. สาขาอาชีพแม่พิมพ์* (นำร่องในสาขาอาชีพช่างแม่พิมพ์) |
|||
ไม่มีข้อมูล Demand และ Supply เนื่องจากจะนำร่องในสาขาอาชีพแม่พิมพ์โดยจัดทำโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องและต่อเนื่องกันไป เช่น โครงการจัดหาครุภัณฑ์เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนและฝึกอบรมอาชีพตามหลักสูตรฐานสมรรถนะให้สอดคล้องกับระดับเทคโนโลยีตามสมรรถนะอาชีพ (จัดทำแผนการลงทุนและกรอบงบประมาณ) โครงการพัฒนาการจัดการศึกษาและฝึกอบรมอาชีพด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายการศึกษาผ่านระบบ e - Learning โครงการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศสำหรับอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ (Mold & Die Excellence Center) เพื่อถ่ายทอดและฝึกอบรมนวัตกรรม เทคโนโลยีแม่พิมพ์ขั้นสูง เป็นต้น |
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ไทยให้สามารถแข่งขันเพื่อทดแทนการนำเข้าแม่พิมพ์จากต่างประเทศ สามารถผลิตแม่พิมพ์เพื่อการส่งออกไปยังต่างประเทศได้ และยกระดับคุณภาพของสินค้าที่สำคัญที่ต้องใช้แม่พิมพ์ความเที่ยงตรงสูงสำหรับผลิต ชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากวัสดุสมัยใหม่ ระดับอาชีวศึกษา สาขาวิชาชีพอุตสาหกรรมการผลิตแม่พิมพ์ ระดับอุดมศึกษา หลักสูตรเกี่ยวกับสาขาแม่พิมพ์ ภาคอุตสาหกรรม โครงการอบรมหลักสูตรระยะสั้น โดยบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคการศึกษาและภาคเอกชน เช่น หลักสูตรเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่การทำงานหลักสูตรในสาขาอาชีพแม่พิมพ์ 18 หลักสูตร เป็นต้น |
||
· งบประมาณเบื้องต้น : 606.94 ล้านบาท |
หมายเหตุ : 7 สาขาอาชีพจะใช้งบประมาณเบื้องต้นรวมทั้งสิ้น 5,687.71 ล้านบาท โดยภายหลังจาก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ แล้ว ศธ. จะจัดทำคำของบประมาณรายจ่าย
ประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
________________________________________
* อุตสาหกรรมแม่พิมพ์เป็นอุตสาหกรรมสนับสนุน (Supporting Industry) หรืออุตสาหกรรมกลางน้ำที่รองรับอุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญเกือบทุกประเภท เนื่องจากการผลิตสินค้าหลายสาขาจำเป็นต้องอาศัยแม่พิมพ์ซึ่งจะทำหน้าที่ (Mold & Die Tooling) ในการขึ้นรูปและกำหนดรูปร่างผลิตภัณฑ์ให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและขนาดตามความต้องการ โดยแม่พิมพ์ที่ออกแบบและผลิตใช้อยู่ทั่วไปสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามประเภทวัสดุที่ใช้ทำการขึ้นรูป เช่น แม่พิมพ์โลหะ แม่พิมพ์พลาสติก แม่พิมพ์ยาง แม่พิมพ์แก้ว แม่พิมพ์เซรามิกส์ เป็นต้น
7. เรื่อง รายงานสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 1 ปี ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ รายงานสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 1 ปี ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ [เป็นการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 (เรื่อง การจัดทำข้อมูลผลงานของรัฐบาล)] ซึ่งสรุปได้ 5 ประเด็น ดังนี้
ประเด็น |
ผลการดำเนินงาน |
1. การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของเกษตรกร |
เช่น - ช่วยเหลือแก้ปัญหาหนี้สินให้แก่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร 1,152 แห่ง ลดภาระดอกเบี้ยและลดต้นทุน 369,505 ราย - แก้ไขปัญหาข้าว ผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว 60,524.20 ตัน เพิ่มศักยภาพ ส่งเสริม และพัฒนาการผลิต 853,457.65 ไร่ เชื่อมโยงตลาด 13 แห่ง เชื่อมโยงระบบการปลูกพืชหลากหลาย 6,930 ไร่ - แก้ไขปัญหายางพารา สนับสนุนให้มีการปลูกแทนสวนยางเก่าด้วยยางพันธุ์ดี ปาล์มน้ำมัน ไม้ผล 2.19 ล้านไร่ ส่งเสริมการใช้ยางพารา 3,197.03 ตัน - จัดทำมาตรการช่วยเหลือราคาสินค้าเกษตร เช่น โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 1 จ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกร 1.31 ล้านราย 24,166.78 ล้านบาท สนับสนุนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 จ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกร 1.10 ล้านราย 19,409 ล้านบาท สนับสนุนโครงการ ประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562-2563 จ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกร 0.37 ล้านราย 7,184.81 ล้านบาท - ปรับปรุงระบบที่ดินทำกินเกษตรกร จัดที่ดินให้เกษตรกรทำประโยชน์ (ส.ป.ก. 4-01) 45,755 ราย ตรวจสอบสิทธิการเข้าทำประโยชน์ที่ดิน 4,982,541 ไร่ - จัดพื้นที่การเกษตรตาม Agri-Map ปรับเปลี่ยนกิจกรรมการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสม จำนวน 210,421 ไร่ - ช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงโควิดกระจายสินค้าเกษตรไปยังผู้บริโภคมีมูลค่าการจำหน่าย จำนวน 703.27 ล้านบาท |
2. การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัยและส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ |
เช่น - จัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย เพิ่มพื้นที่ชลประทานเป็น 33.79 ล้านไร่ ปริมาตรน้ำเก็บกัก 82,457 ล้านลูกบาศก์เมตร ปฏิบัติการฝนหลวง 230 ล้านไร่ เติมน้ำในเขื่อนได้ร้อยละ 84.86 ช่วยพื้นที่การเกษตรที่ประสบภัยแล้งได้ ร้อยละ 78.50 - ส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ จัดหาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 58,250 ไร่ ก่อสร้างแหล่งน้ำและระบบส่งน้ำ 76,029 ไร่ พัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำเสีย 12 แห่ง ป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมด้วยระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ 10 แห่ง
|
3. การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันด้านเกษตร |
เช่น - ส่งเสริมการทำปศุสัตว์ ผลิตสัตว์พันธุ์ดี 1.0942 ล้านตัว ผลิตพืชอาหารสัตว์ 50,760.12 ตัน ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงปศุสัตว์ให้เกษตรกร 13,479 ราย - ส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์น้ำ สนับสนุนพันธุ์สัตว์น้ำจืด 6.72 ล้านตัว ผลิตและปล่อยลูกพันธุ์สัตว์น้ำ 572.9400 ล้านตัว อบรมเกษตรกร 2,520 ราย - ส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้แก่เกษตรกร 26,532 ราย - พัฒนาถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกษตรกร 47,311 ราย 7,395 ศูนย์ - ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้เกษตรกร 320,007 ราย |
4. การจัดทำข้อมูลสารสนเทศด้านการเกษตร |
เช่น - พัฒนาระบบฐานข้อมูลการเกษตร (Big Data) จัดตั้งศูนย์ Big Data ด้านการเกษตร National Agricultural Big Data Center ในการเชื่อมโยงข้อมูล ระหว่างกระทรวง 10 หน่วยงาน - ปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืช ผู้เลี้ยงสัตว์ ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกร 6,234,024 ครัวเรือน ทะเบียนเกษตรกรผู้เลี้ยง ปศุสัตว์ 3,682,024 ราย ทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 455,577 ฟาร์ม
|
5. การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม |
จัดตั้งศูนย์ฯ ในสถานศึกษา 77 จังหวัด
|
8. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ รายงานผลการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 - 2563) และแนวทางการดำเนินการตามระเบียบฯ และกำชับให้หน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญและถือปฏิบัติต่อไป สรุปได้ ดังนี้
1. รายงานผลการดำเนินการตามระเบียบฯ
หัวข้อ |
สาระสำคัญ |
1.1 ภารกิจด้านการตรวจสอบโครงการของรัฐที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน |
- การเผยแพร่ข้อมูลโครงการของหน่วยงานของรัฐ ผ่านเว็บไซต์การรับฟัง ความคิดเห็นที่ www.publicconsultation.opm.go.th มี 21,976 โครงการ แบ่งเป็นโครงการของรัฐตามระเบียบฯ 20,264 โครงการ (ร้อยละ 92.20) และไม่เป็นโครงการของรัฐตามระเบียบฯ 1,714 โครงการ (ร้อยละ 7.80) - โครงการของรัฐตามระเบียบฯ 20,264 โครงการ เป็นโครงการที่มีการจัดรับฟังความคิดเห็น 14,641 โครงการ (ร้อยละ 72.25) และไม่มีการรับฟังความคิดเห็น 5,623 โครงการ (ร้อยละ 27.75) - การประกาศวิธีการรับฟังความคิดเห็น แบ่งเป็นโครการที่ประกาศวิธีการรับฟังความคิดเห็น ระยะเวลา สถานที่ ให้ประชาชนทราบก่อนรับฟังความคิดเห็นเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน ตามระเบียบฯ 8,472 โครงการ (ร้อยละ 87.87) และไม่มีการประกาศหรือประกาศน้อยกว่า 15 วัน 6,169 โครงการ (ร้อยละ 42.13) - การจัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็น แบ่งเป็นโครงการที่ได้จัดทำ สรุปผลการรับฟังความคิดเห็น 12,730 โครงการ (ร้อยละ 86.95) ไม่มีการสรุปผลฯ 1,589 โครงการ (ร้อยละ 10.85) และอยู่ระหว่างการจัดรับฟังความคิดเห็น 322 โครงการ (ร้อยละ 2.20)
|
1.2 ภารกิจด้านการจัดอบรมสัมมนาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการ ตามระเบียบฯ |
จัดอบรมสัมมนาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการตามระเบียบฯ รวม 19 ครั้ง โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สรุปได้ ดังนี้ - การฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ที่ สปน. ได้พัฒนาขึ้นใหม่ 6 รุ่น ในภูมิภาคต่าง ๆ ได้แก่ ภาคกลาง 2 รุ่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 รุ่น ภาคเหนือ 1 รุ่น และภาคใต้ 1 รุ่น รวมผู้เข้าอบรมทั้งสิ้น 263 คน - จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนากลไกการมีส่วนร่วมของประชาชน 2 ครั้ง ในพื้นที่จังหวัดนครปฐมและพิษณุโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐ มีความรู้ความเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามระเบียบฯ มีผู้เข้าร่วมการประชุม รวม 206 คน |
1.3 ภารกิจด้านจัดทำและเผยแพร่แนวทางการเผยแพร่ข้อมูลและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน |
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้มีการดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ - จัดทำและเผยแพร่แนวทางการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมาย บทความ รายงานการศึกษาที่เกี่ยวกับการส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนและการสร้างการรับรู้ให้กับหน่วยงานของรัฐในการสร้างความตระหนักรู้ในการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วม 12 เรื่อง - จัดทำและเผยแพร่องค์ความรู้ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามระเบียบฯ เช่น กฎหมายที่บัญญัติวิธีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไว้เป็นการเฉพาะ แนวทางในการใช้งานเว็บไชต์ สรุปคำพิพากษาเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในการดำเนินโครงการของรัฐ - ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของโครงการของรัฐ เช่น สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมชลประทาน และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย |
1.4 ภารกิจด้านการกำกับ ดูแล ช่วยเหลือ และแนะนำหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการตามระเบียบฯ |
ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์รวม 683 ครั้ง และตอบข้อหารือหน่วยงานของรัฐทางหนังสือรวม 19 เรื่อง โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ 89 ครั้ง (เกี่ยวกับข้อระเบียบฯ 57 ครั้งและเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ 32 ครั้ง) และได้มีการตอบข้อหารือหน่วยงานของรัฐทางหนังสือเกี่ยวกับแนวทางในการจัดรับฟังความคิดเห็นในช่วงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำนวน 1 เรื่อง |
1.5 บทวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามระเบียบฯ |
- หน่วยงานของรัฐมิได้ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่หรือให้ข้อมูลโครงการของรัฐกับประชาชนได้รับทราบอย่างชัดเจนเพียงพอ เช่น รายละเอียดการดำเนินโครงการ ข้อมูลผลกระทบหรือมาตรการการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น - คำนิยามของผลกระทบในวงกว้างหรือผลกระทบอย่างรุนแรงไม่มีความชัดเจนในแนวทางปฏิบัติงานของหน่วยงาน และเป็นการใช้ดุลยพินิจของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการในการพิจารณา จึงส่งผลต่อการพิจารณาว่าโครงการใดจะมีการรับฟังความคิดเห็นหรือไม่ก็ได้ - ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับกระบวนการหรือขั้นตอนการรับฟัง ความคิดเห็นของประชาชน โดยโครงการของหน่วยงานรัฐเป็นจำนวนมาก ได้กำหนดขั้นตอนในการรับฟังความต้องการของประชาชนประกอบการจัดทำโครงการของรัฐเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณซึ่งความเห็นของประชาชนในขั้นตอนของการขอรับการจัดสรรงบประมาณนั้นอาจไม่สนองต่อวัตถุประสงค์ของระเบียบฯ เนื่องจากในหลายกรณี โครงการของรัฐได้รับการจัดสรรงบประมาณที่ล่าช้าหลายปี ดังนั้น การจะใช้ข้อมูลความคิดเห็นเดิมอาจไม่สะท้อนความต้องการ และความคิดเห็นที่เป็นปัจจุบันของประชาชน |
1.6 ข้อเสนอแนะการขับเคลื่อนการดำเนินการตามระเบียบฯ |
- หน่วยงานของรัฐต้องดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนทราบก่อนเริ่มดำเนินโครงการของรัฐ ทางระบบเครือข่ายสารสนเทศที่ สปน. จัดทำขึ้น และหากมีผลกระทบอย่างรุนแรง ต้องจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย - ควรมีการกำกับภายในหน่วยงาน และสร้างความตระหนักถึงความสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลโครงการของรัฐให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐในทุกระดับด้วย - แต่งตั้งคณะทำงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ เพื่อจัดทำหลักเกณฑ์ในการพิจารณาระดับผลกระทบอย่างกว้างขวาง ผลกระทบอย่างรุนแรง เพื่อให้เกิดความชัดเจน ลดการใช้ดุลยพินิจของหน่วยงานของรัฐและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นมาตรฐาน - บูรณาการข้อมูลร่วมกับสำนักงบประมาณในการกลั่นกรองข้อมูลโครงการของรัฐให้มีการเผยแพร่ข้อมูลและหรือมีการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน อันเป็นการกำกับดูแลการดำเนินโครงการของรัฐตั้งแต่ต้นทาง - จัดทำแนวทางการดำเนินการตามระเบียบฯ และกำชับหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญและถือปฏิบัติ |
2. แนวทางการดำเนินการตามระเบียบฯ เพื่อกำชับหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญและถือปฏิบัติต่อไป สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
2.1 พิจารณาลักษณะโครงการของรัฐ ว่าเป็นโครงการของรัฐตามระเบียบฯ ข้อ 4 (โดยมีประเด็น ได้แก่ เป็นการดำเนินโครงการโดยหน่วยงานของรัฐ เป็นโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจหรือสังคม หน่วยงานเป็นผู้ดำเนินการเอง/ให้สัมปทาน/อนุญาตให้บุคคลอื่นทำ และมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัยหรือส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับชุมชนท้องถิ่น) หากพิจารณาแล้วเข้าในทุกประเด็น ให้พิจารณาต่อว่ามีกฎหมายที่กำหนดวิธีการรับฟังความคิดเห็นไว้เฉพาะแล้วหรือไม่
2.2 เผยแพร่ข้อมูลโครงการของรัฐ โดยก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการต้องเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนทราบ ดังนี้
2.2.1 ข้อมูลที่ต้องเผยแพร่ตามระเบียบฯ ข้อ 7 (เหตุผลความจำเป็น สาระสำคัญ ผู้ดำเนินการ สถานที่ที่จะดำเนินการ ขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการ ผลผลิตและผลลัพธ์ของโครงการ ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น และประมาณการค่าใช้จ่าย)
2.2.2 ต้องเผยแพร่ผ่าน 3 ช่องทาง [(1) ปิดประกาศ ณ สถานที่ปิดประกาศ สถานที่ปิดประกาศของหน่วยงานของรัฐ (2) สถานที่ดำเนินโครงการของรัฐ (3) ระบบเครือข่ายสารสนเทศที่ สปน. www.publicconsultation.opm.go.th]
2.3 รับฟังความคิดเห็นของประชาชน กรณีที่โครงการของรัฐมีผลกระทบอย่างรุนแรงต้องจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วยตามระเบียบฯ ข้อ 5 วรรค 2 โดยดำเนินการ ดังนี้
2.3.1 ก่อนรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างน้อย 15 วัน ต้องประกาศวิธีการรับฟังความคิดเห็นให้ประชาชน เช่น วิธีการรับฟัง ระยะเวลา สถานที่ และรายละเอียดอื่น ๆ ที่เพียงพอ
2.3.2 จัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยใช้วิธีการอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ตามระเบียบฯ ข้อ 9 เช่น การสัมภาษณ์รายบุคคล การประชาพิจารณ์ การประชุมเชิงปฏิบัติการ และการสนทนากลุ่มย่อย
2.4 สรุปผลการรับฟังความคิดเห็น หน่วยงานของรัฐต้องจัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและประกาศให้ประชาชนทราบภายใน 15 วัน นับแต่วันเสร็จสิ้นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยเผยแพร่ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ สถานที่ปิดประกาศของหน่วยงานของรัฐ สถานที่ดำเนินโครงการ และ www.publicconsultation.opm.go.th และถ้าผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนปรากฏว่า การดำเนินโครงการอาจก่อให้เกิดผลกระทบมากกว่าข้อมูลที่เผยแพร่แก่ประชาชน และยังมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการต่อไป ต้องกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข หรือเยียวยาความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้น ตามความเหมาะสมก่อนดำเนินโครงการ และประกาศให้ประชาชนทราบ
9. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองฯ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบ ดังนี้
1. รับทราบรายงานผลการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
2. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 มาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ตามที่ มท. เสนอ ทั้งนี้ ให้ขยายระยะเวลาดังกล่าวออกไปอีก 1 ปี
3. ให้ทุกหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบการบังคับใช้กฎหมาย เร่งตรวจสอบกฎหมายในความรับผิดชอบของตน เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดโดยเร็ว
สาระสำคัญ
มท. เสนอว่า
1. กรมโยธาธิการและผังเมืองอยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลเพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ประกอบกับเห็นว่าการออกกฎหมายลำดับรองในเรื่องนี้จะมีมาตรการการกำหนดโทษอาญาแก่ผู้ฝ่าฝืนหรือผู้ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่กำหนด การศึกษาข้อมูลจึงต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ รวมทั้งร่างกฎกระทรวงที่จะออกตามความในมาตรา 74 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ 2561 จะต้องมีความเชื่อมโยงระหว่างกฎหมายว่าด้วยทรัพยากรน้ำกับกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ซึ่งขณะนี้กรมโยธาธิการและผังเมืองอยู่ระหว่างการจัดทำโครงการวางผังระบายน้ำในบริเวณลุ่มน้ำ จำนวน 25 ลุ่มน้ำ ตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ตลอดจนยังมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษากฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของ มท. และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดความชัดเจน นอกจากนี้ ได้ดำเนินการยกร่างกฎหมายลำดับรอง เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการกำหนดค่าทดแทนความเสียหายหรือเสื่อมสิทธิจากการระงับการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ผิดไปจากที่ได้กำหนดไว้ในผังเมืองรวม ตามมาตรา 37 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับกฎหมายลำดับรองที่ออกตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ดังนั้น การดำเนินการออกกฎหมายลำดับรองในเรื่องนี้จึงต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการ
2. โดยที่มาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 บัญญัติให้การจัดทำร่างกฎหมายใดที่จะกำหนดให้มีโทษอาญา โทษทางปกครอง หรือสภาพบังคับที่เป็นผลร้ายอื่นแก่ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม หรือมีบทบัญญัติที่กำหนดให้การขออนุญาตหรืออนุญาตหรือการปฏิบัติตามกฎหมายนั้นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขที่จะกำหนดไว้ในกฎซึ่งจะออกในภายหลัง ในร่างกฎหมายนั้นต้องมีบทบัญญัติที่ห้ามมิให้ใช้บทบัญญัติดังกล่าวในทางที่เป็นผลร้ายแก่บุคคล จนกว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐพร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎหมายหรือจนกว่าจะมีการออกกฎดังกล่าวแล้ว ซึ่งกฎหมายที่มิใช่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ต้องมีการออกกฎ หรือกำหนดให้รัฐต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อที่ประชาชนจะสามารถปฏิบัติตามกฎหมาย หรือได้รับสิทธิประโยชน์จากกฎหมายนั้นได้ หากมิได้มีการออกกฎดังกล่าวหรือยังมิได้ดำเนินการนั้นภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่กฎหมายนั้นมีผลใช้บังคับ และบทบัญญัติในเรื่องนั้นก่อภาระหรือเป็นผลร้ายต่อประชาชนให้บทบัญญัติดังกล่าวเป็นอันสิ้นผลบังคับ แต่ในกรณีที่บทบัญญัติในเรื่องนั้นให้สิทธิประโยชน์แก่ประชาชนให้บทบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับได้โดยไม่ต้องมีกฎหรือดำเนินการดังกล่าว ซึ่งระยะเวลา 2 ปีดังกล่าวคณะรัฐมนตรีจะมีมติขยายออกไปอีกก็ได้ แต่ไม่เกิน 1 ปี และต้องมีมติก่อนที่จะครบกำหนดเวลา 2 ปีดังกล่าว
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2561 และให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีผลใช้บังคับแล้วในวันที่ 27 มกราคม 2562 ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวยังมิได้มีการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองเพื่อให้มีผลใช้บังคับภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับ (ครบกำหนดวันที่ 27 มกราคม 2564) จึงจำเป็นต้องรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบ และขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายดังกล่าวต่อไป
10. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. 2560 – 2564 ประจำปี พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอรายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. 2560 – 2564 ประจำปี พ.ศ. 2562 [เป็นการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2559 (เรื่อง ร่างแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. 2560 – 2564)] ทั้งนี้ แผนพัฒนาฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการเงิน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านผู้ใช้บริการทางการเงิน ด้านผู้ให้บริการทางการเงินและด้านโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ประกอบด้วย 74 โครงการ (เป็นโครงการต่อเนื่อง 10 โครงการ) โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ดำเนินการได้สำเร็จตามเป้าหมายตัวชี้วัดแล้วรวมทั้งสิ้น 47 โครงการ (ดำเนินการสำเร็จตามเป้าหมายตัวชี้วัดในปี 2560 – 2561 รวมจำนวน 22 โครงการ) โดยเป็นโครงการที่ดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2562 จำนวน 25 โครงการ แบ่งเป็น
1. โครงการที่ตั้งเป้าหมายดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 มีจำนวน 17 โครงการ พบว่า มีโครงการที่ได้ดำเนินการสำเร็จตามเป้าหมายตัวชี้วัด จำนวน 16 โครงการ และมีผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินและการให้ความรู้ทางการเงิน เช่น
โครงการ |
ผลการดำเนินงาน |
1) โครงการการให้ความรู้ทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน (ธ. ออมสิน) |
ให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนแล้ว จำนวนประมาณ 1.1 ล้านคน และองค์กรการเงินชุมชน จำนวนประมาณ 1,300 แห่ง |
2) โครงการการสนับสนุนสินเชื่อให้แก่คนในชุมชนและองค์กรการเงินชุมชนของ ธ.ก.ส. และ ธ. ออมสิน |
อนุมัติสินเชื่อ จำนวนประมาณ 1,000 ล้านบาท |
3) โครงการการแก้ไขปัญหาหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรของกรมส่งเสริมสหกรณ์ (กสส.) |
สนับสนุนเงินอุดหนุนเพื่อชดเชยดอกเบี้ยให้กับสถาบันเกษตรกร จำนวน 48 แห่ง และช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตกร จำนวนประมาณ 2,700 ราย เป็นเงินจำนวน 6.52 ล้านบาท และมีการจัดทำแผนการจัดการหนี้รายคนให้แก่สมาชิกสหกรณ์ จำนวนประมาณ 100,000 ราย |
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จตามเป้าหมายตัวชี้วัด จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการช่วยเหลือด้านหนี้สินสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรของ กสส. เนื่องจาก กสส. ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ล่าช้า ทำให้ระหว่างรอการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการ สมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรบางรายได้เข้าร่วมโครงการอื่นที่รัฐให้การช่วยเหลือแล้ว และสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรบางรายที่แจ้งความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการได้ชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้วก่อนที่โครงการจะได้รับการจัดสรรงบประมาณ (กสส. ไม่มีแผนที่จะดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป)
2. โครงการที่ตั้งเป้าหมายดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2563 และ 2564 แต่สามารถดำเนินการได้สำเร็จตามเป้าหมายตัวชี้วัดในปี 2562 แล้ว จำนวน 9 โครงการ โดยทั้ง 9 โครงการ มีผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินและการให้ความรู้ทางการเงิน เช่น
โครงการ |
ผลการดำเนินงาน |
1) โครงการสนับสนุนสินเชื่อให้แก่ประชาชน และองค์กรการเงินชุมชนของ ธ.ก.ส. และ ธ. ออมสิน |
อนุมัติสินเชื่อ จำนวนประมาณ 30,000 ล้านบาท |
2) โครงการการพัฒนาและยกระดับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้หลุดพ้นความยากจนของ ธ.ก.ส. |
ยกระดับรายได้กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้วจำนวนประมาณ 130,000 ราย |
3) โครงการการจัดอบรม/สัมมนา “บ่มเพาะชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง” ของ ธ. ออมสิน |
จัดอบรม/สัมมนาให้กับผู้ที่ขอสินเชื่อเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ จำนวนประมาณ 60,000 ราย เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เป็นไปตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง |
ทั้งนี้ กค. คาดว่า โครงการตามแผนพัฒนาฯ ที่ตั้งเป้าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2563 ที่เหลืออีก จำนวน 11 โครงการ แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถดำเนินการได้สำเร็จตามเป้าหมายตัวชี้วัดที่กำหนด
11. เรื่อง สรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจำเดือนตุลาคม 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจำเดือนตุลาคม
2563 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ และข้อเท็จจริง
ภาพรวม
ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนตุลาคม 2563 เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงร้อยละ 0.50 (YoY) ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่ลดลงร้อยละ 0.70 ตามราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสดที่ปรับสูงขึ้นเนื่องจากความต้องการของตลาด ทั้งภายในและต่างประเทศที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ประกอบกับผลผลิตพืชผักได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในหลายพื้นที่ อีกทั้งราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานแม้ยังหดตัวแต่ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าในหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ไข่และผลิตภัณฑ์นม หมวดเคหสถาน หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ปรับตัวลดลง ขณะที่สินค้าในหมวดอื่น ๆ ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางที่ปกติ สอดคล้องกับความต้องการ การส่งเสริมการขาย และปริมาณผลผลิตเป็นสำคัญ ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน (เงินเฟ้อทั่วไป ที่หักอาหารสดและพลังงานออกแล้ว) สูงขึ้นร้อยละ 0.19 (YoY)
เงินเฟ้อในเดือนนี้ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับเครื่องชี้วัดด้านอุปสงค์และอุปทานในประเทศ โดยด้านอุปสงค์สะท้อนจากรายได้เกษตรกรที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ตามราคาสินค้าเกษตรสำคัญ โดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน ผักสด สุกร และยางพารา ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการใช้จ่ายภายในประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ส่งผลให้ยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มโดยรวมกลับมาเป็นบวกอีกครั้งในรอบ 3 เดือน ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ยังคงขยายตัวได้ดี นอกจากนั้นปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ และดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง กลับมาเป็นบวกอีกในรอบ 16 เดือน และ 17 เดือน ตามลำดับ สำหรับด้านอุปทานสะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนตุลาคม 2563 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกัน ปีก่อน ลดลงร้อยละ 0.50 (YoY) ตามการลดลงของสินค้าอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 1.70 ได้แก่ หมวดพาหนะการขนส่งและการสื่อสาร ร้อยละ 4.32 ตามการลดลงของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภท หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาฯ ลดลงร้อยละ 0.24 จากการลดลงของค่าทัศนาจรและค่าห้องพักโรงแรม หมวดเคหสถาน ลดลงร้อยละ 0.21 โดยสินค้าสำคัญที่ราคาลดลง อาทิ ก๊าซหุงต้ม ค่ากระแสไฟฟ้า และสิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด (ผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์ซักผ้า น้ำยาล้างจาน) และหมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 0.08 ขณะที่หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า สูงขึ้นร้อยละ 0.21 และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ 0.07 สำหรับหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ 1.57 จากการสูงขึ้นของสินค้าในกลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำ ร้อยละ 3.53 (เนื้อสุกร กระดูกซี่โครงหมู ปลาหมึกกล้วย) นอกจากนี้ กลุ่มผักสด สูงขึ้นร้อยละ 13.54 โดยผักสดราคาสูงขึ้นเกือบทุกชนิด (ผักชี มะเขือ มะเขือเทศ) กลุ่มผลไม้สด สูงขึ้นร้อยละ 0.33 (กล้วยน้ำว้า ฝรั่ง ทุเรียน) กลุ่มเครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ 2.54 (น้ำมันพืช ซอสหอยนางรม) กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ 0.94 (น้ำอัดลม น้ำดื่ม กาแฟผงสำเร็จรูป) กลุ่มอาหารบริโภค-ในบ้านและอาหารบริโภค-นอกบ้าน สูงขึ้นร้อยละ 0.44 และ 0.68 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม สินค้าในกลุ่มข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ลดลงร้อยละ 1.76 (ข้าวสารเหนียว ข้าวสารเจ้า) และกลุ่มไข่และผลิตภัณฑ์นม ลดลงร้อยละ 1.20 (ไข่ไก่ นมสด)
ดัชนีราคาผู้บริโภค เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2563 สูงขึ้นร้อยละ 0.05 (MoM) และ เฉลี่ย 10 เดือน (ม.ค.- ต.ค.) ปี 2563 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 0.94 (AoA)
ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนตุลาคม 2563 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงร้อยละ 0.9 (YoY) ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ลดลงร้อยละ 1.3 ตามราคาสินค้าในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์จากเหมือง ขณะที่หมวดผลผลิตเกษตรกรรมยังคงขยายตัวได้ดี สอดคล้องกับเครื่องชี้วัดด้านอุปทาน สะท้อนได้จากดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น โดยหมวดผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 1.2 ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (น้ำมันดีเซล น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91,95 น้ำมันเครื่องบิน) กลุ่มเคมีภัณฑ์ (โซดาไฟ เม็ดพลาสติก) ความต้องการใช้ลดลงตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กลุ่มเยื่อกระดาษ ผลิตภัณฑ์กระดาษ (กระดาษพิมพ์เขียน เยื่อกระดาษ) จากคำสั่งซื้อลดลง กลุ่มโลหะขั้นมูลฐานและผลิตภัณฑ์ (เหล็กแผ่น ลวดเหล็ก บรรจุภัณฑ์โลหะ) กลุ่มสิ่งทอ (สิ่งทอจากใยสังเคราะห์) กลุ่มเครื่องไฟฟ้า อุปกรณ์และอิเล็กทรอนิกส์ ราคาวัตถุดิบปรับลดลง หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมือง ลดลงร้อยละ 20.2 (น้ำมันปิโตรเลียมดิบ ก๊าซธรรมชาติ) ขณะที่หมวดผลผลิตเกษตรกรรม สูงขึ้นร้อยละ 6.0 ได้แก่ กลุ่มผลผลิตการเกษตร (หัวมันสำปะหลังสด มะพร้าวผล) พืชผัก (มะนาว มะเขือ พริกสด) และผลไม้ (องุ่น สับปะรดโรงงาน ฝรั่ง) ปริมาณผลผลิตลดลง ขณะที่ความต้องการมีอย่างต่อเนื่อง ผลปาล์มสด ยางพารา ราคาปรับสูงขึ้นจากมาตรการแก้ไขปัญหาราคาของภาครัฐ ประกอบกับสต็อกยางพาราลดลง กลุ่มสัตว์มีชีวิตและผลิตภัณฑ์ (สุกร/ไก่มีชีวิต และไข่ไก่) กลุ่มปลาและสัตว์น้ำ (ปลาช่อน ปลาตะเพียน ปลาทูสด) ความต้องการของตลาดเพิ่มสูงขึ้น
ดัชนีราคาผู้ผลิต เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2563 ดัชนีราคาโดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง และ เฉลี่ย 10 เดือน (ม.ค.- ต.ค.) ปี 2563 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 1.9 (AoA)
ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เดือนตุลาคม 2563 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน สูงขึ้น ร้อยละ 0.2 (YoY) กลับมาเป็นบวกอีกครั้งในรอบ 17 เดือน เป็นการสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ซึ่งสูงขึ้นร้อยละ 1.4 (สูงขึ้นครั้งแรกในรอบ 23 เดือน) ตามต้นทุนและความต้องการที่ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น (เหล็กเส้นกลมผิวเรียบ-ผิวข้ออ้อย เหล็กตัวซี เหล็กตัวเอช) หมวดกระเบื้อง สูงขึ้นร้อยละ 2.0 (กระเบื้องแกรนิต กระเบื้องยางพีวีซีปูพื้น) หมวดวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ สูงขึ้นร้อยละ 0.8 (ยางมะตอย) มีการลดกำลังการผลิตตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา หมวดวัสดุฉาบผิว สูงขึ้นร้อยละ 0.5 (สีเคลือบน้ำมัน สีรองพื้นโลหะ ซิลิโคน) หมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา สูงขึ้นร้อยละ 0.4 (ท่อร้อยสายไฟและสายโทรศัพท์พีวีซี ท่อพีวีซี) และหมวดไม้และผลิตภัณฑ์ สูงขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.1 ขณะที่หมวดผลิตภัณฑ์คอนกรีต ลดลงร้อยละ 2.5 (ชีทไพล์คอนกรีต ถังซีเมนต์สำเร็จรูป) และหมวดซีเมนต์ ลดลงร้อยละ 0.3 (ปูนซีเมนต์ผสม ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์) เนื่องจากสินค้าล้นตลาด ส่งผลให้มีการแข่งขันสูง สำหรับหมวดสุขภัณฑ์ ดัชนีโดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง
ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2563 สูงขึ้นร้อยละ 0.3 (MoM) และ เฉลี่ย 10 เดือน (ม.ค.- ต.ค.) ปี 2563 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 2.2 (AoA)
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนตุลาคม 2563 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 44.6 จากระดับ 45.1 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการปรับตัวลดลงทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน ปรับตัวลดลงจากระดับ 37.2 มาอยู่ที่ระดับ 36.4 คาดว่ามาจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งจากความกังวลต่อการระบาดของโควิด-19 รอบ 2 การเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ การสิ้นสุดของมาตรการพักชำระหนี้ และสถานการณ์ทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตยังอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง (สูงกว่าระดับ 50) ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั้งโดยรวม ปัจจุบันและอนาคตในเดือนนี้ สอดคล้องและมีทิศทางเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย
2. สรุปสถานการณ์เงินเฟ้อและแนวโน้ม
อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายน 2563 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าจะหดตัวในอัตราที่น้อยลง ตามความต้องการอุปโภคบริโภคภายในประเทศที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในรูปแบบต่างๆ ทั้งการเพิ่มวันหยุดยาว โครงการเที่ยวด้วยกัน โครงการช้อปดีมีคืน และโครงการคนละครึ่ง ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบในช่วงที่เหลือของปี นอกจากนี้ ราคาอาหารสดบางชนิด อาทิ เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้สด ยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามปริมาณผลผลิตและความต้องการของตลาด ประกอบกับฐานราคาในปีก่อนอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ราคาพลังงาน ซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำ อาจจะเป็นแรงกดดันที่สำคัญต่อเงินเฟ้อ อย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2563 ที่ร้อยละ -1.5 ถึง -0.7 (ค่ากลางอยู่ที่ -1.1)
12. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนตุลาคม 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนตุลาคม 2563 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญ และข้อเท็จจริง
การส่งออกของไทยอยู่ในภาวะฟื้นตัว สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น หลังจากประเทศต่างๆ ผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางและการขนส่ง ส่งผลให้ภาคการผลิตเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อโลก (Global Manufacturing PMI) อยู่เหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 นอกจากนี้ มาตรการทางการเงินและการคลัง เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในหลายประเทศ ส่งผลให้อุปสงค์ต่อสินค้าขยับตัวขึ้น ทั้งนี้ สินค้าส่งออกของไทยหลายรายการขยายตัวได้ดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ขณะเดียวกันหลายตลาดกลับมาขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกในรอบหลายเดือน ทั้งนี้ การส่งออกเดือนตุลาคม 2563 มีมูลค่า 19,376.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.71 ขณะที่การส่งออก 10 เดือนแรก (มกราคม-ตุลาคม) มีมูลค่า 192,372.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 7.26
สินค้าที่ขยายตัวได้ดี ยังคงเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) สินค้าอาหาร เช่น น้ำมันปาล์ม อาหารสัตว์เลี้ยง สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง สิ่งปรุงรสอาหาร 2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน
เตาอบไมโครเวฟ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้า และโซลาร์เซลล์ 3) สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น ถุงมือยาง ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่มีการแพร่ระบาด และส่งผลให้ความต้องการยางพาราในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อราคายางพาราของไทยในช่วงนี้
ด้านตลาดส่งออก ตลาดสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ยังขยายตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันหลายตลาดกลับมาขยายตัวอีกครั้ง อาทิ อินเดีย ลาตินอเมริกา เนเธอร์แลนด์ เม็กซิโก ขณะที่ตลาดอื่นๆ ที่มีสัดส่วนสำคัญล้วนหดตัวลดลง เช่น ฮ่องกง เยอรมนี และสหราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม การค้าชายแดนกับกลุ่มประเทศ CLMV หดตัวมากขึ้นจากการกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสที่สูงขึ้น
มูลค่าการค้ารวม
มูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนตุลาคม 2563 การส่งออก มีมูลค่า 19,376.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.71 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) การนำเข้ามีมูลค่า 17,330.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 14.32 การค้าเกินดุล 2,046.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวม 10 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออก มีมูลค่า 192,372.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 7.26 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 169,702.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 14.61 ส่งผลให้ 10 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 22,670.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท เดือนตุลาคม 2563 การส่งออก มีมูลค่า 600,335.92 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 4.51 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 544,197.91 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 12.37 การค้าเกินดุล 56,138.01 ล้านบาท ภาพรวม 10 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออก มีมูลค่า 5,987,376.14 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 7.38 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 5,350,086.03 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 14.87 ส่งผลให้ 10 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 637,290.11 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 8.8 (YoY) หลังจากที่ขยายตัวในเดือนก่อน สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ น้ำมันปาล์ม ขยายตัวร้อยละ 183.0 (ขยายตัวในตลาดอินเดีย มาเลเซีย จีน สปป.ลาว และมาลาวี) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 17.4 (ขยายตัวในหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น อิตาลี มาเลเซีย ออสเตรเลีย) ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 13.1 (ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สเปน และอิตาลี) สิ่งปรุงรสอาหาร ขยายตัวร้อยละ 10.6 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และเนเธอร์แลนด์) ผักผลไม้สดแช่แข็งกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 6.9 (ขยายตัวในตลาดจีน ฮ่องกง มาเลเซีย เกาหลีใต้ และไต้หวัน) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย หดตัวร้อยละ 75.0 (หดตัวในหลายตลาด อาทิ กัมพูชา จีน ไต้หวัน แต่ขยายตัวดีในตลาดเวียดนาม ญี่ปุ่น และปาปัวนิวกินี) ข้าว หดตัวร้อยละ 20.1 (หดตัวในตลาดแอฟริกาใต้ สหรัฐฯ แองโกลา และจีน แต่ขยายตัวดีในตลาดเบนิน ฮ่องกง แคนาดา กานา และอินโดนีเซีย) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 12.4 (หดตัวเกือบทุกตลาด อาทิ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย สหรัฐฯ เกาหลีใต้ แต่ขยายตัวดีในตลาดมาเลเซีย และเวียดนาม) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 3.0 (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา และซาอุดีอาระเบีย แต่ขยายตัวดีในตลาดสหรัฐฯ เยเมน จีน ชิลี และกัมพูชา) ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป หดตัวร้อยละ 1.5 (หดตัวในหลายตลาด อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ เกาหลีใต้ แต่ขยายตัวดีในตลาดจีน มาเลเซีย ฮ่องกง และแคนาดา) ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2563 สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 13.6
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 4.7 (YoY) หดตัวต่อเนื่อง 6 เดือน สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 25.7 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม ฮ่องกง จีน เม็กซิโก ไต้หวัน สิงคโปร์ บราซิล และเกาหลีใต้) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ขยายตัว ร้อยละ 19.5 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เวียดนาม มาเลเซีย เกาหลีใต้ อินเดีย และอาร์เจนตินา) ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวร้อยละ 17.6 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย สหราชอาณาจักร เยอรมนี ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และเนเธอร์แลนด์) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 4.2 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย เยอรมนี เม็กซิโก และเกาหลีใต้) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 3.8 (ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย สหรัฐฯ ไต้หวัน ฝรั่งเศส สิงคโปร์ เยอรมนี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ ทองคำ หดตัวร้อยละ 27.1 (หดตัวในตลาดสวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี แต่ขยายตัวดีในตลาดสิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และไต้หวัน) สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวร้อยละ 19.8 (หดตัวแทบทุกตลาด อาทิ จีน เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และสปป.ลาว แต่ขยายตัวดีในตลาดญี่ปุ่น อินเดีย และสหรัฐฯ) เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว หดตัวร้อยละ 13.2 (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม จีน มาเลเซีย กัมพูชา และเมียนมา แต่ขยายตัวดีในตลาดออสเตรเลีย สปป.ลาว และฮ่องกง) รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 12.6 (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย จีน ซาอุดีอาระเบีย และอินโดนีเซีย แต่ขยายตัวดีในตลาดญี่ปุ่น เวียดนาม สหรัฐฯ และเม็กซิโก) ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2563 สินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 7.0
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปตลาดสำคัญอยู่ในทิศทางฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป มูลค่าการส่งออก
ในหลายตลาดปรับดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อน และหลายตลาดกลับมาขยายตัวในระดับสูง ทั้งนี้ ภาพรวม
การส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่างๆ สรุปได้ดังนี้ 1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 4.8 จากตลาดสหรัฐฯ ที่ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 17.0 ขณะเดียวกัน สหภาพยุโรป(15) ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนมาก เหลือหดตัวเพียงร้อยละ 0.4 ขณะที่ญี่ปุ่นหดตัวร้อยละ 5.3 2) ตลาดศักยภาพสูง หดตัวร้อยละ 13.5 โดยการส่งออกไปตลาดจีน อาเซียน(5) และ CLMV หดตัวร้อยละ 6.1 ร้อยละ 27.2 และร้อยละ 17.0 ตามลำดับ ขณะที่เอเชียใต้กลับมาขยายตัวร้อยละ 15.6 และ 3) ตลาดศักยภาพระดับรอง หดตัวร้อยละ 2.8 โดยตลาดตะวันออกกลาง(15) แอฟริกา และรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS หดตัวร้อยละ 18.1 ร้อยละ 16.7 และร้อยละ 2.0 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปทวีปออสเตรเลีย(25) ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนร้อยละ 4.2 และลาตินอเมริกากลับมาขยายตัวร้อยละ 12.9
2. แนวโน้ม และมาตรการส่งเสริมการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2563
แนวโน้มการส่งออกของไทย ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี หลายสินค้าสามารถขยายตัวได้ แม้เผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในหลายประเทศ สินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อไปได้อีกระยะหนึ่งยังเป็นสินค้ากลุ่มเดิมที่มีศักยภาพท่ามกลางโควิด-19 อาทิ สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการแพร่ระบาด หรือสินค้า
ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) แต่อาจกลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อการผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 สำเร็จ นอกจากนี้ ผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการ ทำให้ทราบแนวโน้มนโยบายของว่าที่ผู้นำคนใหม่
ที่คาดว่าจะช่วยให้สถานการณ์การค้าโลกผันผวนน้อยลง อย่างไรก็ดี ผู้นำคนใหม่อาจมีนโยบายด้านมาตรฐานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เห็นว่า เป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการไทยจะยกระดับการผลิตสินค้าให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้นและแข่งขันได้มากขึ้น ดังนั้นการเพิ่มมูลค่าส่งออกในระยะถัดไป จำเป็นต้องขยายตลาด
ในสินค้ากลุ่มใหม่ และให้ความสำคัญกับการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูง
มาตรการส่งเสริมการส่งออก คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.พาณิชย์) มีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ 3 ประเด็นหลัก คือ เร่งรัดการส่งออก ผลักดันและแก้ไขปัญหาการค้าชายแดน เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านกลับมามีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สูงอีกครั้ง และเจรจาข้อตกลงทางการค้าภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงประเด็นย่อย อาทิ การเร่งรัดส่งออกข้าวที่เหลืออีก 3 แสนตันตาม MOU ไทย-จีน การแก้ไขปัญหาต้นทุนค่าขนส่ง โดยเฉพาะค่าระวางเรือที่มีอัตราสูง การแก้ไขการขาดแคลนตู้ขนส่งสินค้าทางเรือ รวมถึงการประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้าอาหารไทยว่าปลอดจากเชื้อไวรัส
โควิด-19 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้การส่งออกของไทยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ
13. เรื่อง ของขวัญปีใหม่ ปี 2564 (สำนักงาน ก.พ.ร. และ ศอ.บต.)
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต) เสนอโครงการ/กิจกรรมที่จะดำเนินการเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชนประจำปี 2564 (เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ที่กำหนดให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งพิจารณาแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบที่สมควรจะดำเนินการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชนดังเช่นทุกปีที่ผ่านมา และให้นำเสนอแผนงาน/โครงการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี) โดยมีสาระสำคัญ เช่น
หน่วยงาน |
โครงการ/กิจกรรม |
สำนักงาน ก.พ.ร. |
1. กลุ่มงานบริการภาครัฐในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ปัจจุบันมีจำนวน 325 งานบริการ ประกอบด้วย 1.1 งานบริการเพื่อประชาชน จำนวน 87 งานบริการ เช่น ระบบตรวจสอบสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล การสืบค้นราคาประเมินที่ดิน 1.2 งานบริการสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ/SMEs จำนวน 192 งานบริการ เช่น การจดทะเบียนขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ การขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า 1.3 งานบริการด้านแรงงานหรือส่งเสริมการมีงานทำ จำนวน 46 งานบริการ เช่น การขอหนังสือคนประจำเรือ การขึ้นทะเบียนคนว่างงาน 2. กลุ่มศูนย์บริการร่วมภาครัฐ จำแนกเป็น 2.1 ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการเกี่ยวกับการร้องทุกข์ ขอความเป็นธรรม รวมทั้งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน 2.2 ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ทำหน้าที่ในการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร รับเรื่องปัญหาความต้องการและข้อเสนอแนะของประชาชนในแต่ละจังหวัด 2.3 ศูนย์บริการร่วมกระทรวง ให้บริการข้อมูลข่าวสาร รวมถึงรับเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับงานของทุกหน่วยงานในสังกัด ปัจจุบันมีข้อมูลเว็บไซต์ที่สามารถติดต่อศูนย์บริการร่วมกระทรวงได้ 15 กระทรวง 2.4 ศูนย์บริการร่วมระหว่างหน่วยงาน โดยรวมศูนย์การให้บริการของหน่วยงานต่างๆ ณ จุดเดียว เช่น ห้างสรรพสินค้า ซึ่งประเภทงานบริการจะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ขึ้นอยู่กับความต้องการของประชาชน |
ศอ.บต. |
1. การสร้างความรัก ความสามัคคี ผ่านการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น มหกรรมโครงการพระราชดำริกับการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การขยายผลโครงการธนาคารอาหารปลอดภัยระดับหมู่บ้าน/ตำบล และการช่วยเหลือเด็กพิเศษที่มีปัญหาทางกายภาพด้วยการใช้ “เก้าอี้สุขใจ” และ “รองเท้าสั่งตัด” 2. การดูแลทางสังคมและความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น เช่น การพัฒนาสถาบันการศึกษาปอเนาะให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ตลอดชีวิต การรณรงค์การรับวัคซีนเพื่อป้องกันโรค และการมอบเตียงสำหรับผู้ป่วยติดเตียงเพื่อลดปัญหาแผลกดทับและโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ 3. การพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น การแก้ไขปัญหาและพัฒนาอาชีพประมง การผลักดันจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นศูนย์กลางครัวอาหารฮาลาลโลก และการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 4. การเร่งรัดแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เช่น การประสานตลาดแรงงานรองรับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ว่างงาน การเร่งรัดการออกเอกสารสิทธิที่ดินทำกินให้แก่ราษฎร และการคืนระบบชลประทานขนาดเล็กให้แก่ประชาชน |
14. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 3/2563 และแนวโน้มไตรมาสที่ 4/2563 และรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนตุลาคม 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 3/2563 และแนวโน้มไตรมาสที่ 4/2563 และรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจำเดือนตุลาคม 2563 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอดังนี้
สาระสำคัญ
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 3/2563 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) หดตัวร้อยละ 8.3 โดยปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งยังคงมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวรวมถึงผลกระทบจากถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อุตสาหกรรมสำคัญที่หดตัวในไตรมาสที่ 3/2563 อาทิ การผลิตรถยนต์ ภาวะการผลิตลดลงจากสินค้าเกือบทุกรายการสินค้า ยกเว้นรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ รถตรวจการณ์ปัจจัยหลัก มาจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดส่งออกรถยนต์ปรับลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าได้รับผลกระทบอย่างมากและฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ รวมถึงตลาดในประเทศปรับตัวลดลงเช่นกัน การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม การผลิตลดลง เนื่องจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศและส่งออกในปีนี้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงไปโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ทำให้การขนส่งเดินทางของผู้คนทั้งที่เป็นการเดินทางระหว่างประเทศและในประเทศลดลง การผลิตน้ำตาล ลดลงเนื่องจากปีนี้ปิดหีบการผลิตเร็วกว่าปีก่อน จากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง และพื้นที่ปลูกอ้อยลดลง สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวดีในไตรมาสที่ 3/2563 อาทิ การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ภาวะการผลิตเพิ่มขึ้นในเกือบทุกสินค้า (ยกเว้นพัดลมตามบ้าน) จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศ ที่ผ่อนคลายลงรวมถึงปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบคลี่คลายลงเช่นกัน อีกทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปมีความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีนวัตกรรมเพิ่มขึ้น การผลิตเภสัชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค ภาวะการผลิตเพิ่มขึ้นทุกรายการสินค้าจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องมีการผลิตยาสำรองไว้ให้เพียงพอต่อการรักษา
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนตุลาคม 2563 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) หดตัวร้อยละ 0.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (ขยายตัวร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า)
อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนตุลาคม 2563 หดตัวเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ
1. รถยนต์ และเครื่องยนต์ หดตัวร้อยละ 3.32 จากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังคงชะลอตัวจากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้การส่งออกรวมยังคงลดลง อย่างไรก็ตามตลาดในประเทศเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จากรถบรรทุกปิคอัพ เครื่องยนต์ และรถยนต์นั่งขนาดเล็ก
2. เสื้อผ้าสำเร็จรูป หดตัวร้อยละ 17.21 จากตลาดในประเทศ และตลาดส่งออกที่ลดลงจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจในประเทศและประเทศคู่ค้า เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นชะลอตัว และผู้ผลิตบางรายยังคงหยุดผลิตชั่วคราว
3. อาหารทะเลแช่แข็ง หดตัวร้อยละ 14.14 จากการผลิตกุ้งและปลาแช่แข็งที่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากการลดปริมาณการเลี้ยงกุ้งของเกษตรกร
อุตสาหกรรมสำคัญที่ยังขยายตัวในเดือนตุลาคม 2563 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
1. การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.45 เนื่องจากโรงกลั่น 2 ราย หยุดซ่อมบำรุงใหญ่ในปีก่อน แต่ปีนี้เป็นการซ่อมบำรุงเพียงบางหน่วยและเริ่มกลับมาผลิตตามปกติแล้ว
2. ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.07 ตามความต้องการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โลกที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น รวมถึงยังมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ช่วงนี้ยังมีการเร่งผลิตและส่งมอบ
แนวโน้มอุตสาหกรรมสาขาสำคัญไตรมาสที่ 4/2563
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.9 เนื่องจาก Semiconductor devices transistor เป็นสารกึ่งตัวนำที่ใช้ผลิตอุปกรณ์เล็กทรอนิกส์ประเภทโซลาร์เซลล์ ซึ่งปัจจุบันมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงความต้องการ HDD ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยี 5G และผลิตภัณฑ์สำหรับโครงสร้างพื้นฐานทาง IT ทำให้ยังคงมีความต้องการเพิ่มขึ้น
อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ คาดว่า ผลิตภัณฑ์กระดาษ (กระดาษแข็ง กระดาษลูกฟูก และกระดาษคราฟต์) ที่ใช้ผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของกลุ่มอาหาร อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม ขณะเดียวกันบรรจุภัณฑ์กระดาษในยุค New Normal จะขยายตัวค่อนข้างมากแบบก้าวกระโดด จากอานิสงส์ของการสั่งสินค้าทางออนไลน์
อุตสาหกรรมยา คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 9.74 ตามแนวโน้มการขยายตัวที่ดีของตลาดทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการส่งออกคาคว่าจะขยายตัวได้ดีในตลาดอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนาม เมียนมา และลาว
อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง การผลิตยางรถยนต์ คาดว่าจะหดตัวลงร้อยละ 17.18 ตามการชะลอตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศและเศรษฐกิจโลก ในขณะที่การผลิตถุงมือยางคาคว่าจะขยายตัวร้อยละ 24.76 ตามแนวโน้มความต้องการใช้ที่สูงขึ้น สำหรับการผลิตยางแปรรูปขั้นปฐมคาดว่าจะหดตัวลงร้อยละ 5.00 ตามแนวโน้มความต้องการใช้ทั้งในและต่างประเทศที่ลดลง
อุตสาหกรรมอาหาร คาดว่าดัชนีผลผลิตในภาพรวมจะหดตัวลง จากปัจจัยลบได้แก่ วัตดุดิบสินค้าเกษตรลดลงจากปัญหาภัยแล้ง เช่น อ้อย และมันสำปะหลัง ทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการผลิตของโรงงาน อย่างไรก็ตามการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้นจากการเปิดให้นักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ หรือ Special Tourist Visa เข้ามาพำนักระยะยาวในไทย รวมถึงมาตรการกระตุ้นการบริโภคจากภาครัฐ สำหรับมูลค่าการส่งออกมีแนวโน้มหดตัวเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และมาตรการคุมเข้มเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในกลุ่มประเทศยุโรปอย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ระบาดรอบที่ 2 ของโควิด-19 ในหลายประเทศ ผลิตภัณฑ์อาหารบางชนิดอาจขยายตัว เช่น อาหารสำเร็จรูป (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทูน่าและซาร์ดีนกระป๋อง) นม สิ่งปรุงรส และอาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูป ตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ
15. เรื่อง โครงการของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชน (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชนตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยกระทรวงการต่างประเทศมีโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชน ดังนี้
1. การให้บริการเครื่องรับคำร้องขอทำหนังสือเดินทางด้วยตนเอง (kiosk) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่เครื่องแรกของประเทศไทยในเดือนมกราคม 2564 โดยให้บริการสำหรับผู้บรรลุนิติภาวะแล้วที่เคยถือหนังสือเดินทางมาก่อน (มิใช่กรณีการขอทำหนังสือเดินทางครั้งแรก) ที่สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราวปทุมวัน (ศูนย์การค้า MBK) ในเวลาทำงาน 10.00-18.00 น.
2. การให้บริการแปลและยกเว้นค่าธรรมเนียม เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ (10 วันทำการ) ณ กรมการกงสุล และสำนักงานสัญชาติและนิติกรณ์ อีก 4 แห่งทั่วประเทศ สำหรับการยื่นขอรับรองเอกสาร
ทะเบียนราษฎรและทะเบียนครอบครัว 19 ประเภท
อย่างไรก็ดี โดยที่ระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการรับรองเอกสาร พ.ศ. 2539 ข้อ 21และประกาศกระทรวงการต่างประเทศได้กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการรับรองเอกสาร ดังนั้น เพื่อให้เป็นของขวัญ ปีใหม่ให้แก่ประชาชน กระทรวงการต่างประเทศจึงเห็นควรให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวข้างต้น
สาระสำคัญ
1. ให้สิทธิผู้ร้องรายละ 1 ชุดเอกสาร และต้องมารับเอกสารที่ผ่านการรับรองแล้วด้วยตนเองโดยจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการรับรองเอกสาร 200 บาท/คน (1 คน ต่อ 1 สิทธิเอกสาร) สำหรับการยื่นขอรับรองเอกสารจำนวน 19 ประเภท ได้แก่ (1) บัตรประชาชน (2) แบบรับรองการทะเบียนราษฎร (3) ทะเบียนบ้าน (4) สูติบัตร (5) มรณบัตร (ยื่นโดยบุคคลในครอบครัว) (6) ใบสำคัญการสมรส (7) ทะเบียนสมรสและบันทึก (8) ใบสำคัญการหย่า (9) ทะเบียนหย่าและบันทึก (10) ทะเบียนฐานะแห่งครอบครัว (11) บันทึกฐานะแห่งครอบครัว
(12) หนังสือรับรองการใช้คำนำหน้านาม (13) หนังสือสำคัญการเปลี่ยนชื่อสกุล (14) หนังสือสำคัญการเปลี่ยนชื่อตัว
(15) หนังสือสำคัญการร่วมใช้ชื่อสกุล (16) หนังสือสำคัญการจดทะเบียนการเปลี่ยนชื่อสกุล (17) หนังสือรับรองสถานภาพการสมรส (18) หนังสือรับรองอำนาจปกครองบุตร (19) หนังสือยินยอมให้บุตรเดินทางไปต่างประเทศ
2. ผู้ร้องสามารถยื่นขอรับบริการได้ที่ กรมการกงสุล และสำนักงานสัญชาติและนิติกรณ์ อีก 4 แห่ง กล่าวคือ (1) สำนักงานสัญชาติและนิติกรณ์ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT คลองเตย (2) สำนักงานเดินทางชั่วคราว เชียงใหม่ (3) สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว อุบลราชธานี และ (4) สำนักงานเดินทางชั่วคราว สงขลา ทั้งนี้ การให้บริการดังกล่าวมีกรอบระยะเวลา 2 สัปดาห์ (10 วันทำการ)
16. เรื่อง โครงการ/กิจกรรมของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อเป็นของขวัญ
ปีใหม่ 2564 มอบให้แก่ประชาชน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการ/กิจกรรมของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ
นวัตกรรม เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 มอบให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ
นวัตกรรมเสนอ โดยมีโครงการ/กิจกรรมของกระทรวงฯ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 มอบให้แก่ประชาชน
ทั่วประเทศ รวม 13โครงการ/กิจกรรม แบ่งเป็น
1. โครงการ/กิจกรรมเพื่อโครงการ/กิจกรรมเพื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบและผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงจากสถานการณ์โควิด-19 หรือ PM2.5 และผู้ประสบเหตุจากภัยต่าง ๆ จำนวน 4 กิจกรรม
2. โครงการ/กิจกรรมเพื่อเด็ก เยาวชน ผู้ปกครองและผู้ที่สนใจ จำนวน 5 กิจกรรม
3. โครงการ/กิจกรรมเพื่อผู้ประกอบการ จำนวน 4 กิจกรรม
ข้อมูลโครงการ/กิจกรรมของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 มอบให้แก่ประชาชน
1. โครงการ/กิจกรรมเพื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบและผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงจากสถานการณ์โควิด-19 หรือ PM2.5 และ ผู้ประสบเหตุจากภัยต่าง ๆ
สาระสำคัญ |
ระยะเวลา |
สถานที่ |
|
---|---|---|---|
1.1 บริการข้อมูล |
ข้อมูลและการรายงานผลคุณภาพอากาศ โดยเฉพาะปริมาณ PM2.5, PM10 และ Air Quality Index ที่มีการบูรณาการการเชื่อมโยงข้อมูล ทั้งการตรวจวัด การแปลผล และการให้คำแนะนำ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และยังมีรูปแบบการนำเสนอที่เข้าใจง่าย และยังได้เพิ่มเติมข้อมูล เช่น การคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้า 1 - 3 วัน เพื่อให้สามารถเตรียมการปฏิบัติล่วงหน้าทั้งในภาคหน่วยงานและภาคประชาชน ด้วยเครื่องวัดข้อมูลฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ (Dust Boy) ด้วยระบบเซ็นเซอร์ เชื่อมต่อข้อมูลด้วยระบบสถาปัตยกรรมเน็ตเวิร์คอัจฉริยะ สามารถวัดฝุ่น PM2.5 และ PM10 โดยเทคนิคการกระเจิงแสง (Light Scattering) เพื่อเฝ้าระวังฝุ่นละอองขนาดเล็ก |
เริ่มใช้งานได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
|
- Application “ศูนย์เฝ้าระวังข้อมูลคุณภาพอากาศ”ผ่าน AppStore /PlayStore - เครื่อง Dust Boy |
1.2 “WIN-Masks” นวัตกรรมหน้ากากผ้านาโนกันไรฝุ่น |
นวัตกรรมหน้ากากผ้านาโนกันไรฝุ่น WIN-Masks สามารถกรองฝุ่นและละอองฝอยจากเสมหะขนาดเล็กระดับ 2.5-5 ไมครอนได้ ซักล้างได้ มีคุณภาพมาตรฐาน ผ่านการทดสอบจากห้องปฏิบัติการที่น่าเชื่อถือ มอบให้ประชาชน จำนวน 2,000 ชิ้น |
วันที่ 29 ธันวาคม 2563 หรือ |
มอบให้กรมสนับสนุนบริการฯ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำไปมอบให้กลุ่มเป้าหมาย ที่จังหวัดสมุทรสาคร |
1.3 หน้ากากผ้าไหมไทยมาตรฐานสากลจากการประยุกต์ใช้แสงซินโครตรอน
|
ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแสงซินโครตรอนมาวิจัยโครงสร้างสามมิติที่มีผลต่อประสิทธิภาพการกรองของเส้นใยและรูปแบบการทอในผ้าชนิดต่าง ๆ และนำมาสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อวัดความสามารถของหน้ากากในการดักอนุภาคและวัดการระบายอากาศ (Air permeability) ซึ่ง |
มกราคม
|
- งานเกษตรสุรนารี 64 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี |
1.4. Line @TraffyFondue รับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง |
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เตรียมเปิดรับแจ้งภัย 15 ประเภท เช่น อุทกภัย ภัยหนาว ดินโคลนถล่ม จากประชาชนทั่งประเทศผ่าน LINE Chat BOT “ปภ รับแจ้งเหตุ 1784” โดยมี Traffy Fondue เป็นแพลตฟอร์มสนับสนุน ด้วยความร่วมมือของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี |
เริ่มใช้งานได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป |
ผ่านคอมพิวเตอร์ หรือมือถือ |
2. โครงการ/กิจกรรมเพื่อเด็ก เยาวชน ผู้ปกครองและผู้ที่สนใจ
โครงการ/กิจกรรม |
สาระสำคัญ |
ระยะเวลา |
สถานที่ |
---|---|---|---|
2.1 งานมหกรรมดาราศาสตร์ NARIT Astro Fest 2021
|
ตะลุยโลกดาราศาสตร์...วันเด็กแห่งชาติ ในงานมหกรรม
- ชมดาวเคล้าดนตรี - กิจกรรมตอบปัญหาดาราศาสตร์ รับของที่ ระลึกสื่อการเรียนรู้ดาราศาสตร์ภายในงาน เข้าร่วมฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย |
วันเสาร์ที่ 9 มกราคม 2564 |
- อุทยานดาราศาสตร์ สิรินธร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ - หอดูดาวเฉลิมพระเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา นครราชสีมา - หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ฉะเชิงเทรา - หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา สงขลา |
2.2 เข้าชมพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ 4 แห่ง
|
- เฉพาะวันหยุด (วันเสาร์-อาทิตย์ นักขัตฤกษ์) เข้าชมพิพิธภัณฑ์ 4 แห่ง ฟรี! (เสียค่ากิจกรรมตามปกติ) - เฉพาะวันธรรมดา (อังคาร – ศุกร์) เข้าร่วมกิจกรรมฟรี 3 กิจกรรม 1. การแสดงทางวิทยาศาสตร์ (Science Show) 2. โดมดูดาว(Science Dome) 3. โดมภาพยนตร์กำเนิดโลก (Bigbang) เพื่อเสริมสร้างแรงบันดาลใจด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป |
ตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2563 - 3 มกราคม 2564 |
อพวช. คลองห้า ปทุมธานี ได้แก่ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ พิพิธภัณฑ์พระรามเก้า |
2.3 Fun Science @homeสนุกวิทย์ฯ ผ่านคลิปทดลอง |
สวทช. ปรับตัวไปสู่ชีวิตวิถีใหม่ New Normal จัดกิจกรรม Fun Science @Home by NSTDA ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ เพื่อให้เยาวชนและผู้ปกครองใช้เวลาว่าง ร่วมกันทดลองกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ผ่านคลิปวิดีโอ เช่น สารสีในใบไม้ พืชดูดน้ำ เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างกิจกรรมทดลองที่สร้างสรรค์เนื้อหาและสอนการทดลองโดยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยต่างๆ และนักวิชาการ สวทช. สสวท. ร่วมกันพัฒนากิจกรรม |
ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
|
ผ่านคอมพิวเตอร์ หรือมือถือ |
2.4 ค่ายเยาวชนนิวเคลียร์ “รักอะตอม” |
สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) จัดค่ายวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาใน อ.เชียงกลาง จ.น่านและอำเภอใกล้เคียง เพื่อเสริมสร้างทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และความตระหนักเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์และรังสี การกำกับดูแล ความปลอดภัย รวมทั้งแนวทางการศึกษาและโอกาส ในการทำงาน ไปสู่กลุ่มเยาวชนและบุคลากรทางการศึกษาซึ่งขาดโอกาสและอยู่ห่างไกลในส่วนภูมิภาค
|
ระหว่างวันที่ 23 – 25 ธันวาคม 2563 |
ณ โรงเรียนพระธาตุพิทยาคม อ. เชียงกลาง จ.น่าน |
2.5 เข้าชมพิพิธภัณฑ์ Space Inspirium ชลบุรี ฟรี |
Space Inspirium เปิดให้เข้าชมฟรี เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้กับประชาชนได้รับความรู้ และประสบการณ์แปลกใหม่ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศ เพื่อการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพ ความรู้ ความสามารถและความเข้าใจซึ่งเป็นพลังสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของประเทศ |
29 ธันวาคม 2563 - |
Space Inspirium |
3. โครงการ/กิจกรรมเพื่อผู้ประกอบการ
โครงการ/กิจกรรม |
สาระสำคัญ |
ระยะเวลา |
สถานที่ |
---|---|---|---|
3.1 ลดค่าบริการทดสอบและสอบเทียบทุกรายการ 20%
|
การวิเคราะห์ ทดสอบ สอบเทียบ เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพ ที่ใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นพื้นฐานสำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์ เสริมสร้างการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกภาคส่วน |
มกราคม-มีนาคม 2564 |
กรมวิทยาศาสตร์บริการ |
3.2 ลดราคางานบริการกลุ่มอุตสาหกรรม 20%
|
สำหรับงานบริการที่ วว. จัดโปรโมชั่น มีดังต่อไปนี้ ศูนย์ทดสอบและมาตรวิทยา - งานสอบเทียบเครื่องมือและเครื่องมือวัดต่างๆ - งานวิเคราะห์/ทดสอบ ศูนย์พัฒนาและทดสอบสมบัติของวัสดุ - การวิเคราะห์ปริมาณอินทรีย์คาร์บอน (Total Organic Carbon), ทดสอบความแข็งแบบวิกเกอร์ส, ทดสอบทางกลของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ,ทดสอบความหยาบผิว ศูนย์บรรจุหีบห่อไทย - ทดสอบความต้านทานแรงตกกระแทกอย่างฉับพลัน (Shock resistance) - ความต้านทานแรงกด - การทดสอบบรรจุภัณฑ์ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ศูนย์ทดสอบมาตรฐานระบบขนส่งทางราง - งานทดสอบ Tensile |
มกราคม – มีนาคม 2564
|
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งประเทศเทย เทคโนธานี |
3.3 แจกต้นกล้า “ไทรทริส” พืชประดับเศรษฐกิจ |
แจกต้นกล้า “ไทรทริส” พืชประดับเศรษฐกิจ จำนวน 200 ต้น มุ่งสร้างสังคมสีเขียว สิ่งแวดล้อมเมืองอย่างยั่งยืน ซึ่ง วว. ประสบผลสำเร็จในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม พัฒนาพันธุ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นไม้ประดับชนิดใหม่ สร้างทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ สร้างรายได้ที่มั่นคง ซึ่ง วว. จะแจกต้นกล้า “ไทรทริส” ให้แก่ประชาชนในงานฝึกอบรมและพัฒนาความรู้ “สร้างนักวิจัยให้มีศักยภาพในการวิจัยไม้ดอกไม้ประดับสู่ตลาดโลก” |
8.30 - 16.30 น. |
15 ธันวาคม 2563 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นท์ กรุงเทพมหานคร |
3.4 ตลาดนัดผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก
|
คัดเลือกสินค้าที่มีคุณภาพ ได้รับมาตรฐานที่ กรมวิทยาศาสตร์บริการได้ให้คำปรึกษา ถ่ายทอดเทคโนโลยี และพัฒนากระบวนการผลิตมาจัดจำหน่าย เพื่อให้ผู้ที่สนใจมาเลือกซื้อสินค้าเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสปีใหม่ 2564 |
14 ธันวาคม 2563 - |
กรมวิทยาศาสตร์บริการ ถนน พระราม 6 เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร |
17. เรื่อง แผนงาน/โครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชน ของกระทรวง
การท่องเที่ยวและกีฬา
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนงาน/โครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชน
ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
สาระสำคัญ
แผนงาน/โครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2564 ให้แก่ประชาชน ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กรมการท่องเที่ยว
1) จัดทำรายชื่อที่พักนักเดินทาง (Home Lodge) ที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพให้ประชาชนได้รับบริการ จำนวน 482 แห่ง 1,327 ห้อง ซึ่งผู้ผ่านเกณฑ์จะได้รับตราสัญลักษณ์ผ่านเกณฑ์คุณภาพ Home Lodge จากกรมการท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวสามารถสังเกตสัญลักษณ์ดังกล่าวเพื่อความมั่นใจในการเลือกที่พักในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศได้ และสามารถค้นหารายชื่อที่พักทั้งหมดที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพได้ทาง Facebook “ThailandHomelodge” ซึ่งอนาคตจะพัฒนาสู่เว็บไซต์ www.thailandhomelodge.com ที่สามารถเข้าถึงและให้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และกรมการท่องเที่ยวจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พร้อมให้บริการอย่างมีคุณภาพและเพียงพอต่อความต้องการของนักท่องเที่ยว
2) จัดให้มีสำนักงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ สาขาภาคใต้เขต 1 (สาขาย่อยหาดใหญ่) เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว มัคคุเทศก์ ผู้นำเที่ยว และประชาชนทั่วไป เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและบริการประชาชนรวมถึงผู้ที่มาติดต่อได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง โดยสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 151/38 หมู่ที่ 4 ตำบลคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยจะเปิดให้บริการ ในวันที่ 11 มกราคม 2564 เวลา 08.30 - 16.30 น. เป็นต้นไป
2. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
1) งาน Amazing Thailand Countdown 2021 @ ICONSIAM ในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์การค้า ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ ไฮไลท์กิจกรรม : ชมการแสดงพลุตลอดคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาความยาว 1,400 เมตร ภายใต้แนวคิด “Magic Upon The River มหัศจรรย์ความสุขเหนือสายน้ำ” และถ่ายทอดสด live ผ่านช่องไทยรัฐ Online
2) งาน CentralwOrld Bangkok Countdown 2021 ในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ โดยปรับรูปแบบกิจกรรมเป็นแบบ Visual Live Event เป็นการจัดกิจกรรม Countdown Online
3) งาน Siam Paragon The Glorious Celebration 2021 ระหว่างวันที่ 18-31 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ ไฮไลท์กิจกรรม : Street Performance Show และ การแสดงดนตรี Jazz ในวันที่ 31 ธันวาคม 2563
4) เทศกาลตกแต่งประดับไฟย่านราชประสงค์ ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ถึง 5 มกราคม 2564 ณ สี่แยกราชประสงค์ ถนนราชดำริและถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ ไฮไลท์กิจกรรม : กิจกรรมตกแต่งประดับไฟสวยงามย่านราชประสงค์ ตลอด 36 วัน
5) งานปีใหม่สาเกตนคร ออนซอนหอโหวด 101 ระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2563 ถึง 1 มกราคม 2564 ณ บริเวณลานหน้าหอโหวด จ.ร้อยเอ็ด ไฮไลท์กิจกรรม : การแสดงแสงสีเสียง และพลุเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2564 ณ บริเวณหอโหวต รวมถึงการแสดงดนตรีจากศิลปินที่มีชื่อเสียง
6) Fine Day @ Night Bazzar Countdown 2021 ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.63 ถึง 1 ม.ค.64 ณ Night Bazaar เชียงใหม่ ไฮไลท์กิจกรรม : การแสดงแสงสีเสียง และพลุเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2564 รวมถึงการแสดงดนตรีจากศิลปินที่มีชื่อเสียง
7) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท ไดรฟ์ ดิจิทัล จำกัด (เพจ Sneakout หนีเที่ยว) จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวภายใต้โครงการเที่ยวเมืองไทย...ให้หายคิดถึง ปี 2564 โดยการนำเสนอกิจกรรม “ไลฟ์โปรลับ 25 โรงแรม ลดส่งท้ายปี 80% เชียงใหม่ เชียงราย” ซึ่งเป็นการเสนอขายสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจของจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวที่ได้รับมาตรฐาน SHA (Amazing Thailand Safety and Health Administration) ผ่านการจัดกิจกรรม Live Streaming เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 เวลา 18.30 น. ทั้งนี้มียอดจองจำนวน 5,100 สิทธิ์ ทั้งนี้สิทธิ์ดังกล่าวสามารถใช้ถึงเดือนมีนาคม 2564
8) เทศกาลตรุษจีน ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 10-12 กุมภาพันธ์ 2564 ณ ถนนเยาวราช กรุงเทพมหานคร และชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีนในประเทศไทย เช่น นครสวรรค์ สุพรรณบุรี ชลบุรี ภูเก็ต เป็นต้น ไฮไลท์กิจกรรม : การจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย - จีน ครบรอบ 46 ปี การแสดงวัฒนธรรมจีนจากลูกหลานชาวไทยเชื้อสายจีน ในประเทศไทย การประดับตกแต่งไฟตลอดทั้งถนนเยาวราช
9) โครงการ Stress Free Festival มหกรรมแห่งความผ่อนคลาย ระหว่างวันที่ 25-27 กุมภาพันธ์ 2564 ณ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ไฮไลท์กิจกรรม : การปลดปล่อยความเครียดด้วยกิจกรรม โดยการจัดกิจกรรมผ่อนคลายในรูปแบบต่างๆ อาทิ กิจกรรมโยคะ นวดสปา การดูดวงโหราศาสตร์ ดนตรีบำบัด กิจกรรม DIY การออกร้านจำหน่ายสินค้างานคราฟ และอาหารสุขภาพ
10) โครงการ กระบี่นาคาเฟส ระหว่างวันที่ 19-21 กุมภาพันธ์ 2564 ณ หาดคลองม่วง จ.กระบี่ ไฮไลท์กิจกรรม : การแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินที่มีชื่อเสียง ท่ามกลางบรรยากาศผ่อนคลายริมชายหาด โดยมุ่งเน้นการจัดกิจกรรมที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม การออกร้านของชุมชนท้องถิ่น
11) โครงการ Workcation Thailand ระหว่างวันที่ 26-28 กุมภาพันธ์ 2564 ณ ลานแอร์พอร์ทลิงค์ มักกะสัน กรุงเทพมหานคร ไฮไลท์กิจกรรม : การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวเมืองรอง โดยจัดกิจกรรมโชว์เคสแนะนำและจำลองสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองรองที่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวและทำงานได้ในเวลาเดียวกัน รวมถึงการส่งเสริมการขายแพกเก็จท่องเที่ยวเมืองรอง ใน concept เปลี่ยนทุกสถานที่ของประเทศไทยให้กลายเป็นที่ทำงาน
3. การกีฬาแห่งประเทศไทย
1) โครงการ “คืนความสุขสมาชิกสวนสุขภาพ กกท.” โดยจัดบุคลากรทางการแพทย์และนักวิทยาศาสตร์การกีฬาให้บริการตรวจสุขภาพ (วัดความดันโลหิต) ให้ความรู้เกี่ยวกับการรับประทานยา ให้คำแนะนำการออกกำลังกาย และคำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกาย แก่ประชาชนทั่วไปที่มาใช้บริการสวนสุขภาพ กกท. ซึ่งดำเนินการเป็นประจำทุกวันศุกร์ ช่วงเวลา 06.00 - 08.00 น. โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2564
2) โครงการ “Safe Stadium” โดยเผยแพร่ความรู้ ทางเลือกของการออกกำลังกายอย่างถูกต้องเหมาะสม และดำเนินการจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์สำหรับการป้องกันการเสียชีวิตในสถานกีฬาที่การกีฬาแห่งประเทศไทยดูแล ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนที่รักสุขภาพเกิดความมั่นใจต่อการออกกำลังกายในสถานกีฬา ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมถึงการมีฝุ่นละอองในอากาศจำนวนมาก อาจทำให้ผู้ออกกำลังกายเกิดความอึดอัดแน่นหน้าอก จนถึงความผิดปกติของระบบหายใจและไหลเวียนเลือด ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ประชาชนจึงต้องมีความระมัดระวังในการออกกำลังกายมากขึ้น มีการตรวจเช็คสุขภาพพื้นฐานเป็นระยะ ๆ และออกกำลังกายอย่างมีขั้นตอน ซึ่งการกีฬาแห่งประเทศไทยได้ประสานความร่วมมือกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข ร่วมให้ความรู้แก่บุคลากรและประชาชนทั่วไปในสถานกีฬา เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ และมีทักษะในการช่วยชีวิตแก่บุคคลใกล้เคียงที่มีสัญญาณอันตรายที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตในขณะออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา และสามารถเข้าถึงอุปกรณ์เครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ (Automated External Defibrillator: AED) และการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วของระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ทำให้เกิดความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทุกภาคส่วน
4. มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ
ให้บริการอาคาร สถานที่ และสนามกีฬาทุกชนิด ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 10 มกราคม 2564
5. กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว
สร้างความเชื่อมั่นในด้านการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลวันคริสต์มาสและปีใหม่ 2564 โดยการจัดกิจกรรมปล่อยแถวแสดงกำลังสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวและกวาดล้างอาชญากรรมในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญช่วงเทศกาลวันคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ประจำปี 2564 จัดกิจกรรมแถลงข่าว จัดงานประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมเดินรณรงค์สร้างความเชื่อมั่นในด้านการรักษาความปลอดภัยแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว ในวันที่ 23 ธันวาคม 2563 ณ สนามกีฬาแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
6. องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)
1) กิจกรรมพัฒนามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้เป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์อารยธรรมอีสานใต้ โดยพัฒนาระบบแสดงข้อมูลกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอีสานใต้ ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสืบค้นผ่าน application บนโทรศัพท์มือถือ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2563
2) กิจกรรมเปิดหมู่บ้านท่องเที่ยว CBT 2564 ตอน โต้ลมหนาว เผาปลา ผารังหมี ประกอบไปด้วย การแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน การแข่งขัน “ตำส้มตำลีล” ที่ม่วนซื่นโฮแซว รับประทานอาหารเย็นพร้อมฟังเสวนา “การท่องเที่ยวชุมชนโดยคนไทรย้อยและเครือข่าย” การแสดงของเยาวชน และการบายศรีสู่ขวัญเพื่อความเป็นสิริมงคล ในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ณ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรบ้านผารังหมี จังหวัดพิษณุโลก
3) โครงการการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน “ย่านเมืองสร้างสรรค์ จังหวัดสุโขทัย” ประกอบไปด้วย กิจกรรมนั่งเรือชมอ่างแม่ปันลำ กิจกรรมแค้มป์ปิ้ง กิจกรรมเผาข้างหลาม/ปลาเผา กิจกรรมเสวนาเรื่องการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวโดยชุมชนวังหาด กิจกรรมดนตรีโฟล์คซองโดยเยาวชนบ้านวังหาด และกิจกรรมท่องเที่ยวตามเส้นทางท่องเที่ยว ในวันที่ 26 - 27 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณแก้มลิงอ่างเก็บน้ำแม่ลำพัน จังหวัดสุโขทัย
4) กิจกรรมชมดาว เผาข้าวหลาม ฟังตำนานปกาเกอะญอ ประกอบไปด้วย กิจกรรมตามรอยพ่อหลวง กิจกรรมชวนเพื่อนเก็บผักทำอาหารปกาเกอะญอ กิจกรรมเลี้ยงควาย กิจกรรมนั่งชมดาวเผาข้าวหลาม และรับฟังเสวนาตำนานของปกาเกอะญอ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ณ ชุมชนบ้านแม่สาน จังหวัดสุโขทัย
5) โครงการตลาดไตรตรึงษ์ กำแพงเพชร ประกอบไปด้วย การจัดจำหน่ายสินค้าชุมชน และการแสดงศิลปะพื้นบ้าน ในวันที่ 25 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณหน้าวัดวังพระธาตุ ชุมชนไตรตรึงษ์ จังหวัดกำแพงเพชร
6) โครงการตลาดท่าพุทรา ประกอบไปด้วย ตลาดจำหน่ายสินค้าชุมชน และการแสดงศิลปะพื้นบ้าน ในวันที่ 25 ธันวาคม 2563 ณ เทศบาลตำบลท่าพุทรา จังหวัดกำแพงเพชร
7) โครงการตลาดกอกใหม่ ท่าชัยอินดี้ ประกอบไปด้วย การจัดจำหน่ายสินค้าชุมชน และการแสดงศิลปะพื้นบ้าน ในวันที่ 2 มกราคม 2564 ณ ถนนคนเดินกอกใหม่ท่าชัยอินดี้ จังหวัดสุโขทัย
8) โครงการตลาดริมยม 2437 ประกอบไปด้วย การจัดจำหน่ายสินค้าชุมชน และการแสดงศิลปะพื้นบ้าน ในวันที่ 2 มกราคม 2564 ณ ตลาดริมยม จังหวัดสุโขทัย
9) กิจกรรมฝึกซ้อมแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินและการป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ร่วมกับเทศบาลตำบลเชียงคาน ในวันที่ 22 - 23 ธันวาคม 2463 ณ ถนนคนเดินเชียงคาน จังหวัดเลย
10) งาน Suphanburi festival 2021 ในวันที่ 30 ธันวาคม 2463 ณ สวนเฉลิมภัทรราชินี หอคอยบรรหาร แจ่มใส จังหวัดสุพรรณบุรี
18. เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา 2019 ระลอกใหม่
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอการผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
1. กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการ
1.1 ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ให้คนต่างด้าวรวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวที่มีสิทธิ
อยู่ในราชอาณาจักรตามสิทธิของคนต่างด้าวซึ่งเป็นบิดาหรือมารดาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะเพื่อดำเนินการตามแนวทางการผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ และมิให้นำมาตรา 12 (10) และมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ. 2522 มาใช้บังคับแก่คนต่างด้าวที่ได้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว รวมถึงกำหนดการสิ้นผลของการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะของคนต่างด้าว
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ยกร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ... ธันวาคม พ.ศ. 2563
1.2 ให้กรมการปกครองและกรุงเทพมหานคร ดำเนินการจัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติ และออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ให้แก่คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว
และเมียนมา รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าว ตามแนวทางการผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่
2. กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการ
ให้สถานพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุข กำหนด สถานพยาบาลที่กรมการแพทย์ กำหนด และสถานพยาบาลที่สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร กำหนด ดำเนินการ ดังนี้
2.1 ตรวจคัดกรองโควิด – 19 และตรวจโรคต้องห้าม คนต่างด้าวรวมถึงผู้ติดตาม
ซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าว โดยใช้แบบแจ้งข้อมูลบุคคล เป็นหลักฐานแสดงตน และออกใบรับรองผลการตรวจสุขภาพ
2.2 ประกันสุขภาพคนต่างด้าว รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าว
เป็นระยะเวลา 2 ปี
ตามแนวทางการผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา)
อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ โดยสถานพยาบาลต้องตรวจสุขภาพ และออกผลการตรวจสุขภาพ (ใบรับรองแพทย์) ให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
3. กระทรวงแรงงาน ดำเนินการ
3.1 ออกประกาศกระทรวงแรงงาน โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ออกประกาศอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงาน ตามแนวทางการผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา)
อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้ยกร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ........................ 3.2 ออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการการทำงาน
ของคนต่างด้าว สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด
ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์
การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ........................
3.3ให้กรมการจัดหางานเริ่มดำเนินการรับแจ้งรายชื่อ หรือแบบข้อมูลบุคคล
ตามแนวทางการผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป
4. ให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ แนวทางการผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ให้นายจ้าง/สถานประกอบการ คนต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบข้อมูลอย่างถูกต้องทั่วถึง
5. หลังสิ้นสุดระยะเวลาการยื่นบัญชีรายชื่อ หรือการแจ้งแบบข้อมูลบุคคล ตามแนวทางการผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดำเนินการตรวจสอบ ปราบปราม จับกุมดำเนินคดี คนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย หรือทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
สาระสำคัญ
การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ
ไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ มีแนวทางการดำเนินการ ดังนี้
1. กลุ่มเป้าหมาย : คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ที่อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด หรือหลบหนีเข้าเมือง ดังนี้
1.1 คนต่างด้าวที่มีนายจ้าง/สถานประกอบการ ประสงค์จ้างงาน รวมถึงผู้ติดตาม
ซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี
1.2 คนต่างด้าวที่ไม่ได้ทำงาน รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าว
ที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี
2. การดำเนินการ : แบ่งการดำเนินการตามกลุ่มเป้าหมายในข้อ 1. ดังนี้
2.1 คนต่างด้าวตามข้อ 1.1 ให้นายจ้าง/สถานประกอบการ ดำเนินการ ดังนี้
1) แจ้งรายชื่อคนต่างด้าวตามวิธีการที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กำหนด ระหว่างวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
2) ให้คนต่างด้าวเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และโรคต้องห้ามตามวิธีการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยใช้บัญชีรายชื่อตามข้อ 1) เป็นหลักฐานแสดงตน และประกันสุขภาพเป็นระยะ 2 ปี ภายในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564
3) เมื่อผ่านการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และโรคต้องห้ามแล้ว ให้ยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวตามวิธีการที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานกำหนด ภายในวันที่13 กันยายน พ.ศ. 2564
4) ให้คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานไปจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังของบัตรตามวิธีการที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยกำหนด ภายในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564
2.2 คนต่างด้าวตามข้อ 1.2 ให้ดำเนินการ ดังนี้
1) แจ้งแบบข้อมูลบุคคลตามวิธีการที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กำหนด ระหว่างวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
2) เข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 ตรวจโรคต้องห้าม ตามวิธีการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยใช้แบบแจ้งข้อมูลบุคคลตามข้อ 1) เป็นหลักฐานแสดงตน และประกันสุขภาพเป็นระยะ 2 ปี ภายในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564
3) จัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ตามวิธีการที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยกำหนด ภายในวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2564
4) เมื่อผ่านการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และโรคต้องห้าม และจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยกับกระทรวงมหาดไทยแล้ว ให้นายจ้าง/สถานประกอบการ ที่ประสงค์จะรับคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าทำงาน ยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวตามวิธีการที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานกำหนด ภายในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2564
5) ให้คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานไปปรับปรุงทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มี
สัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังของบัตร ตามวิธีการที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยกำหนด
2.3 ผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี ให้ดำเนินการ ดังนี้
2) เข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 ตรวจโรคต้องห้าม ตามวิธีการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยใช้บัญชีรายชื่อหรือแบบแจ้งข้อมูลบุคคลตาม 1) แล้วแต่กรณี เป็นหลักฐานแสดงตน และประกันสุขภาพเป็นระยะ 2 ปี ภายในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564
3) จัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ตามวิธีการที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยกำหนด ภายในวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2564
3. การดำเนินการทางกฎหมาย ดังนี้
3.1 กระทรวงมหาดไทย อาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ออกประกาศอนุญาตให้คนต่างด้าว รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 โดยให้นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในข้อ 2. และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงแรงงานตาม (2) หากนายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน และเงื่อนไขดังกล่าว ให้ถือว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด
3.2 กระทรวงแรงงาน อาศัยอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ออกประกาศอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงาน โดยกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการทำงาน และการดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในข้อ 2.1 และข้อ 2.2 ทั้งนี้ ออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวดังกล่าว เพื่อให้การจัดเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานเป็นไปด้วยความเท่าเทียมกัน
4. ผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าว ซึ่งต่อมามีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และสามารถทำงานได้ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน หากนายจ้าง/สถานประกอบการ ประสงค์จ้างงาน ให้ยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว ตามวิธีการที่กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานกำหนด
และเมื่อได้รับอนุญาตให้ทำงานแล้ว ให้คนต่างด้าวไปปรับปรุงทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังของบัตร ตามวิธีการที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยกำหนด
5. คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเลให้ยื่นขอหนังสือคนประจำเรือตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2563
6. ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ อาทิ ค่าธรรมเนียมการอนุญาตทำงาน ค่าตรวจคัดกรองโควิด – 19 ค่าตรวจโรคต้องห้าม ค่าประกันสุขภาพ ค่าจัดทำหรือปรับปรุงทะเบียนประวัติ และออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระบียบของหน่วยงานที่รับผิดชอบ
7. เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้กรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ แนวทางการดำเนินการผ่อนผันคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ที่อยู่ในราชอาณาจักร เพื่อดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ให้นายจ้าง/สถานประกอบการคนต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบข้อมูลอย่างถูกต้องทั่วถึง และให้กรมการจัดหางานเริ่มดำเนินการรับแจ้งรายชื่อ หรือแบบข้อมูลบุคคล ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป
ผลกระทบ
1. การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ
ไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ จะทำให้สามารถดำเนินการเฝ้าระวัง ติดตาม ควบคุม และป้องกันไม่ให้
มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในกลุ่มคนต่างด้าว สร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขของประเทศ
2. คนต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่อยู่ในราชอาณาจักร
โดยการอนุญาตสิ้นสุด หรือหลบหนีเข้าเมือง ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ และได้รับอนุญาตให้ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงคนต่างด้าวได้รับความคุ้มครองและมีสิทธิประโยชน์ สวัสดิการ ตามสิทธิที่พึงได้รับ
3. แนวทางการดำเนินการดังกล่าวจะตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจเอกชน
ที่มีความต้องการใช้แรงงานอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถดำเนินการให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ในช่วงที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟู เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในสถานการณ์ที่เป็นอยู่และภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคคลี่คลาย
ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา
1. งบประมาณจากต้นสังกัดของแต่ละหน่วยงานที่ร่วมดำเนินการเป็นลำดับแรก
2. กองทุนเพื่อการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
19. เรื่อง ขออนุมัติการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. ขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินยืมของบริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ทั้งต้นเงินยืมและดอกเบี้ย รวมทั้งดอกเบี้ยผิดนัดจากสัญญาเดิมนับแต่ปี 2563 ออกไปอีก 25 ปี (2563 - 2587) และให้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระคืนเงินยืมจากสัญญาเดิม โดยให้มีผลนับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งมีเงื่อนไขให้บริษัทฯ ดำเนินการ ดังนี้
1.1 พักชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 7 ปี นับตั้งแต่ปี 2563 - 2569 โดยภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในระยะเวลา 7 ปีของช่วงพักชำระหนี้ดังกล่าว ให้บริษัทฯ นำไปเฉลี่ยทยอยชำระคืนแก่กระทรวงการคลังในช่วงชำระคืนต้นเงินยืม
1.2 ทยอยชำระคืนต้นเงินยืม พร้อมดอกเบี้ยให้แก่กระทรวงการคลังภายในกรอบระยะเวลาชำระ 13 ปี นับตั้งแต่ปี 2570 - 2582
1.3 ปรับอัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระใหม่ โดยใช้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond Yield) อายุ 20 ปี ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2563 (ทศนิยมไม่เกิน 3 ตำแหน่ง) ทั้งนี้ ในการคำนวณอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในปี 2563 ให้บริษัทฯ ยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิมที่ร้อยละ 3.78 ต่อปี และจะเริ่มปรับใช้อัตราดอกเบี้ยใหม่นับตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป
1.4 ทยอยชำระคืนดอกเบี้ยผิดนัดตามสัญญาเดิม ภายหลังการชำระคืนต้นเงินยืมเสร็จสิ้น ภายในกรอบระยะเวลาชำระ 5 ปี (ปี 2583 - 2587)
2. ให้จัดทำสัญญาและตารางการชำระคืนเงินยืมใหม่ตามที่กระทรวงการคลังกำหนดภายใต้เงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติดังกล่าวข้างต้น โดยให้คำนึงถึงสภาพคล่องของบริษัทฯ ให้มีเพียงพอต่อการดำเนินกิจการ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถชำระคืนเงินยืมที่มีกับกระทรวงการคลังได้ทั้งหมดต่อไป ทั้งนี้ ภายใต้กรอบระยะเวลาการชำระหนี้ หากบริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA : Earnings Before Interest Tax Depreciation and Amortization) หลังหักชำระคืนเงินยืมตามงวดชำระที่มีกับกระทรวงการคลังแล้วเกิน 100 ล้านบาท เห็นควรให้บริษัทฯ ชำระคืนเงินยืมจากกำไรก่อน ดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายส่วนเกิน 100 ล้านบาท ดังกล่าว อีกร้อยละ 50 และบริษัทฯ สามารถชำระคืนเงินยืมให้แก่กระทรวงการคลังก่อนครบกำหนดทั้งจำนวนหรือบางส่วนก็ได้
3. มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กำกับติดตามการดำเนินกิจการของบริษัทฯ ตามแผนธุรกิจและแผนการปรับโครงสร้างหนี้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินการของบริษัทฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้งและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลต่อไป
20. เรื่อง การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษและการกำหนดวันหยุดราชการประจำภูมิภาค รวมทั้งการเลื่อนวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการ ประจำปี 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอดังนี้
1. กำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษและวันหยุดราชการประจำภูมิภาค ประจำปี 2564 ดังนี้
1.1 กำหนดให้วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564 และวันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ
1.2 กำหนดให้วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคเหนือ (ประเพณีไหว้พระธาตุประจำปี) วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ประเพณีงานบุญบั้งไฟ) วันพุธที่ 6 ตุลาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคใต้ (ประเพณีสารทเดือนสิบ) และวันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคกลาง (เทศกาลออกพรรษา)
2. ให้เลื่อนวันหยุดชดเชยวันปิยมหาราชจากวันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2564 เป็น วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2564
3. ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันหยุดดังกล่าวที่ได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ และกระทบต่อการให้บริการประชาชน
4. ในส่วนของรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมของการกำหนดเป็นวันหยุดให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องในแต่ละกรณีต่อไป
รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พิจารณากำหนดมาตรการจูงใจให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวและบริโภคสินค้าภายในประเทศมากขึ้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศอย่างต่อเนื่อง
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้เป็นประธานการประชุมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) สำนักงาน ก.พ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตัวแทนภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมโรงแรมไทย สมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย และผู้แทนสายการบิน เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ และวันหยุดราชการประจำภูมิภาค (เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563) รวมทั้งการเลื่อนวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการ ประจำปี 2564 เพื่อเป็นการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวอันจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ จากการหารือข้างต้น ที่ประชุมเห็นสมควรกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษและวันหยุดราชการประจำภูมิภาค รวมทั้งการเลื่อนวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการ ประจำปี 2564 ดังนี้
1.1 กำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ จำนวน 4 วัน ได้แก่ วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564 และวันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564
1.2 กำหนดวันหยุดราชการประจำภูมิภาค จำนวน 4 วัน ได้แก่ วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคเหนือ เพื่อให้มีวันหยุดต่อเนื่องกัน 3 วัน เนื่องในประเพณีไหว้พระธาตุประจำปี วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้มีวันหยุดต่อเนื่องกัน 3 วัน เนื่องในประเพณีงานบุญบั้งไฟ วันพุธที่ 6 ตุลาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคใต้ เนื่องในประเพณีสารทเดือนสิบ และวันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคกลาง เนื่องในเทศกาลออกพรรษา
1.3 ให้เลื่อนวันหยุดชดเชยวันปิยมหาราชจากวันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2564 เป็น วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2564 ซึ่งจะทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกัน 3 วัน คือวันศุกร์ที่ 22 – วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564 และทำให้ส่วนภูมิภาคภาคกลางมีวันหยุดต่อเนื่องกัน 4 วัน คือ วันพฤหัสบดีที่ 21 – วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564
2. การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ จำนวน 4 วัน และการกำหนดวันหยุดราชการประจำภูมิภาค ภาคละ 1 วัน [ให้วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 วันจันทร์ที่ 12เมษายน 2564 วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564 และวันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ และให้วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคเหนือ (ประเพณีไหว้พระธาตุประจำปี) วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ประเพณีงานบุญบั้งไฟ) วันพุธที่ 6 ตุลาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคใต้ (ประเพณีสารทเดือนสิบ) และวันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคกลาง (เทศกาลออกพรรษา)] รวมทั้งการเลื่อนวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการ ประจำปี 2564 จะทำให้มีภาพรวมวันหยุดราชการประจำปี 2564 รวมทั้งสิ้น 24 วัน ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีวันหยุดราชการรวมทั้งสิ้น 23 วัน
21. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 31/2563 (ผลการดำเนินงานของจังหวัดตามมติคณะรัฐมนตรี) และครั้งที่ 32/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 31/2563 (ผลการดำเนินงานของจังหวัดตามมติคณะรัฐมนตรี) และ ครั้งที่ 32/2563 ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกำหนดฯ) และการพิจารณาความเหมาะสมของการปรับปรุงรายละเอียดโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 พ.ศ. 2563 (ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ) รวมทั้งการพิจารณาผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ดังนี้
1. รับทราบผลการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอของแผนงานหรือโครงการฯ ภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขฯ ตามที่คณะกรรมการฯ เสนอ พร้อมทั้งเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ ก่อนเสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่งตามขั้นตอนต่อไป
2. อนุมัติโครงการภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขฯ จำนวน 10 โครงการ กรอบวงเงินไม่เกิน 11,326.2783 ล้านบาท
3. มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบของทั้ง 10 โครงการฯ ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน และดำเนินการดังนี้
3.1 จัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายวัน/รายเดือน (แล้วแต่กรณี) เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายโครงการตามแผนการใช้จ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ
3.2 รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการ และการใช้จ่ายเงินกู้ รวมถึงปัญหา อุปสรรค โดยจัดส่งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
3.3 ประสานกับกระทรวงการคลังในการรายงานขีดความสามารถในการชำระคืนหนี้เงินกู้ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 6 แห่งพระราชกำหนดฯ ด้วย
4. อนุมัติให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินของโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน จากสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2563 เป็นสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
5. อนุมัติให้กรมการจัดหางานปรับปรุงรายละเอียดโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้มีกรอบระยะเวลาดำเนินโครงการฯ สิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2564 และให้กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
6. อนุมัติให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว (Safety Zone) จากเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2563 (ระยะเวลา 6 เดือน) เป็นเดือนกรกฎาคม 2563 – เมษายน 2564 (ระยะเวลา 10 เดือน) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
7. อนุมัติให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมเปลี่ยนแปลงพื้นที่ดำเนินการใน 3 พื้นที่ของโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
8. รับทราบผลการดำเนินงานตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2563 ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอนุมัติให้สหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างการผลิต การรวบรวม และการแปรรูปของสถาบันเกษตรกรรองรับผลผลิตทางการเกษตร จ่ายเงินสมทบร้อยละ 10 ของงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุน โดยมีกรอบวงเงินปรับลดจากมติคณะรัฐมนตรี วงเงิน 2,003.7188 ล้านบาท เป็น 1,881.6749 ล้านบาท (สหกรณ์สมทบไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ประมาณ 188.1742 ล้านบาท) และให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ การกำหนดให้สหกรณ์จ่ายเงินสมทบดังกล่าวจะใช้เฉพาะกรณีที่ดำเนินโครงการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ เท่านั้น
9. รับทราบผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 และวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ของสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรมประมง กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดอุทัยธานี และกรมการพัฒนาชุมชน พร้อมทั้งเห็นควรให้คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้หน่วยงานทั้ง 7 แห่ง ดำเนินโครงการฯ จำนวน 11 โครงการ กรอบวงเงิน 18,195,649 บาท ประกอบด้วย โครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 กรอบวงเงิน 6,156,800 บาท และเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 กรอบวงเงิน 12,038,849 บาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ และให้หน่วยงานรับผิดชอบทั้ง 11 โครงการ รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ต่างประเทศ
22. เรื่อง การยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมในโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค โครงการที่ 2 เพื่อยุติโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง โครงการที่ 2 ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมในโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของภูมิภาค โครงการที่ 2 (โครงการนำร่องฯ โครงการที่ 2) เพื่อยุติโครงการดังกล่าวภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade In Goods Agreement : ATIGA)
2. เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อยุติโครงการนำร่องฯ โครงการที่ 2 แล้ว มอบหมายให้กรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อยุติโครงการนำร่องฯ โครงการที่ 2
3. เมื่อกรมศุลกากรและกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วเสร็จ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือการทูต (Diplomatic Note) แจ้งต่อเลขาธิการอาเซียน เพื่อให้มีผลยุติโครงการนำร่องฯ โครงการที่ 2 ต่อไป
[ทั้งนี้ พณ. ยังไม่ได้กำหนดวันที่ประเทศไทยจะดำเนินการส่งหนังสือการทูต (Diplomatic Note) ไปยังสำนักเลขาธิการอาเซียน]
สาระสำคัญ
ในการประชุม AFTA Council ครั้งที่ 34 มีมติรับทราบแนวทางการยุติโครงการนำร่อง ฯ โครงการ ที่ 2 ตามที่ประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ ประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สปป.ลาว ไทย และเวียดนามได้ตกลงร่วมกัน โดยกำหนดให้ประเทศสมาชิกทำหนังสือทางการทูต (Diplomatic Note) ไปยังสำนักเลขาธิการอาเซียน เพื่อแจ้งยุติโครงการนำร่องฯ โครงการที่ 2 และให้ถือว่าโครงการดังกล่าวมีผลสิ้นสุดลง 60 วัน นับตั้งแต่วันที่เลขาธิการอาเซียนได้รับหนังสือทางการทูตจากสมาชิกโครงการนำร่องฯ โครงการที่ 2 ครบทุกประเทศ (ในปัจจุบัน ประเทศอินโดนีเซีย สปป.ลาว และฟิลิปปินส์ ได้ส่งหนังสือทางการทูตให้สำนักเลขาธิการอาเซียนแล้ว คงเหลือประเทศไทยและเวียดนามที่ยังไม่ได้ดำเนินการดังกล่าว)
ประเทศสมาชิกโครงการนำร่องฯ โครงการที่ 2 ตกลงกันว่า นับตั้งแต่วันที่ระบบ ASEAN - Wide Self - Certification : AWSC มีผลบังคับใช้ (วันที่ 20 กันยายน 2563) ผู้ส่งออกที่ได้รับการรับรอง (Certified Exporter : CE) ภายใต้โครงการนำร่องฯ โครงการที่ 2 จะไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า อีกต่อไป ทั้งนี้ ผู้ส่งออก จะต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออก ที่ได้รับการรับรองภายใต้ระบบ AWSC จึงจะสามารถรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ ซึ่งเป็นระบบเดียวกันทั้ง 10 ประเทศในอาเซียน
23. เรื่อง ร่างเอกสารที่จะเสนอให้มีการรับรองโดยรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบต่อร่างกรอบแผนงานอาเซียน-จีน ด้านยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2564 – 2568 และร่างเอกสารแนวคิดอาเซียน-จีน ว่าด้วยปี แห่งความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ร่วมให้การรับรองเอกสาร 2 ฉบับ ดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในร่างเอกสาร จำนวน 2 ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สาระสำคัญ ดังนี้
1. ร่างกรอบแผนงานอาเซียน-จีน ด้านยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2564 – 2568 จัดทำขึ้นต่อจากยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน-จีนฯ พ.ศ. 2559 – 2563 เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมโดยมีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2568 วิสัยทัศน์ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-จีน พ.ศ. 2573 ที่มีเป้าหมาย
มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านกิจกรรมการขับเคลื่อนศักยภาพในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การแบ่งปันความรู้แบบปฏิบัติที่ดี และการเพิ่มขีดความสามารถด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยความร่วมมือ ด้านสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาคร่วมกัน โดยร่างกรอบแผนงานอาเซียน-จีน ด้านยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2564 – 2568 ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) การหารือด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมและการเพิ่มขีดความสามารถ 2) เมืองสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและการลดปริมาณขยะพลาสติกในทะเล 3) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับปรุงคุณภาพอากาศ และ 4) การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการระบบนิเวศ ซึ่งแต่ละองค์ประกอบภายใต้กรอบแผนงานมีกิจกรรมร่วมระหว่างอาเซียน-จีน เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย
2. ร่างเอกสารแนวคิดอาเซียน-จีน ว่าด้วยปีแห่งความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน จัดทำขึ้นเพื่อให้คำมั่นระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยปี พ.ศ. 2564 ถือเป็นการครบรอบความสัมพันธ์ 30 ปี อาเซียน-จีน และประกาศให้เป็นปีแห่งความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของอาเซียน-จีน ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมในรูปแบบการแลกเปลี่ยนการเยือน และการสัมมนาระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเด็นด้านสาธารณสุข การขจัดความยากจน การป้องกันและการลดภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและการใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนเมืองสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และพลังงานสะอาด รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแบบปฏิบัติที่ดีในการปรับปรุงคุณภาพอากาศ ซึ่งจะมีการจัดพิธีเปิดปีแห่งความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนอาเซียน-จีน ในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2564
24. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 24 – 25 พฤศจิกายน 2563 ด้วยรูปแบบการประชุมทางไกล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมประชุม สรุปสาระสำคัญตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 26 สรุปผลการประชุมฯ ได้ ดังนี้
1.1 การทบทวนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งกัวลาลัมเปอร์ ปี 2559 – 2568 ระยะกลาง รัฐมนตรีขนส่งอาเซียนยินดีต่อผลการทบทวนยุทธศาสตร์ฯ และให้การรับรองข้อเสนอแนะจากการทบทวนและปรับปรุงแผนงานภายใต้ยุทธศาสตร์ฯ ซึ่งได้รวบรวมข้อริเริ่มเกี่ยวกับการขนส่งและการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยจะใช้เป็นแผนดำเนินการระหว่างปี 2564 – 2568 และมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเริมแผนการฟื้นฟูอาเซียนที่ครอบคลุม
1.2 การขนส่งทางอากาศ รัฐมนตรีขนส่งอาเซียนได้ให้การรับรองเอกสาร 2 ฉบับ ได้แก่ (1) พิธีสาร 2 สถาบันฝึกอบรมด้านการบิน ภายใต้ข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับใบอนุญาตผู้ปฏิบัติหน้าที่ประจำเที่ยวบิน ซึ่งเป็นการกำหนดมาตรฐานกระบวนการรับรองสถานบันฝึกอบรมด้านการบินที่ประเทศสมาชิกจะให้การยอมรับร่วมกัน (2) แผนแม่บทการเดินอากาศอาเซียน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการด้านการจราจรทางอากาศให้มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และมีศักยภาพในภูมิภาค เพื่อสนับสนุนตลาดการบินเดียวของอาเซียน
1.3 การขนส่งทางบก รัฐมนตรีขนส่งอาเซียนได้ให้การรับรองปฏิญญาบรูไนว่าด้วยความปลอดภัยทางถนนของอาเซียน ปี 2563 ที่มุ่งเน้นการลดอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนลงอย่างน้อยร้อยละ 50 จากปี 2563 – 2573 และได้เปิดตัววีดิทัศน์ความปลอดภัยทางถนนในอาเซียนที่แสดงถึงความพยายามของอาเซียนในการปรับปรุงความปลอดภัยทางถนนและลดอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนในภูมิภาคในช่วงสิบปีที่ผ่านมา รวมทั้งรับรองแนวปฏิบัติสำหรับการยกระดับขั้นตอนมาตรฐานการรายงานข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนให้เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การสหประชาชาติ
1.4 การขนส่งทางน้ำ รัฐมนตรีขนส่งอาเซียนรับทราบการจัดทำยุทธศาสตร์ส่งเสริมเรือสำราญระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางเรือสำราญในพื้นที่ระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น โดยมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมและการพักผ่อนที่มีคุณภาพสูง นอกจากนี้ ยังให้การรับรองแนวปฏิบัติ ดังนี้ (1) การบำรุงรักษาร่องน้ำเดินเรือในอาเซียน เพื่อแก้ปัญหาการทับถมของดินตะกอนบริเวณท่าเรือของประเทศสมาชิกอาเซียน บำรุงรักษาร่องน้ำเดินเรือ และส่งเสริมการใช้ช่องทางการเดินเรือให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และ (2) มาตรการด้านความปลอดภัยสำหรับเส้นทางเดินเรือ ซึ่งจะใช้เป็นเอกสารอ้างอิงสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนในการจัดทำกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในการเดินเรือในภูมิภาคที่มีแนวโน้มการจราจรเพิ่มสูงขึ้น
1.5 การอำนวยความสะดวกการขนส่ง รัฐมนตรีอาเซียนได้เปิดตัวแผนที่โครงข่ายการขนส่งทางบกของอาเซียนบนเว็บไซต์ของอาเซียนเพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนในการมองหาโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งรับทราบความก้าวหน้าในการเตรียมการโครงการนำร่องเพื่อการดำเนินการ ตามกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการขนส่งผู้โดยสารโดยยานพาหนะทางถนนข้ามพรมแดน นอกจากนี้ รัฐมนตรีขนส่งอาเซียนยินดีที่ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ให้สัตยาบันพิธีสาร 2 (ด่านพรมแดนที่กำหนด) และพิธิสาร 7 (ระบบศุลกากรผ่านแดน) ตามกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดนของประเทศที่เข้าร่วมโครงการนำร่องระบบศุลกากรผ่านแดนอาเซียนแล้ว
1.6 การฟื้นฟูจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐมนตรีขนส่งอาเซียนยินดีต่อการที่ผู้นำอาเซียนได้ให้การรับรองกรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียนและแผนปฏิบัติการในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 37 และได้ให้การรับรองแนวปฏิบัติในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและผู้ปฏิบัติงาน สายการบิน ทั้งนี้ รัฐมนตรีขนส่งอาเซียนจากประเทศต่าง ๆ ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในด้านการขนส่งและที่เกี่ยวข้อง
การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียนในครั้งนี้ นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของการดำเนินงาน ด้านการขนส่งซึ่งอยู่ภายใต้เสาเศรษฐกิจอาเซียน โดยได้มีการร่วมรับรองเอกสาร จำนวน 10 ฉบับ ที่สะท้อนการดำเนินงานที่ผ่านมา แผนงานโครงการและความร่วมมือด้านการขนส่งของอาเซียนที่จะดำเนินการในระยะต่อไป ซึ่งเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน ปี 2559 – 2568 ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ การขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางบก การขนส่งทางน้ำ การอำนวยความสะดวกในการขนส่ง และการขนส่ง ที่ยั่งยืน เพื่อไปสู่เป้าหมายการเป็นตลาดการบินเดียวของอาเซียน ตลาดการขนส่งทางทะเลร่วมอาเซียน และการสร้างประชาคมที่มีความปลอดภัยทางถนน
การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการตามแผนงานความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ซึ่งประเทศสมาชิกได้รับประโยชน์จากการพัฒนาบุคลากร การเพิ่มขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ ผ่านโครงการฝึกอบรม ประชุมสัมมนา การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานและการเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่และการขนส่งอย่างยั่งยืน โดยประเทศคู่เจรจาของอาเซียนยังคงให้ความสำคัญต่อความร่วมมือด้านการขนส่งกับภูมิภาคอาเซียนเพื่อการพัฒนาการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคและเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันต่อไป
ที่ประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียนตระหนักดีถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มี ต่อภาคการขนส่งอย่างรุนแรงและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยได้เน้นย้ำความสำคัญความร่วมมือของอาเซียนที่เข้มแข็งในการดำเนินการตามกรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียน โดยเฉพาะในภาคการขนส่งซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญ ในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคภายหลังการแพร่ระบาด
25. เรื่อง ผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 27 และการประชุมร่วมระหว่างคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 25
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 27 และการประชุมร่วมระหว่างคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กับกลุ่มหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 25 เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 ผ่านระบบทางไกลตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1) แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืนในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ที่ประชุมรับทราบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำฯ ซึ่งแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง พ.ศ. 2563 ได้รับการปรับปรุงจากวาระเพื่อพิจารณา อนุมัติ เป็นวาระเพื่อทราบ เนื่องจาก สปป.ลาว ได้ขอปรับปรุงถ้อยคำและข้อความในแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประเด็นเกี่ยวกับการลดผลกระทบข้ามพรมแดน อันเกิดจากการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายประธาน ทั้งนี้ สปป.ลาว จะหารือในรายละเอียดที่ขอปรับปรุงกับสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง หลังจากได้หารือภายในร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของ สปป.ลาว แล้ว
2) แผนยุทธศาสตร์การจัดการสินทรัพย์ด้านสิ่งแวดล้อมของลุ่มแม่น้ำโขง ที่ประชุมอนุมัติแผนยุทธศาสตร์การจัดการสินทรัพย์ฯ โดยประเทศไทยเสนอ 3 โครงการ 1) แม่น้ำสงครามตอนล่าง จังหวัดนครพนม 2) เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย เวียงหนองล่ม และบริเวณแม่น้ำโขงสายประธานจังหวัดเชียงราย และ 3) อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และอุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดสระบุรี นครราชสีมา ปราจีนบุรี และนครนายก ซึ่งประเทศไทยแจ้งต่อที่ประชุมฯ ว่าในส่วนของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และอุทยานแห่งชาติทับลาน ประเทศไทยจะดำเนินการเองภายใต้แผนการดำเนินการระดับประเทศ (National Indicative Plan: NIP) เนื่องจากเป็นพื้นที่อ่อนไหวและต้องการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
3) การสรรหาตำแหน่งผู้บริหารของสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ที่ประชุมอนุมัติร่างขอบเขตงาน (Term of Reference, TOR) และกรอบระยะเวลาการคัดเลือกหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมมาธิการแม่น้ำโขง เนื่องจากหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริการของสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงคนปัจจุบันจะหมดวาระในเดือนมกราคม 2565 และตามข้อตกลงของคณะมนตรี ผู้จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ต้องมีสัญชาติลาว ดังนั้น สำนักงานเลขาธิการฯ จึงขอความเห็นชอบในการปรับปรุง TOR ของหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารใหม่ให้สอดคล้องกับข้อตกลงของคณะมนตรีในส่วนของสัญชาติและระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
4) แผนแม่บทการคมนาคมขนส่งทางน้ำ (The MRC’s Navigation Master Plan) ที่ประชุมอนุมัติร่างแผนแม่บทฯ ซึ่งมีประโยชน์ต่อประเทศไทย และสอดรับกับนโยบายยุทธศาสตร์การพัฒนาการคมนาคมขนส่งทางน้ำในลุ่มน้ำโขงระหว่างไทยกับประเทศสมาชิก โดยมีกรมเจ้าท่าเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานตามร่างแผนแม่บทฯ
5) แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง พ.ศ. 2564 – 2573 และแผนยุทธศาสตร์องค์กรคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง พ.ศ. 2564 – 2568 ที่ประชุมอนุมัติแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาฯ และแผนยุทธศาสตร์องค์กรฯ เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินงานและจัดทำแผนปฏิบัติการของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
6) แผนการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ประจำปี พ.ศ. 2564 – 2565 ที่ประชุมอนุมัติแผนการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการฯ โดยประเทศไทยขอให้สำนักงานเลขาธิการฯ เร่งดำเนินการจัดทำรายงานประจำปี 2563 และรายงานผลการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง พ.ศ. 2559 – 2563
ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงสนับสนุนการทำงานของประธานกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ซึ่งจะดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ประจำปี 2564 ถัดจาก สปป. ลาว
26. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ครั้งที่ 5 ผ่านระบบการประชุมทางไกล
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ครั้งที่ 5 ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมประชุม ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) ดังนี้
1.1 แผนงานระดับภูมิภาคด้านบรรทัดฐานของรัฐในเรื่องความรับผิดชอบบนโลกไซเบอร์ โดยสหพันธรัฐมาเลเซียและสาธารณรัฐสิงคโปร์เป็นผู้รับผิดชอบจัดทำร่างแผนงานดังกล่าวซึ่งจะระบุรายละเอียดของความสัมพันธ์ของบรรทัดฐานของรัฐในเรื่องความรับผิดชอบบนโลกไซเบอร์ 11 ข้อ โดยอ้างอิงจากรายงานของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญของรัฐเกี่ยวกับการพัฒนาสาขาสารสนเทศและโทรคมนาคมในบริบทของความมั่นคงระหว่างประเทศภายใต้สหประชาชาติ ทั้งนี้ สหพันธรัฐมาเลเซียได้นำร่างแผนงานดังกล่าวไปหารือในการประชุมคณะกรรมการประสานงานอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แล้วเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563
1.2 การสร้างความเข้มแข็งของภูมิภาคผ่านการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้นำเสนอผลการดำเนินโครงการ ASEAN Critical Information Infrastructure Protection Framework ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการจำแนกโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อให้สามารถกำหนดกลยุทธ์ในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยจากการศึกษาพบว่า การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันในด้านคมนาคมขนส่งมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ข้ามพรมแดนค่อนข้างสูง ทั้งนี้ ประเทศไทยมีข้อเสนอแนะให้ประเทศสมาชิกอาเซียนยกระดับความร่วมมือเพื่อหาแนวทางและกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ผ่านข้อริเริ่มที่มีอยู่แล้วในกรอบอาเซียน เช่น การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างศูนย์อาเซียน - สิงคโปร์ ว่าด้วยความเป็นเลิศด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
1.3 แถลงการณ์ของประธานในการประชุมฯ มีสาระสำคัญ เช่น การตระหนักถึงความสำคัญของการจัดทำแผนงานระดับภูมิภาคด้านบรรทัดฐานของรัฐในเรื่องความรับผิดชอบบนโลกไซเบอร์ การปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศจากภัยคุกคามไซเบอร์ การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในภูมิภาค และความคืบหน้าของการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
2. การประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และประเทศคู่เจรจาอาเซียน มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
2.1 การดำเนินงานตามบรรทัดฐานของรัฐในเรื่องความรับผิดชอบบนโลกไซเบอร์ 11 ข้อ โดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญของรัฐเกี่ยวกับการพัฒนาสาขาสารสนเทศและโทรคมนาคมในบริบทของความมั่นคงระหว่างประเทศภายใต้สหประชาชาติได้จัดประชุมหารือกับหน่วยงานและองค์กรระดับภูมิภาคเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางและข้อกังวลในการดำเนินงานตามบรรทัดฐานของรัฐในเรื่องความรับผิดชอบบนโลกไซเบอร์ 11 ข้อ รวมถึงการนำบรรทัดฐานของรัฐในเรื่องความรับผิดชอบบนโลกไซเบอร์มาพิจารณาเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายในประเทศและระหว่างประเทศ
2.2 การกล่าวถ้อยแถลงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เช่น การผลักดันให้เกิดการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในความปกติใหม่และการเชิญชวนประเทศสมาชิกอาเซียนให้ส่งผู้แทนเข้าร่วมการฝึกอบรมออนไลน์ของศูนย์อาเซียน - ญี่ปุ่นว่าด้วยการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งได้จัดอบรมไปแล้วในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2563
2.3 การให้ความสำคัญในหลักการ “4p” ในการดำเนินงานความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ประกอบด้วย
2.3.1 “principle” ความมุ่งมั่นในการดำเนินการตามบรรทัดฐานของรัฐในเรื่องความรับผิดชอบบนโลกไซเบอร์
2.3.2 “practice” การแปลงนโยบายหรือหลักการสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
2.3.3 “process” กระบวนการดำเนินงานในการขับเคลื่อนการปฏิบัติตามบรรทัดฐานของรัฐในเรื่องความรับผิดชอบบนโลกไซเบอร์ผ่านการเสริมสร้างความร่วมมือทั้งในระดับพหุภาคีและระดับภูมิภาค
2.3.4 “people partnership and pandemic” การเสริมสร้างความเข้มแข็งของหุ้นส่วนความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาหรือองค์กรภายนอกอาเซียนเพื่อรับมือกับโลกไซเบอร์ที่มีความท้าทายเกิดขึ้นใหม่ในปัจจุบัน รวมถึงช่วงสถานการณ์โควิด-19 อย่างมีองค์รวม
3. การหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของสิงคโปร์ (ผ่านระบบการประชุมทางไกล) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 มีสาระสำคัญ เช่น ความคืบหน้าในการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งคาดว่าจะสามารถลงนามได้ในเดือนมกราคม 2564 ความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรไซเบอร์ การแลกเปลี่ยนข้อกฎหมาย ประสบการณ์ และการดำเนินการในเรื่องการจัดการการเผยแพร่เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5G
แต่งตั้ง
27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นางอัจฉริยา ทองสิน นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารศัลยกรรม) สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารศัลยกรรม) สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2563
2. นายวิบูลย์ กาญจนพัฒนกุล นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
28. เรื่อง รายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของรองนายกรัฐมนตรีและส่วนราชการ (จำนวน 9 ราย)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอรายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของรองนายกรัฐมนตรีและส่วนราชการ (จำนวน 9 ราย) ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) สำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) เนื่องจากในช่วงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (เดือนกันยายน 2563) ปคร. ของรองนายกรัฐมนตรีและส่วนราชการดังกล่าวที่ได้รับการแต่งตั้ง มีการแต่งตั้งใหม่ เกษียณอายุราชการ และโยกย้ายเปลี่ยนตำแหน่ง ซึ่ง สลค. ได้ตรวจสอบคุณสมบัติของ ปคร. ทั้ง 9 ราย ดังกล่าวแล้วว่า เป็นไปตามข้อ 5 ของระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา พ.ศ. 2551 ดังนี้
1. รองนายกรัฐมนตรี (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) รายชื่อ ปคร. นายฉัตรชัย วิริยเวชกุล เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง กระทรวงการต่างประเทศ
2. กค. รายชื่อ ปคร. นายจำเริญ โพธิยอด รองปลัดกระทรวงการคลัง
3. วธ. รายชื่อ ปคร. นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
4. สขช. รายชื่อ ปคร. นายปิยะ คงขำ รองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
5. สคก. รายชื่อ ปคร. นายธนาวัฒน์ สังข์ทอง รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
6. สทนช. รายชื่อ ปคร. นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
7. สำนักงาน ป.ย.ป. รายชื่อ ปคร. นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ย.ป.
8. สำนักงาน ปปง. รายชื่อ ปคร. พลตำรวจตรี ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองเลขาธิการ ปปง. คนที่ 2
9. สำนักงาน ป.ป.ส. รายชื่อ ปคร. นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส.
29. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายพิชิต อัคราทิตย์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก และ ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว โดยให้มี ผลตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ในครั้งต่อ ๆ ไปให้กระทรวงการคลังดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
30. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน จำนวน 2 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก ดังนี้ 1. นายรัตติกร ยิ้มนิรัญ 2. นางสุภา หารหนองบัว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
31. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ จำนวน 8 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2563 ดังนี้
1. นายเธียรชัย ณ นคร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อม
2. นายจักรกฤษณ์ ศิวะเดชาเทพ (ภาคเอกชน) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุขและสุขภาพ
3. นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรป่าไม้และนิเวศวิทยา
4. นางสาวลดาวัลย์ คำภา (ภาคเอกชน) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม
5. นายยงธนิศร์ พิมลเสถียร (ภาคเอกชน) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านอนุรักษ์ศิลปกรรม/ภูมิสถาปัตย์และสิ่งแวดล้อมเมือง
6. นายสันติ บุญประคับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
7. นางประกายรัตน์ สุขุมาลชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมและการมีส่วนร่วม
8. นายธเรศ ศรีสถิตย์ (ภาคเอกชน) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านมลพิษสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
32. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม จำนวน 11 คน แทนคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมชุดเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบวาระ ดังนี้
1. นายเกียรติภูมิ วงศ์รจิต ประธานกรรมการ
2. นายสมศักดิ์ อรรฆศิลป์ ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) กรรมการ
3. นายเจษฎา โชคดำรงสุข (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) กรรมการ
4. นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ ผู้แทนกระทรวงการคลัง (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) กรรมการ
5. พลตำรวจโท เพิ่มพูน ชิดชอบ กรรมการ
6. นายพงษ์ชัย อมตานนท์ กรรมการ
7. นายอัศม์เดช วานิชชินชัย (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) กรรมการ
8. นายสรนิต ศิลธรรม (เป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ) กรรมการ
9. นายสรณ บุญใบชัยพฤกษ์ กรรมการ
10. นายธีระพล เกียรติสุรนนท์ กรรมการ
11. นางสาวไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล กรรมการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
33. เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในกรณีที่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความนัยมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ในกระทรวงวัฒนธรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ในกระทรวงวัฒนธรรม จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. นายโกวิท ผกามาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม
2. นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม
3. นายชัยพล สุขเอี่ยม รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม
4. นายสตวัน ฮ่มซ้าย รองอธิบดีกรมศิลปากร ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
35. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้ง ศาสตราจารย์สมคิด เลิศไพฑูรย์ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี