อัดบิดเบือนวัคซีนโควิดทุกเรื่อง
‘บิ๊กตู่’ซัด‘ธนาธร’
สั่งดำเนินคดีเผยแพร่ข้อมูลเท็จ
ลั่นต้องรักษาความเชื่อมั่นรบ.
อนุทินฉะรู้ทุกอย่างแต่ไร้สำนึก
สธ.ยันไม่มีผลประโยชน์แฝง
บ.สยามไบโอไซเอนซ์เจ๋งที่สุด
“บิ๊กตู่” สุดทนซัด“ธนาธร” บิดเบือนทุกเรื่องปมสั่งซื้อวัคซีนโควิด ลุยดำเนินคดีแพร่ข้อมูลเท็จย้ำต้องรักษาความเชื่อมั่นรัฐบาล “อนุทิน”จวกยับ “ปธ.คณะก้าวหน้า” รู้ทุกเรื่อง แต่ไร้สำนึกคุณแผ่นดิน ด้าน สธ.แถลงเคลียร์ยันความร่วมมือระหว่าง “แอสตราเซเนกา-สยามไบโอไซเอนซ์” ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ขอผู้วิจารณ์ดูข้อมูลให้ครบทุกด้าน
เมื่อเวลา 13.45 น. วันที่ 19 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ โดยกล่าวถึงกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าได้วิพากษ์วิจารณ์การนำเข้าวัคซีนที่มีการเชื่อมโยงกับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด โดยโยงเกี่ยวการเมืองและใช้คำว่า‘วัคซีนพระราชทาน’ว่า ตนถือว่าเป็นการบิดเบือน ทุกเรื่อง ทุกอย่าง ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเลย ดังนั้น ขอให้ทุกคนระมัดระวังไว้ด้วยการเสนอข่าวพวกนี้
“เรื่องอะไรที่เป็นการบิดเบือนไม่ใช่ข้อเท็จจริงแล้วนำมาแพร่ ไม่ว่าในสื่อหรือโซเชียลมีเดีย ผมให้ดำเนินคดีทุกเรื่อง ทุกรายการ ก็ขอให้ทุกคนระมัดระวังด้วย อย่าหาว่าผมเอากฎหมายไปขู่ แต่ต้องรักษาความเชื่อมั่นของรัฐบาลไปด้วย ไม่เช่นนั้นต่างคนก็ต่างเขียนอะไรกันไปแล้วไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น กฎหมายมีทุกตัวอยู่แล้ว” นายกฯ กล่าว
“อนุทิน”จวกรู้ทุกเรื่อง แต่ไร้สำนึก
ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวว่า คนที่พูดเรื่องนี้ เหมือนกับรู้ทุกเรื่อง แต่ไม่รู้จักอย่างเดียว คือ รู้จักสำนึกในพระมหากรุณาที่คุณซึ่งประเทศไทย เรามาถึงวันนี้ได้ ใครเป็นผู้ให้กำเนิด และวางรากฐานการแพทย์ การสาธารณสุข ให้เป็นที่ยอมรับของคนทั้งโลก และสามารถทำให้ประชาชนทั้งประเทศมีพื้นฐานสุขภาพที่ดี มีวิถีชีวิตที่ดีและมีความแข็งแรง ใครเป็นคนพระราชทานสิ่งของต่างๆตลอดระยะเวลาเป็นร้อยๆปี เมื่อประเทศไทยมีภัยพิบัติ ไม่ว่าจะทางธรรมชาติ หรือทางโรคระบาด ขอพูดแค่ใกล้ๆนี้ รถตรวจหาเชื้อโควิด-19 จำนวน 20 คันใครเป็นคนให้ ชุดอุปกรณ์ป้องกันตนเอง(PPE) ที่มอบให้คณะแพทย์ไปปรับปรุงและลงทุนในระบบสาธารณสุขและการแพทย์ ใครพระราชทานให้ เคยไปหรือไม่ตามโรงพยาบาลตามต่างจังหวัด เห็นระบบที่ทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญได้เข้าถึงการแพทย์การสาธารณสุข ไม่แพ้คนในเมืองใหญ่ ไปทำการบ้านตรงนี้มาก่อนว่าใครเป็นคนทำให้ แล้วค่อยออกมาวิพากษ์วิจารณ์
ขออย่าเอาการเมืองมาเป็นประเด็น
“จริงๆ ไม่ควรจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรเลยเพราะไม่มีอะไรเลยที่พระองค์ท่านได้ทำแล้วไม่เกิดประโยชน์กับบ้านเมืองและประชาชน เรื่องวัคซีนเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะวัคซีนโควิด-19 เป็นวัคซีนใหม่ที่ต้องใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินต้องไม่เอาเรื่องการเมืองมาเป็นประเด็น จึงขอให้ช่วยกันรักษาบ้านเมืองในตอนนี้ให้มากที่สุด ปล่อยให้แพทย์เขาทำงาน เราไม่ใช่แพทย์เราก็ทำเรื่องอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง ถ้าไม่ทำอะไรก็พูดอะไรได้หมด มันถึงอยากจะทำอะไรให้เป็นอย่างที่ตัวเองต้องการก็ต้องทำให้ตัวเองเข้ามาบริหารบ้านเมืองให้ได้ก่อน” นายอนุทิน กล่าว
เมื่อถามว่า จะต้องมีหน่วยงานออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวหรือฟ้องร้องอะไรหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า แล้วแต่ ตนแค่พูดในหลักการ ยอมรับว่าตนยังไม่ได้ดู แต่ถามคนอื่นมาแล้วจริงว่าเป็นอย่างไรจึงมาพูดบอกความรู้สึกของตนว่าที่อยู่กันมาได้จนถึงทุกวันนี้ และถ้าไม่มีตรงนั้นความเข้มแข็งก็คงไม่เกิดเหมือนที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ ทั้งนี้ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ตนจะไปรับพระราชทานชุดPPE จำนวน 7.7 แสนชุด มีใครให้บ้าง คนที่ออกมาว่า มือไม่พายก็ไม่ต้องเอาอะไรมาราน้ำ
สธ.เคลียร์ปมสั่งซื้อวัคซีนโควิด
ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด (สธ.) พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงกรณีการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ให้กับคนไทย
โดย นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ตามที่มีการกล่าวหาเกี่ยวกับรัฐบาลและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาวัคซีน มีความนิ่งนอนใจ ล่าช้าในการหาวัคซีน รวมถึงมีราคาสูงไม่ครบคลุมประชาชน และกระบวนการที่ได้มาซึ่งวัคซีน ที่กล่าวว่าเราติดต่อเพียง 1-2 บริษัท เท่านั้น สธ.จึงอยากชี้แจงให้ทราบโดยทั่วกันอย่างถูกต้องในสิ่งที่ดำเนินการมาตลอด
ตั้งเป้ามีวัคซีนปี64จาก3ช่องทาง
ด้าน นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ต้องย้ำอีกครั้งว่า รัฐบาลเล็งเห็นว่าการนำวัคซีนมาฉีดเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกัน ลดการแพร่เชื้อเป็นเครื่องสำคัญและไม่ได้ดำเนินการช้า เพราะเราเริ่มต้นตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา ที่ยังมีการทดลองวัคซีนอยู่ เราศึกษาข้อมูลมาตลอดว่าใครทำอะไรถึงไหน ณ ตอนนั้นยังมีข้อมูลจำกัด ไม่มีสินค้าสำเร็จรูป หลายเรื่องต้องมีการคาดการณ์วางแผน เราจึงตั้งเป้าว่าในปี2564 เราน่าจะมีวัคซีนฉีดให้คนไทยร้อยละ50 ของจำนวนประชากร จาก 3ช่องทาง คือ 1.เข้าร่วมกับโคแวกซ์ (COVAX) เพื่อจองซื้อวัคซีนถังกลาง ให้ครอบคลุมร้อยละ 20 ของจำนวนประชากร แต่ด้วยไทยมีฐานะปานกลาง จึงได้ราคาที่สูงกว่าประเทศที่รายได้ต่ำกว่า ซึ่งมีความยุ่งยากในการจองซื้อรวมถึงการได้วัคซีนมาก็ยังเป็นปัญหาอยู่ แต่เราก็ไม่ได้ทิ้ง เพียงแต่เป็นไปได้ค่อนข้างยาก 2.รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อให้ผลิตในประเทศ จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ผ่านบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด จำนวน 26 ล้านโดส หรือร้อยละ 20 ของจำนวนประชากร และ 3.การเปิดทางให้บริษัทที่จะมีผลการทดลองออกมาเป็นระยะ อีกร้อยละ10ของประชากร
ยันไม่ละเลยสนับสนุนผลิตในปท.
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า เราศึกษาข้อมูลจากทุกเจ้าที่ผลิตวัคซีน เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยสู่สาธารณะ เพราะข้อตกลงเป็นที่ความลับระหว่างบริษัท ดังนั้น เราไม่ได้แทงม้าตัวเดียว นอกจากนั้น เราไม่ละเลยในการสนับสนุนผลิตในประเทศ เพราะหากคนไทยทำได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเป็นสิ่งสำคัญ ฉะนั้น สถานการณ์วัคซีนไม่ได้ข้อมูลสำเร็จรูป ต้องมีการวางแผน ปรับเปลี่ยนแนวทางตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การที่เราได้มาจำนวนหนึ่งมาจากซิโนแวค ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ต่อด้วย 26 ล้านโดส จากแอสตร้าเซนเนก้า ปลายเดือนพฤษภาคม เราก็จะเจรจาขอซื้อเพิ่มเติมให้ครบร้อยละ 50 ภายในปี 2564 อยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้ ถามว่ามีความล่าช้ามากหรือไม่ ตนคิดว่าไม่ได้มากมายนัก เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ เพราะประเทศที่ฉีดก่อนส่วนใหญ่จองฉีดตั้งแต่การวิจัยยังเป็นวุ้นอยู่ จึงมีข้อแตกต่างกับประเทศเราพอสมควร ที่ต้องรอบคอบในการดำเนินการ
มีข้อตกลงถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วย
นพ.นคร กล่าวว่า วัคซีนโควิด-19 ต่างจากสถานการณ์ปกติทั่วไป ฉะนั้นจะใช้ความรู้หรือประสบการณ์เดิมไม่เพียงพอ เพราะเป็นการบริหารจัดการในภาวะเร่งด่วนและมีความไม่แน่นอน ดังนั้น สธ.และสถาบันวัคซีนฯ ร่วมกันจัดหาวัคซีนด้วยการจองล่วงหน้า ได้ใช้ข้อมูลหลายอย่างประกอบกัน ไม่ใช่เพียงแค่การเจรจาซื้อธรรมดา ต้องพิจารณาข้อมูล รูปแบบวัคซีนที่พัฒนาอยู่เป็นอย่างไร มีแนวโน้มว่าจะใช้การได้อย่างไร และจะนำมาใช้ในประเทศไทยอย่างไร ไม่ใช่เพียงแค่พิจารณาตามชื่อของบริษัทหรือตามตัววัคซีนเพียงอย่างเดียว กรณีบริษัทแอสตร้าเซเนก้า ไม่ใช่จองซื้อทั่วไป แต่มีข้อตกลงในการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตกับไทยด้วย โดยจะต้องมีผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี ไม่ใช่ถ่ายทอดโดยทั่วไป คนที่มารับในช่วงเวลาเร่งด่วน ไม่ใช่มาเรียนทำวัคซีนแบบปกติทั่วไป แต่ต้องเป็นคนที่พร้อมและมีความสามารถที่สุด และเขามั่นใจที่สุด โดยแอสตร้าเซเนก้าก็มีการทบทวนคุณสมบัติของบริษัทต่างๆ ในไทย ไม่ใช่เพียงแค่เจ้าเดียว แต่มีแค่บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เท่านั้นที่มีศักยภาพในการรับถ่ายทอดการผลิตในรูปแบบของไวรัลเวกเตอร์ (Viral vector) ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
องค์การเภสัชยังศักยภาพไม่ถึง
“ไม่ว่าจะไปเลือกเอาเอกชนรายใดมาทำก็ได้ แม้กระทั่งองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ของ สธ.เอง ศักยภาพก็ยังไม่เพียงพอในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีสมัยใหม่ ต้องมีความพร้อม คนที่มาสอนก็ไม่เสียเวลามากเกินไป เพราะมีความเร่งด่วน ดังนั้น แอสตร้าเซเนก้าเป็นผู้คัดเลือกบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งเกิดจากเครือข่ายการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด กับ เครือเอสซีจี ที่เป็นหน่วยงานพัฒนาร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง จึงเจรจาดึงให้แอสตร้าเซเนก้ามาประเมินศักยภาพบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์
แอสตร้าเซเนก้าเองก็มีความต้องการขยายฐานการผลิตทั่วโลกและต้องการกำลังการผลิตในระดับ 200 ล้านโดสต่อปีขึ้นไป ถึงจะพิจารณา โดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จึงเข้าได้กับเกณฑ์ที่แอสตร้าเซนเนก้าต้องการ” นพ.นคร กล่าว
หลายชาติเสนอแต่ไทยได้รับเลือก
อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศไทยได้ข้อตกลงในลักษณะนี้ มีหลายประเทศอื่นอยากได้เช่นเดียวกับเรา มีผู้พยายามจะเข้ามาแข่งให้แอสตร้าเซนเนก้าคัดเลือก แต่ด้วยความพยายามของทีมประเทศไทย เราได้เจรจาแสดงศักยภาพให้เขาเห็น รวมถึงรัฐบาลแสดงความมุ่งมั่นสนับสนุนบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จากเดิมผลิตเพียงแค่ชีววัตถุหรือยาที่ใช้ในการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังเท่านั้น ให้สามารถปรับศักยภาพมาผลิตวัคซีนไวรัลเวกเตอร์ได้ ด้วยการสนับสนุนงบประมาณ 595 ล้านบาท เอสซีจีสนับสนุนอีก 100 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ อุปกรณ์ให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถ จนแอสตร้าเซนเนก้าคัดเลือกเรา
“ความพยายามของประเทศไทยไม่ได้เกิดเพียงชั่วข้ามคืน ต้องมีพื้นฐานอยู่เดิม ซึ่งเป็นพื้นฐานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานไว้ ทรงวางแนวทางไว้ว่า บริษัทการผลิตยาชีววัตถุ ต้องลงทุนมหาศาล รายได้ผลกำไรแต่ละปีไม่เพียงพอที่จะมาคืนทุนในเวลาอันรวดเร็ว เป็นการขาดทุนเพื่อกำไร ให้ประเทศไทยมีศักยภาพการผลิตยาชีววัตถุ ลดการนำเข้าที่ผ่านมา เป็นมูลค่ามากกว่าช่วงที่ขาดทุนเสียอีก ประหยัดงบประมาณภาพรวมของงานด้านสาธารณสุข ซึ่งส่วนนี้คนที่ไม่เห็น อาจเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าไปสนับสนุนบริษัทที่มีความขาดทุน แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะเป็นไปตามหลักปรัชญาที่ในหลวงพระราชทานไว้ให้เรา” นพ.นคร กล่าว
‘แรมโบ้’ ให้ทีมกม.ตรวจสอบ
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะให้ทีมฝ่ายกฎหมาย พิจารณาในคำพูดของนายธนาธร ว่าส่อเจตนา จาบจ้วงสถาบัน หรือผิดกฎหมายตามมาตรา 112 หรือไม่และได้มีการโพสต์ข้อความอันเป็นเท็จต่อนายกฯและรัฐบาล กล่าวหาแบบใส่ความไม่ตรงกับข้อเท็จจริงทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่ ซึ่งหากพบว่าเนื้อหาดังกล่าวเข้าข่ายมีความผิด จะเข้าแจ้งความ ที่ ปอท.เพื่อดำเนินคดีกับนายธนาธร เพื่อจะได้หยุดจาบจ้วง ก้าวล่วงสถาบัน และบิดเบือนใส่ร้ายคนอื่น
‘ธนกร’ซัดมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ
นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลพยายามจัดหาวัคซีนที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่ว่าคว้าได้ก็รีบคว้าไว้ก่อน แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนด้วย การที่นายธนาธรระบุว่า ถ้าผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ ต้องเดินเกมตั้งแต่ครึ่งแรกของปี 2563 และไม่นำเรื่องวัคซีนโควิดมาหวังผลสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองก่อนผลประโยชน์ของประชาชนนั้น นายธนาธรแกล้งลืมหรือความจำสั้น ครึ่งแรกของปี 2563 รัฐบาลก็ทำงานมาตลอด แต่มีนักการเมืองบางคน พรรรคการเมืองบางพรรคไม่ใช่หรือ ที่สนับสนุนให้มีการชุมนุมเรียกร้องบนท้องถนน ซึ่งถ้าช่วยกันตั้งแต่ตอนนั้น รัฐบาลก็คงบริหารจัดการสถานการณ์ได้เร็วกว่านี้ อย่าเอาดีใส่ตัว แต่เอาชั่วโยนใส่ให้คนอื่นแบบมั่วๆ เมื่อไม่เคยคิดจะช่วยมาตั้งแต่ต้น อย่างน้อยก็น่าจะสำนึกบ้างโดยไม่ออกมาสร้างความสับสน หรือเอาเท้าราน้ำให้เสียเวลาเปล่าๆ จะดีกว่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี