110สส.พปชร.นำร่องยื่นแก้รธน.
5ประเด็น13มาตรา
ไม่ตัดอำนาจ สว.หวั่นขัดแย้ง
รัฐสภาลุยถกร่างกม.ประชามติ
ประชาชน5หมื่นเข้าชื่อเสนอได้
ศาลสั่ง5สส.กปปส.หยุดทำหน้าที่
ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเดินหน้าถกร่าง กม.ประชามติ เห็นชอบใช้ 5 หมื่นชื่อทำประชามติ ด้าน“ฝ่ายค้าน” ตีรวนขอหมื่นชื่อแต่ไม่เป็นผลห้าม “พระ-สามเณร” ลงประชามติ ด้าน“ไพบูลย์” หอบ 110 รายชื่อ สส.พปชร.ยื่น“ชวน” ชงแก้ไขรธน. 5 ประเด็น 13 มาตรา ชงบัตรลต. 2 ใบ-สกัดแปรญัตติงบฯหาประโยชน์ ไม่แตะอำนาจ สว.อ้างลดขัดแย้ง-สร้างเงื่อนไขศาลรัฐธรรมนูญ รับวินิจฉัยสถานะ 5 ส.ส.จำเลยคดี กปปส. สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที ให้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน15วัน
เมื่อเวลา 09.40น.วันที่ 7เมษายน ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภาสมัยวิสามัญ มี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม โดยมีสมาชิกลงชื่อเข้าประชุม 289คน ขณะที่องค์ประชุมต้องมี 368คน จึงยังไม่สามารถเปิดประชุมได้ เนื่องจาก สส.พรรคภูมิใจไทยทั้งพรรค สส.พรรคประชาธิปัตย์และสว.บางส่วนต้องกักตัวดูอาการติดเชื้อโควิด ทำให้ นายขจิตร ชัยนิคม สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ลุกขึ้นกล่าวตำหนิสมาชิกรัฐสภาที่ไม่มาประชุมทั้งๆที่เป็นการเปิดประชุมสมัยวิสามัญ อย่างนี้ ประธานต้องตั้งกรรมการสอบสมาชิกรัฐสภาที่ไม่มาร่วมประชุม
ทั้งนี้ นายชวน ได้ชี้แจงที่ประชุมว่า การเปิดประชุมสมัยวิสามัญ เป็นความต้องการของสมาชิกที่ขอไปยังรัฐบาล แล้วรัฐบาลดำเนินการให้ ทางรัฐสภา ไม่มีอำนาจในการเปิดสมัยวิสามัญ กระทั่งเวลา 10.03น. การประชุมกลับมาเปิดอีกครั้ง โดยมีสมาชิกเป็นองค์ประชุม 377คน ถือว่าครบองค์ประชุม
โดยนายวิรัช รัตนเศรษฐ สส.บัญรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ชี้แจงว่า ตั้งแต่ค่ำวันที่ 6เม.ย.จนถึงเช้าวันที่ 7เมษายน ตนได้รับแจ้งจากสส.พรรคพปชร.ขอลาการประชุม เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด เพื่อรักษาตัวเองและสังคม จึงขอกักตัว ป้องกันตัวเองและจะไปตรวจโควิด ขณะเดียวกันทราบว่า บางพรรคขอลาการประชุมยกพรรค ซึ่งในส่วนนี้ขอนุญาตเลื่อนการประชุมออกไปก่อน เพื่อให้กฎหมายที่จะพิจารณาต่อไปนี้มีความครบคอบและเป็นไปตามรูปแบบของรัฐสภา
องค์ประชุมครบ/‘ชวน’ลุยประชุม
ด้าน นายชวน ชี้แจงว่า เมื่อองค์ประชุมครบแล้ว ประธานต้องทำหน้าที่ ไม่สามารถเลื่อนการประชุมได้และการเปิดวิสามัญเป็นเรื่องที่ตกลงกัน หากจะเลื่อนประชุมต้องหารือทั้งหมดเพื่อให้เป็นมติเอกฉันท์
ส่วน นายสุทิน คลังแสง สส.มหาสารคาม พรรค พท.ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน อภิปรายว่า เคารพความคิดเห็นของ นายวิรัช มีเหตุผลที่ดี เนื่องจากสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือภารกิจและความคาดหวังของร่าง พรบ.ออกเสียงประชามติ ที่สังคมรอคอย ขณะนี้ก็ครบองค์ประชุมแล้วขอให้เดินหน้าต่อ หากมีปัญหาก็ค่อยว่ากันอีกครั้ง นายชวน จึงวินิจฉัยไม่เลื่อนการประชุมเพราะถือว่าองค์ประชุมครบ จึงดำเนินการประชุมพิจารณาร่าง พรบ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติต่อทันที
จากนั้น นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ.ประชามติ ได้ชี้แจงถึงรายละเอียดการแก้ไขเนื้อหามาตรา10-11และมาตรา20/3 ที่คณะกรรมการกฤษฎีกานำไปปรับปรุงให้สอดคล้องกับเนื้อหามาตรา9 ที่รัฐสภามีมติให้ปรับปรุงแก้ไขในการประชุมครั้งที่แล้ว โดยในส่วนมาตรา10 การให้ทำประชามติภายใน 90-120วัน นับจากวันที่ประธานรัฐสภาส่งเรื่องการทำประชามติให้นายกฯทราบ ไม่มีสมาชิกคนใดคัดค้าน ที่ประชุมลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน449 ต่อ0 งดออกเสียง2
มติโหวตให้ปชช.5หมื่นเข้าชื่อ
ส่วนมาตรา11 เรื่องจำนวนผู้เสนอเข้าชื่อทำประชามติ ที่ร่างกมธ.เสียงข้างมากระบุให้มีประชาชนเข้าชื่อ 50,000คนขึ้นไป โดย กมธ.เสียงข้างน้อยและสมาชิกหลายคน อาทิ นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคพท.,พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เห็นแย้งว่า จำนวนมากเกินไป ควรกำหนดแค่ 10,000 คน ก็เพียงพอ เพราะไม่ว่าจะเสนอไปกี่รายชื่อ อำนาจชี้ขาดจะทำประชามติหรือไม่ก็ยังอยู่ที่ ครม.
หลังจากที่ประชุมอภิปรายครบถ้วนแล้ว ที่ประชุมลงมติเห็นด้วยตามที่ กมธ.เสียงข้างมากเสนอมาให้มีประชาชนเข้าชื่อ 50,000คนขึ้นไป ด้วยคะแนน347 ต่อ154 งดออกเสียง1 ไม่ลงคะแนน2
ห้าม”พระ-สามเณร”ลงประชามติ
จากนั้นได้พิจารณา มาตรา 20 เรื่องการกำหนดบุคคลต้องห้ามออกเสียงประชามติ ที่กมธ.ระบุห้ามพระภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช และผู้อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ผู้ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ เป็นผู้ออกเสียงประชามติ แต่กมธ.เสียงข้างน้อยและส.ส.ฝ่ายค้านคัดค้าน โดยเห็นว่า ไม่ควรตัดสิทธิพระภิกษุ สามเณรในการออกเสียงประชามติ เพราะพระภิกษุสงฆ์ก็มีความเป็นเจ้าของประเทศ ควรมีสิทธิทำประชามติได้
ขณะที่ พล.อ.ต.เฉลิมชัย เครืองาม ส.ว.มธ.เสียงข้างมาก ชี้แจงว่าการห้ามพระภิกษุออกเสียงประชามติเนื่องจากความเหมาะสมตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดห้ามพระภิกษุใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งแล้ว ก็ควรบัญญัติให้กฎหมายประชามติมีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ อีกทั้ง พระภิกษุเป็นผู้ทรงศีล ไม่สมควรเข้ามายุ่งเกี่ยวการเมือง หากให้ยุ่งเกี่ยวการเมืองไม่ว่ารูปแบบใด อาจเกิดความไม่เป็นกลางเกิดขึ้นไม่ควรทำตัวอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับเนื้อหาที่กมธ.แก้ไขด้วยเสียง338 ต่อ105 งดออกเสียง 3
พปชร.ยื่นแก้รธน.5ประเด็น13มาตรา
ที่รัฐสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) พร้อมสมาชิกพรรคเข้ายื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา โดย นายไพบูลย์ กล่าวว่า ขณะนี้พรรคพปชร.รวบรวมรายชื่อ สส.110ชื่อ เพื่อเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ทั้งหมด 5ประเด็น13มาตรา พร้อมบันทึกหลักการและเหตุผล บันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญร่างแก้ไขดังกล่าว ประกอบด้วย ประเด็นที่1 แก้ไขเพิ่มเติมหมวด3 สิทธิและเสรีภาพ แก้ไขมาตรา29,41และมาตรา 45 ประเด็นที่2 แก้ไขระบบเลือกตั้ง มาตรา83, 85, 86, 90, 91, 92และมาตรา 94 ให้การเลือกตั้งสส.เป็นแบบบัตร2ใบ สส.แบบแบ่งเขต 400คน สส.บัญชีรายชื่อ 100คน ตามรัฐธรรมนูญ2540
ประเด็นที่3 แก้ไขมาตรา144 การพิจารณา พรบ.งบประมาณ ซึ่งเดิมมีปัญหากระทบต่อการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบประมาณ แก้ไขโดยให้ใช้ข้อความตามรัฐธรรมนูญ2550 มาตรา168 วรรคห้า วรรคหก วรรคเจ็ด วรรคแปด และ วรรคเก้า มาใช้แทน ประเด็นที่ 4 แก้ไขมาตรา 185 เพื่อแก้ไขอุปสรรคการทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาให้สามารถติดต่อส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้ โดยได้นำรัฐธรรมนูญ 2540มาตรา111 มาใช้แทน ประเด็นที่5 แก้ไขบทเฉพาะกาล มาตรา270 เปลี่ยนแปลงอำนาจวุฒิสภา ให้เป็นอำนาจรัฐสภา โดย สส.,สว.มีหน้าที่และอำนาจติดตาม เสนอแนะและเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตามหมวด 16การปฏิรูปประเทศ และการจัดทำและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
ใช้บัตร ลต.2ใบ-ห้ามแปรญัตติงบฯ
นายไพบูลย์ กล่าวว่า พรรคเสนอร่างแก้ไขดังกล่าว เพื่อประโยชน์ของประชาชนและการทำหน้าที่ของ สส.เพื่อช่วยเหลือประชาชน มีสาระสำคัญคือแก้ไขระบบเลือกตั้ง จากบัตรใบเดียวเป็นบัตร2ใบ ซึ่งตรงกับความต้องการของพรรคการเมือง ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ยังมีเรื่องแบ่งเขตเลือกตั้งเป็น สส.แบ่งเขต 400คน บัญชีรายชื่อ 100คน ตามรัฐธรรมนูญปี2540 ส่วนการคำนวณ สส.ให้ใช้ตามรัฐธรรมนูญ2550ฉบับแก้ไขครั้งที่1 ยังมีเรื่องมาตรา144 ซึ่งที่ผ่านมาในรัฐธรรมนูญ2560 กำหนดบทลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ ทำให้ไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากมีกฎหมายอาญาเข้าเกี่ยวข้องและเป็นบทลงโทษที่เกินกว่าเหตุ ดังนั้นจึงเสนอนำบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ2550 มาใช้ โดยที่ สส.และสว.ยังคงแปรญัตติไม่ได้เหมือนเดิม
ไม่แตะต้องอำนาจ สว.หวั่นขัดแย้ง
ขณะที่ในส่วนของอำนาจวุฒิสภา ที่เดิมวุฒิสภาทำหน้าที่ในการติดตามการปฏิรูปประเทศและติดตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ให้แก้ไขบทเฉพาะกาล มาตรา 270 เปลี่ยนแปลงอำนาจวุฒิสภา ให้เป็นอำนาจรัฐสภา โดย สส.,สว.มีหน้าที่และอำนาจติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ ซึ่ง ส.ส.มีจำนวนมากกว่า สว.นอกจากนั้นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ยังเพิ่มสิทธิเสรีภาพประชาชนมากขึ้น แตกต่างกับฉบับก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ยังขอแก้ไขเรื่องไพรมารีโหวต ซึ่งพรรคการเมืองทุกพรรคทักท้วง เพราะไม่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงและสร้างปัญหายุ่งยากให้ทุกพรรคเกินควรจะเป็น ดังนั้นจึงให้แก้ไขให้กลับไปใช้บทบัญญัติว่าด้วยพรรคการเมืองในรัฐธรรมนูญ2550 มาตรา 47 มาบังคับใช้แทน
เมื่อถามว่า ประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอย่างมากในสังคม เช่น ที่มาและอำนาจของ สว.จะไม่แก้ไขใช่หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า เราไม่แก้ไขอะไรที่ดูแล้วมีข้อขัดแย้งและดูแล้วอาจไม่สำเร็จ ทั้งนี้ ตนไม่ได้ห้ามว่าไม่มีร่างแก้ไขฉบับที่2 แต่ร่างฉบับที่1 ของพรรคพลังประชารัฐ เรามุ่งแก้ไขปัญหาเพื่อประโยชน์ของประชาชนไปก่อน แต่ไม่ได้ห้ามว่าท่านไปยื่นอย่างอื่นไม่ได้ แต่ไม่อยากมีเงื่อนไขลักษณะว่า ต้องแก้อำนาจ สว.ก่อนหรืออะไรก่อน อันนี้เป็นลักษณะเอาประชาชนเป็นตัวประกัน เราไม่เห็นด้วย
เมื่อถามว่า ข้อเสนอพรรคพปชร.เหมือนเอาใจ สว. นายไพบูลย์ กล่าวว่า ตนเอาใจประชาชนและตนเชื่อว่าร่างใดที่เอาใจประชาชนและช่วยเหลือประชาชนจริง สส.ต้องเอาด้วย ทั้งนี้หากมีการบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงต้นเดือนมิถุนายน การพิจารณาวาระ1, 2และ3 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม
ศาลรธน.รับวินิจฉัยสถานะ5ส.ส.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา82 วรรคสี่ ว่า สมาชิกภาพสส.ของ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.กระทรวงศึกษาธิการและสส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคมและสส.เขต6 สงขลา นายอิสสระ สมชัย สส.บัญชีรายชื่อ นายชุมพล จุลใส สส.เขต1 จ.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา101 (6) ประกอบมาตรา 98 (4) (6) จากเหตุต้องคำพิพากษาศาลอาญาจำคุกในคดีชุมนุม กปปส.ปี2557 ไว้พิจารณาวินิจฉัยและแจ้งให้ กกต.ทราบ พร้อมส่งสำเนาคำร้องให้ผู้ถูกร้อง ทั้ง5 ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง
สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีคำสั่งให้ทั้ง 5คน หยุดปฎิบัติหน้าที่ ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสอง เนื่องจากเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง ปรากฏว่าศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษจำคุกบุคคลทั้ง 5 คน และบุคคลทั้ง 5 ถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายชุมพล นายอิสระ และนายณัฏฐพล มีกำหนด 5 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษา กรณีจึงปรากฎเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้องแล้ว จึงให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย และแจ้งให้ กกต. และประธานสภาผู้แทนราษฎรทราบ
ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยในประเด็นที่ กกต.ขอให้วินิจฉัยว่า กรณีดังกล่าวเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายพุทธิพงษ์ นายณัฎฐพลและนายถาวร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ โดยเห็นว่าเมื่อวันที่ 22 มีนาคมมีพระบรมราชโองการฯประกาศว่า นายพุทธิพงษ์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีดิจิทัล นายถาวร พ้นจากความเป็น รมช.คมนาคมและนายณัฎฐพล พ้นจากความเป็น รมว.ศึกษาธิการฯแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี