เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ขบวนการล้มเจ้าด้วยกลยุทธ์โลกล้อมเมือง กับ
ในหลวงรัชกาลที่ 10 ผู้จะชนะทั้งสิบทิศ
ตอนที่ 2 ต้นตอของปัญหา
……………………………………….…………………………….
ตลอดเวลาหลายปี ประเทศไทยเกิดขบวนการล้มเจ้า ด้วยสาเหตุจากนักการเมืองบางคนที่ทำผิดกฎหมายจนต้องลี้ภัยในต่างแดน และพาลกล่าวโทษสถาบันพระมหากษัตริย์ว่าอยู่เบื้องหลัง
ทั้งที่ความจริงความพ่ายแพ้ทางการเมืองเกิดจากความสำเร็จของคณะรัฐประหาร ที่จับมือพรรคการเมืองขั้วตรงข้าม ด้วยการสนับสนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่งจากประชาชนค่อนประเทศ
โดยเมื่อหนีออกนอกประเทศได้แล้ว ก็ไปจับมือกับประเทศมหาอำนาจผู้ต้องการสร้างอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความวุ่นวาย ด้วยการสร้างความแตกแยกของคนในสังคมจึงบังเกิดขึ้นนับตั้งแต่นั้น
……………………………………….…………………………….
สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นพระประมุขที่
“ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง"
คำว่า”ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง"
มีความหมายว่า ทรงเป็นพระประมุขของชาติ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติและเป็นที่เคารพบูชา โดยไม่ทรงยุ่งเกี่ยวในการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน
พระราชกรณียกิจในพิธีต่าง ๆ ของพระองค์ล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน
ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งที่เป็นรูปแบบการปกครองแบบสากล ที่ถือปฏิบัติกันทั่วโลก
กิจกรรมทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ซึ่งหมายความว่า เป็นเรื่องของนักการเมืองและข้าราชการ ด้วยกันเอง
……………………………………….…………………………
แต่ประวัติศาสตร์ในหลายๆ ประเทศแสดงให้เห็นว่า ศัตรูมักใช้โอกาสในช่วงผลัดแผ่นดิน เปลี่ยนรัชกาล ในการบุกโจมตี เพราะเป็นช่วงเวลาที่สถาบันกษัตริย์และประเทศชาติจะอ่อนแอที่สุด เนื่องจากเพิ่มเริ่มต้นรัชกาล พระบารมียังไม่แข็งกล้าเหมือนดั่งพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อนที่ครองราชย์มายาวนาน
……………………………………….…………………………….
ทำไมต้องเสด็จไปประทับในเยอรมัน?
ในหลวงรัชกาลที่ 10 ถูกลองของและรับน้องใหม่ชุดใหญ่ไฟกระพริบมากถึงมากที่สุด
ภายนอกพระราชวัง คือการต่อสู้ทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ภายในพระราชวัง ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ชิดพระองค์ยิ่งกว่าอะไรก็ถูกจัดชุดใหญ่เช่นกัน
เมื่อขึ้นครองราชย์ ก็ทรงปรับปรุงและกวาดล้างกิจการในพระราชวังชุดใหญ่ เป็นเหตุให้ถูกข้าราชบริพารใกล้ชิดตลอดจนทายาทที่อยู่มาแต่เดิมรุมกินโต๊ะ ชุดใหญ่ ถึงขั้นจะมีข่าวลือที่ไม่เป็นมงคล
พวกเราชาวบ้าน อาจคิดไม่ถึงว่า จะมีใครกล้าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือกล้าคิดปองร้ายองค์พระประมุขของชาติ ดังนั้นผมจะขอเอาเรื่องใกล้ตัวของพวกเราชาวบ้านมาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน
ถ้าเทียบง่ายๆ เวลามีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารในหน่วยงานไม่ว่าราชการหรือเอกชน เรามักจะเจอตัวปัญหาในที่ทำงานเดิม ขอลองของเจ้านายคนใหม่ ถ้าเราคือเจ้านายคนใหม่ ก็จะถูกลองของจากคนเก่าในองค์กรเช่นกัน
หรืออาจเป็นไปได้ว่าพวกเราอาจไม่แน่ใจว่าเรื่องการปองร้ายจะมีจริง แต่…
มาลองทบทวนประวัติศาสตร์กันหน่อยมั้ย
ในหลวงรัชกาลที่ 8 สวรรคตอย่างกระทันหัน หลังจากทรงบรรลุนิติภาวะไม่นาน เพราะถูกลอบปลงพระชนม์
ซึ่งเริ่มต้นมาจากการรับน้องใหม่และเป็นการลองของ ของข้าราชบริพาร ข้าราชการ และในหลวงรัชกาลที่ 8 ไม่ยอมอ่อนข้อให้ จึงลงเอยด้วยการลอบปลงพระชนม์
แม้แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็เคยถูกการลอบปลงพระชนม์ (ผมเคยเขียนโพสต์เรื่องนี้ไว้นานแล้ว)
ในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็เช่นกัน มีผู้มุ่งร้าย
อาจมีคนคิดและอยากถามว่าทำไมเรื่องใหญ่ขนาดนี้จึงไม่มีการพูดจาหรือแถลงการณ์
ผมขอตอบว่า ปัญหายักษ์ใหญ่ ปัญหาคอขาดบาดตายในองค์กรของคุณ หรือในครอบครัวของคุณทุกคน บางเรื่อง คุณไม่เคยบอกกับลูกของคุณ หรือไม่เคยบอกพ่อแม่ของคุณ หรือไม่เคยบอกกับลูกน้องของคุณเลย จริงมั้ย
……………………………………….…………………………….
หรืออาจเป็นเพราะต้องการประทับดูแลใกล้ชิดพระโอรส!
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติทรงเสด็จมาศึกษาต่อที่ โรงเรียนนานาชาติ Bavarian International School ในเขตไฮม์เฮาส์เซ่น (Haimhausen) รัฐบาวาเรีย ทางตอนเหนือของนครมิวนิก ประเทศเยอรมนี
อธิบายกันแค่นี้พวกเราคนไทยที่มีจิตใจเป็นปกติชนคงเข้าใจ คงไม่ต้องลวงลึกอะไร ใครมีลูกย่อมเข้าใจ ว่าใครๆ ก็อยากอยู่ดูแลลูกอย่างใกล้ชิดถ้ามีโอกาสทำได้
……………………………………….…………………………….
สื่อและสส.เยอรมันที่เป็นหนึ่งในขบวนการล้มเจ้าแบบโลกล้อมเมืองพยายามโยงว่าพระมหากษัตริย์ไทยอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทางการเมืองของไทย!
ช่วงเวลานับตั้งแต่วันที่ขึ้นครองราช เกิดความวุ่นวายทางการเมืองในเมืองไทยมากมาย ทั้งการเกิดม็อบ และการบังคับใช้กฎหมายกับม็อบ แกนนำม็อบถูกดำเนินคดี หรือแม้แต่การถูกอุ้มของแกนนำม็อบที่หลบหนีไปอยู่ในเขมร ล้วนถูกโยงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบริหารราชการแผ่นดินร่วมกับรัฐบาลในขณะที่ประทับอยู่ในเยอรมัน เพื่อโยงว่าพระองค์ทำผิดกฎหมาย
สส.เยอรมันคนหนึ่ง ซึ่งก็คงเหมือนกัน สส.สามกีบในเมืองไทย ที่พยายามโยงให้พระมหากษัตริย์อยู่เบื้องหลังการเมือง
ทั้งที่ความจริง เป็นที่ทราบกันดีทั้งโลกว่า ประมุขแห่งรัฐที่เป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ต่างจากประธานาธิบดี
กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นประมุขแห่งรัฐ โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน
ในขณะที่ประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ มีหน้าที่เกี่ยวข้องการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน
ซึ่งรัฐบาลใดๆ ในโลกรวมทั้งรัฐบาลเยอรมนีก็ทราบสาระสำคัญดังกล่าวได้ดี
จึงมีคำตอบที่ของรัฐบาลเยอรมนตอกหน้ากลับสื่อและ สส.สามกีบของเยอรมันนีไปว่า
"ตามรัฐธรรมนูญของไทยพระมหากษัตริย์ไม่ได้เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย การปฏิบัติพระราชภารกิจของพระองค์จึงไม่ถือเป็นการบริหารราชการแผ่นดินหรือการกระทำของรัฐบาล"
……………………………………….…………………………….
สรุป ข้อกล่าวหาที่ว่า พระมหากษัตริย์ไทยอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทางการเมือง โดยบริหารงานราชการแผ่นดิน ในขณะที่ประทับอยู่ในเยอรมัน เป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย
รวมทั้งเรื่องการเสียภาษีมรดก การเลี่ยงภาษี หรือการทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และการทำผิดกฎหมายของเยอรมัน ล้วนไม่มีสาระความจริง
มันจะจบที่รุ่นเรา
แต่จะจบอย่างไร ขึ้นอยู่กับคนไทยทุกคน
……………………………………….…………………………….
อัษฎางค์ ยมนาค
ตอนที่ 1 : https://www.facebook.com/100566188950275/posts/123087836698110/?d=n
ตอนที่ 3 : ตอนที่ 3: https://www.facebook.com/100566188950275/posts/123221806684713/?d=n
ตอนที่ 4 : https://www.facebook.com/100566188950275/posts/123232620016965/?d=n
ฝากท่านผู้อ่านทุกท่านช่วยกันกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม เพื่อให้ข้อเท็จจริงนี้และอื่นๆ ที่ผมเขียนได้รับการเผยแพร่ด้วยสู่สายตาลูกหลานไทยทุกคนครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี