1.โดยที่พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พระพุทธศักราช 2457 มาตรา 61 ทวิ ประกอบกับมาตรา 102 และมาตรา 106 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มีสาระสำคัญโดยสรุปว่า การดำเนินการทางวินัยแก่กำนันที่ออกจากราชการไปแล้วให้ดำเนินการไปตาม พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 โดยเฉพาะกรณีกำนัน ซึ่งออกจากราชการไปแล้วนั้น มาตรา 106แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2535 กำหนดให้กรณีที่ข้าราชการพลเรือนผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่า กระทำหรือละเว้นการทำการใดที่พึงเห็นได้ว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงและเป็นการกล่าวหาเป็หนังสือต่อผู้บังคับบัญชาของผู้นั้น หรือต่อผู้มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนฯ แม้ภายหลังผู้นั้นจะออกจากราชการไปแล้ว เว้นแต่ออกจากราชการเพราะตาย ผู้มีอำนาจตามมาตรา 102 วรรคสามวรรคสี่ หรือวรรคห้า หรือมาตรา 104 วรรคสามแล้วแต่กรณีมีอำนาจสืบสวนหรือพิจารณาตามมาตรา 99 และดำเนินการทางวินัยต่อไปได้เสมือนว่า ผู้นั้นยังมิได้ออกจากราชการ เว้นแต่กรณีผลการสืบสวนพิจารณาปรากฏว่า ผู้นั้นกระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง ก็ให้ลดโทษเสียได้
2.ขณะเดียวกัน เมื่อมีการตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2561 และยกเลิกพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 นั้น มาตรา 139 ได้กำหนดว่าในกรณีที่กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลของข้าราชการประเภทต่างๆ กำหนดให้นำกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในส่วนที่เกี่ยวกับข้าราชการพลเรือนไปใช้บังคับหรือใช้บังคับโดยอนุโลมให้ยังคงใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ในกรณีที่จะนำพ.ร.บ.(2551) ไปใช้บังคับ ทั้งหมดหรือบางส่วนให้กระทำได้โดยมติขององค์กรกลางบริหารงานบุคคลนั้นโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
3.ประเด็นปัญหาเกิดขึ้น เพราะว่าเทศบาลตำบลแห่งหนึ่งได้ยกฐานะเป็น “เทศบาลเมือง” ทำให้ผู้ดำรงตำแหน่ง กำนัน ต้องพ้นจากตำแหน่งโดยผลของกฎหมายโดยมีข้อเท็จจริงโดยสรุปว่ากำนันรายหนึ่งได้พ้นจากตำแหน่ง เมื่อ 9 มิ.ย.2552เพราะเหตุเทศบาลตำบลได้ยกฐานะเป็นเทศบาลเมืองหลังจากนั้นมีผู้กล่าวหาว่ากำนันผู้นี้ได้กระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2541โดยกล่าวหาต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2560
ต่อมาคณะกรรมการป.ป.ช.รับเรื่องต่อแล้วได้ชี้มูล เห็นว่ากรณีดังกล่าวไม่ใช่เป็นความผิดวินัยร้ายแรงจึงได้แจ้งให้จังหวัดพิจารณา ตามมติเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2561 เช่นนี้ คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย พิจารณาแล้วมีความเห็นโดยสรุปว่า เมื่อมาตรา 61 ทวิแห่งพ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ กำหนดให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านต้องรักษาวินัยโดยเคร่งครัด ผู้ใดฝ่าฝืนให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยต้องได้รับโทษตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนโดยอนุโลม (ตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535) ซึ่งมาตรา 106 ก็ได้กำหนดให้อำนาจผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุสามารถสั่งลงโทษข้าราชการซึ่งออกจากราชการไปแล้วกรณีกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงแต่ถ้าเป็นกรณีต้องลงโทษวินัยไม่ร้ายแรง ก็ให้ลงโทษเสีย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เมื่อกรณีนี้ปรากฏว่าคณะกรรมการป.ป.ช.ได้ชี้มูลว่าผู้นี้กระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ตามมาตรา 67 (พ.ร.ป.ป.ป.ช.2561) จึงไม่สามารถพิจารณาทางวินัยกับกำนันผู้นี้ได้เพราะว่าได้พ้นจากตำแหน่งกำนันไปตั้งแต่ 9 มิ.ย.2552 แล้ว
พร้อมกันนั้นคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายฯ ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่ากรมการปกครองในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ฯควรที่จะเสนอขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อนำพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาใช้บังคับกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตามมาตรา 139 ในส่วนที่เกี่ยวกับวินัยและโทษทางวินัยโดยอนุโลมตามความเห็นของสำนักงานก.พ.ต่อไป (ที่นร 1011/ล707 ลว 2 พ.ค.2562) (คณะที่ 1 ประชุมครั้งที่ 34/2564 เมื่อ 1 ก.ย. 2564)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี