ยุติ3ทศวรรษแห่งความห่างเหิน
‘ไทย-ซาอุฯ’กลับสู่ปกติ
เตรียมยกระดับตั้งเอกอัครราชทูต
‘บิ๊กตู่’ลั่นเริ่มศักราชความร่วมมือ
9ด้านทั้งการค้า/ลงทุน/แรงงาน
รบ.ชี้ผลสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์
21สส.ถูกขับเปิดตัวบ้านใหม่ก.พ.นี้
‘เพื่อไทย’ปูดได้กลิ่น‘รัฐประหาร’
นายกฯแจ้งข่าวดีคนไทย สัมพันธ์ ไทย-ซาอุฯฟื้นฟูสมบูรณ์ดังเดิม เตรียมแต่งตั้งเอกอัครราชทูต ก้าวพ้นอดีตสู่อนาคตที่สดใส ประเมิน 2 ประเทศได้รับโอกาสมหาศาล จากความร่วมมือ 9 ด้าน กราบบังคมทูลเชิญมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุฯ เสด็จฯเยือนไทยอย่างเป็นทางการเพื่อสานต่อหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ “ธนกร” เผยความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ ต่อยอดสร้างโอกาสความร่วมมือทุกด้าน ทั้งการค้า การลงทุน แรงงาน ท่องเที่ยว สั่งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทำงานทันที ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
เมื่อวันที่ 26มกราคม2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว”ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha”ระบุว่า พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ วันนี้ ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะขอแจ้งข่าวดีต่อปวงชนชาวไทย รวมทั้งชาวซาอุดีอาระเบีย เกี่ยวกับความสำเร็จในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย ให้กลับมาอยู่ใน“ระดับปกติ”อย่างสมบูรณ์นับตั้งแต่วันนี้สืบไป ภายใต้ความพยายามอย่างเต็มความสามารถของทั้งสองฝ่าย ถือเป็นการสิ้นสุด 3ทศวรรษแห่งความห่างเหินและเริ่มต้นศักราชใหม่แห่งความร่วมมือ สร้างสรรค์ และพัฒนา เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน บนพื้นฐานความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในทุกมิติระหว่างสองประเทศ
ยกระดับแต่งตั้ง’เอกอัครราชทูต’
ภารกิจการเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของผมในครั้งนี้ เป็นไปตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยในเบื้องต้น ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องที่จะยกระดับผู้แทนทางการทูตของทั้งสองประเทศ จากอุปทูตให้กลับมาเป็นระดับ เอกอัครราชทูตดังเดิม รวมทั้งจะพิจารณาจัดตั้งกลไกความร่วมมือทวิภาคี เพื่อผลักดันกรอบนโยบายและแผนความร่วมมือต่างๆ ทั้งในส่วนภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน ให้เจริญงอกงามสืบต่อไป และในโอกาสการพบหารือครั้งนี้ ผมได้กราบบังคมทูลเชิญมกุฎราชกุมารฯ แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ให้เสด็จฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อสานต่อหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ในวันนี้ด้วย
ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับ“โอกาสอันมากมายมหาศาล”ที่ประเมินว่า ทั้งสองประเทศจะได้รับ จากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในครั้งนี้ ได้แก่
ฟื้นฟูการท่องเที่ยว-เปิดรับแรงงาน
1.ด้านการท่องเที่ยว เป็นโอกาสสำหรับการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับประชาชนที่จะมีพลวัตรมากขึ้นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะนำไปสู่การขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมนี้อย่างรอบด้าน เบื้องต้น มีการคาดการณ์ว่า การเดินทางไปมาหาสู่ที่สะดวกยิ่งขึ้นระหว่างประเทศไทยกับซาอุดีอาระเบีย จะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยไม่ต่ำกว่าประมาณ 5,000ล้านบาทต่อปี 2.ด้านพลังงาน เกิดการร่วมวิจัยและลงทุน ทั้งในรูปแบบพลังงานดั้งเดิม พลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ชาติของทั้งสองประเทศ โดยซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศผู้ค้าและมีแหล่งสำรองน้ำมันอันดับต้นๆ ของโลก ตลอดจนมีวิทยาการด้านพลังงานที่ทันสมัย ส่วนไทยก็มีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่พร้อมรองรับการวิจัย พัฒนา และการลงทุนแห่งอนาคต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามนโยบาย BCG Economy ซึ่งสอดรับกับข้อริเริ่ม Saudi Green Initiative และ Middle East Green Initative ของซาอุดีอาระเบีย
3.ด้านแรงงาน ไทยมีแรงงานฝีมือและกึ่งฝีมือที่มีศักยภาพจำนวนมาก ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียก็มีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบต่าง ๆ จำนวนมากเช่นกัน โดยช่วงปี 2530 ไทยเคยส่งแรงงานไปซาอุดีอาระเบียมากถึง 300,000คน สร้างรายได้ส่งกลับประเทศมากกว่า 9,000ล้านบาทต่อปี บัดนี้ ความร่วมมือและโอกาสนั้นจะกลับมาอีกครั้ง โดยแรงงานจากประเทศไทยจะมีส่วนช่วยเติมเต็ม“วิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบียค.ศ.2030” (Saudi Vision 2030) ผ่านโครงการก่อสร้างที่คาดว่าจะมีขึ้นเป็นจำนวนมาก 4.ด้านอาหารประเทศไทยนั้นถือเป็น “ครัวโลก” อุดมสมบูรณ์ด้วยผลิตผลทางการเกษตร ผัก ผลไม้ และประมง อีกทั้งมีอาหารที่ทั่วโลกต่างหลงมนต์เสน่ห์ รวมถึงอาหาร“ฮาลาล” ซึ่งไทยมีศักยภาพในการผลิตและพร้อมส่งออกให้แก่ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงผ่านซาอุดีอาระเบียไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค นำมาซึ่งโอกาสอย่างมหาศาลสำหรับผู้ประกอบการด้านอาหารของไทย 5.ด้านสุขภาพ ด้วยความแข็งแกร่งด้านระบบสาธารณสุขของไทย และบุคลากรทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก รวมถึงการให้บริการที่ทุกคนประทับใจ ทำให้ไทยกลายเป็น “ศูนย์กลางทางการแพทย์” (Medical Hub) ที่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากภูมิภาคตะวันออกกลางที่เป็น “นักท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยม” นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย โดยผู้ป่วยมักจะเดินทางมาพร้อมกับครอบครัวขนาดใหญ่ ที่มักจะซื้อแพคเกจที่รวมการรักษาพยาบาล ที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยว จึงเป็นโอกาสที่จะเกิดการขยายตัวทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความร่วมมือทางการแพทย์ได้มากยิ่งขึ้น
ร่วมมือความมั่นคง-พัฒนาการศึกษา
6.ด้านความมั่นคง ซาอุดีอาระเบียถือเป็นเป็นประเทศอิสลามสายกลาง ที่มีอิทธิพลสูงในกรอบองค์กรความร่วมมืออิสลาม (OIC) สามารถมีบทบาทช่วยส่งเสริมการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน ตามแนวทางสันติสุข นอกจากนั้น ยังสามารถมีความร่วมมือกันด้านข้อมูลข่าวสารความมั่นคงและการต่อต้านการก่อการร้ายอีกด้วย 7.ด้านการศึกษาและศาสนา ที่ผ่านมานั้น ซาอุดีอาระเบียได้ให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยมุสลิมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการศึกษาด้านศาสนา นอกจากนั้น ซาอุดีอาระเบีย ยังเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการด้านต่างๆ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม พลังงาน สุขภาพ การวิจัยทางทะเล การก่อสร้าง เทคโนโลยีป้องกันประเทศ และอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ไทยมีโอกาสขยายการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาระหว่างกันอีกมาก
ส่งเสริมการค้าการลงทุน-เดินหน้ากีฬา
8.ด้านการค้าและการลงทุน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการกลับมาสู่ความสัมพันธ์ในระดับปกติ จะสร้างโอกาสและเปิดประตูทางการค้าให้กับนักลงทุนและSME ไทย ในการแสวงหาลู่ทางการทำธุรกิจและการแสวงหาหุ้นส่วนทางการค้าได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นทั้งในซาอุดีอาระเบียและกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าตกแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์ ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียก็ส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศผ่าน”กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ”ในด้านพลังงาน นวัตกรรม โทรคมนาคม อวกาศ เทคโนโลยีสีเขียว โครงสร้างพื้นฐานฯลฯซึ่งไทยนั้น มีความพร้อมในด้านทรัพยากรมนุษย์ องค์ความรู้ สถานศึกษา และเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆอย่างEEC พื้นที่ระเบียงเศษฐกิจและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ รวมไปถึงการสร้างเมืองอัจฉริยะในจังหวัดต่างๆด้วย 9.ด้านการกีฬา จะเป็นโอกาสอันดีในการสร้างความร่วมมือทางการกีฬาของทั้งสองประเทศ ที่มีความสนใจในการแข่งขันและการกีฬาต่างๆ ร่วมกัน เช่น ฟุตบอล มวย กอล์ฟ การแข่งรถ รวมถึง e-sport และอื่นๆและเป็นโอกาสของไทยในการส่งเสริม”มวยไทย”ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย
ประวัติศาสตร์จารึกชัยชนะ2ชาติ
ในวันนี้ทั้งสองประเทศสามารถก้าวผ่านพ้นอดีต กลับมาสู่อนาคตที่สดใส โดยประวัติศาสตร์ต้องจารึกว่านี่คือ“ชัยชนะ”สำหรับประชาชนทั้งสองประเทศ ที่รัฐบาลของทั้งคู่ได้ใช้ความพยายามและทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จนสำเร็จลุล่วงได้ในที่สุด และพร้อมก้าวย่างต่อไปอย่างมั่นคง ขยายจากความร่วมมือทวิภาคี”ไทย-ซาอุดีอาระเบีย”ไปสู่พหุภาคี “อาเซียน - คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ”(Gulf Cooperation Council : GCC) โดยต่อจากนี้ รัฐบาลจะดำเนินงานอย่างไม่ลดละ ที่จะนำเอาความสำเร็จจากการสานสัมพันธ์ในครั้งนี้ แปลงไปสู่นโยบายและการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอีกมากมาย ซึ่งผมจะเร่งสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เพื่อสร้างโอกาสให้พี่น้องประชาชน และการฟื้นฟูประเทศหลังโควิดโดยเร็วที่สุด ซึ่งผมจะได้นำมาเรียนแจ้งพี่น้องในทันทีที่มีความคืบหน้าครับ’
กลับถึงไทยตรวจหาเชื้อโควิดทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.00น.วันที่ 26มกราคม ที่ท่าอากาศยานทหาร2 ดอนเมือง พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมคณะ เดินทางกลับถึงไทย ภายหลังเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25-26ม.ค.ทันทีที่นายกฯและคณะเดินทางถึง เจ้าหน้าที่จากสถาบันบำราศนราดูร ได้เข้าตรวจเชื้อโควิด-19แบบRT-PCRและต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข ในการกำหนดเส้นทางเป็นการเฉพาะ หรือซีลรูท (Seal route) โดยต้องแยกตัวเอง เว้นระยะห่าง รวมทั้งหากจำเป็นต้องประชุมจะใช้การประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์หรือระบบซูมจากบ้านพักแทน และจะทำการตรวจเชื้อ โดยวิธี RT-PCR อีกครั้งในวันที่ 30มกราคมนี้ ซึ่งเป็นวันที่5 หลังจากเดินทางกลับ
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่าตลอดวันที่ 26มกราคม หลังกลับเข้าบ้านพักนายกฯไม่มีภารกิจใดใด ส่วนในวันที่ 27มกราคม นายกฯจะเป็นประธานการประชุม ก.ตร.ครั้งที่1/2565 จากบ้านพักภายในกรมทหารราบที่1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ผ่านระบบออนไลน์ ส่วนวันที่ 28มกราคม เดิมนายกฯมีกำหนดพบผู้ได้รับรางวัล สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลประจำปี2563และประจำปี2564 แต่มอบหมาย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ให้การต้อนรับแทน ก่อนที่จะเริ่มงานที่ทำเนียบรัฐบาลในวันจันทร์ที่ 31มกราคม2565
‘ธนกร’ชี้ผลสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า การเยือนซาอุฯครั้งนี้เป็นการเยือนในระดับผู้นำรัฐบาลระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี และได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ ยิ่งใหญ่ โดยบรรยากาศในการหารือ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมซาอุดีอาระเบีย ทรงให้ความเป็นกันเอง นายกรัฐมนตรียินดีที่การเยือนในครั้งนี้ประสบความสำเร็จสูงสุดในการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งเชื่อมั่นว่าการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองราชอาณาจักรจะต่อยอด นำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายอย่างรอบด้านและในทุกระดับ
สั่งทุกฝ่ายเร่งทำงานเป็นรูปธรรม
ขณะที่การพบปะพูดคุยกับชุมชนไทยและนักศึกษาไทยนั้น เป็นไปด้วยความเป็นกันเองโดยนายกฯ ได้กล่าวขอให้ทุกคนร่วมกันเดินหน้าสู่ศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ร่วมกันรัฐบาลต้องการให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีที่พัฒนาขึ้นนี้ ประชาชนทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกัน ทุกคนที่มาร่วมในวันนี้ถือเป็นมีส่วนสำคัญ เพราะถือเป็นวันประวัติศาสตร์ พร้อมย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะดูแลคนไทยในซาอุดีอาระเบียทุกคน การเดินทางเยือนครั้งนี้ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ส่งผลให้เกิดโอกาสด้านการค้าการลงทุน แรงงาน การท่องเที่ยวมากมายตามมา นายกฯขอบคุณความพยายามและการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างกันจนเป็นผลสำเร็จ โดยนายกฯได้สั่งการทันทีให้รัฐมนตรีที่ร่วมเดินทางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือและประสานงานอย่างใกล้ชิด เพื่อเดินหน้าความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคีในสาขายุทธศาสตร์ที่สำคัญให้เป็นผลและเกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
‘พปชร.’แย้มส่งผู้หญิงชิง‘ผู้ว่ากทม.’
นายจักรพันธ์ พรนิมิตร สส.กทม.ในฐานะหัวหน้าภาค กทม.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมเปิดตัวว่าผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ว่า ก็คงเร็วๆนี้ เพราะตอนนี้อยู่ในขั้นตอนสุดท้าย เนื่องจากตนเป็นหัวหน้าภาคกทม.จะสรุปชื่อนำเรียน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.เมื่อถามว่า ตอนนี้ชื่อว่าที่ผู้สมัครคือใคร นายจักรพันธ์ กล่าวเพียงสั้นๆว่า “อย่าเพิ่งดีกว่า เพราะอีกไม่นานก็จะเรียบร้อย”
มีรายงานข่าวเปิดเผยว่า บุคคลที่คาดว่าจะลงสมัครผู้ว่ากทม.ของพรรค พปชร.เป็น“ผู้หญิง”โดยอยู่ระหว่างการเคลียร์ความเรียบร้อยในด้านต่างๆ ก่อนเปิดตัวปลายเดือนมกราคมหรือต้นกุมภาพันธ์นี้
21สส.เปิดตัวพรรคใหม่กลางก.พ.นี้
นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ สส.บัญชีรายชื่อ 1ใน 21อดีตสมาชิกพรรคพปชร.ที่ถูกขับออกจากพรรค ในกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เปิดเผยว่า เตรียมแถลงเปิดตัวเข้าสังกัดพรรคการเมืองพรรคใหม่ในช่วงกลางเดือนก.พ.นี้ หรือราวๆ วันที่ 10ก.พ.ก่อนเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา152 ของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ที่คาดว่าจะมีขึ้นวันที่ 16-18ก.พ.และหลังจากเข้าสังกัดพรรคการเมืองใหม่แล้ว จะต้องมีการปรับระบบต่างๆในสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงที่นั่ง สส.ในห้องประชุมและสัดส่วนที่นั่งกรรมาธิการ (กมธ.) ต่างๆ เนื่องจากทางกลุ่มมี สส.จำนวน 21คน ขอยืนยันว่าเราทำหน้าที่ สส.พิจารณาร่างกฎหมายโดยยึดผลประโยชน์ของประชาชน และบ้านเมืองเป็นหลัก ไม่ใช่มัดมือให้ยกมือ เพราะการโหวตต้องมีเหตุและผล ไม่มีการตั้งธงการโหวตเพื่อนำไปต่อรองทางการเมือง
‘พท.’ปูดรัฐประหาร-21สส.ตัวแปร
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี 21สส.ถูกขับออกจากพรรค พปชร.เพื่อตั้งพรรคการเมืองใหม่กระทบเสียงในสภา ว่า เป็นข้อเท็จจริงเนื่องจากสภาเป็นระบบเสียงข้างมาก การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สัดส่วนของเสียงข้างมากเปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้น 21คน จึงเป็นตัวแปรในการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะมีผลต่อองค์ประชุมมาก ซึ่ง สส.สภาขณะนี้มีอยู่ 473คน กึ่งหนึ่งคือ 238 คน หาก 21เสียงแปรไปด้านใดด้านหนึ่ง จะเกิดการแปรปรวนอย่างมาก ถ้าเจตนารมณ์กลุ่ม 21สส.ไม่ทำหน้าที่ให้กับเสียงข้างมากที่เป็นอยู่ จะทำให้เสียงข้างมากทำงานไม่ได้ ซึ่งฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยที่จะเป็นองค์ประชุมให้ตั้งแต่แรก ถ้าจะทำหน้าที่ในระบบเสียงข้างมาก ต้องเป็นเสียงข้างมากที่แท้จริง
เมื่อถามว่า ปัจจัยใดจะนำสู่รัฐประหาร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นการสืบทอดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะวิธีการอื่นใช้ไม่ได้ ยุบสภาก็ไม่กล้ายุบ เพราะประชาชนจะตัดสิน จะเปลี่ยน ครม.ก็อาย ไม่กล้า ประเภทยอมหัก ไม่ยอมงอ เพราะฉะนั้นช่องทางประนีประนอมเกิดขึ้นยาก ดังนั้นการรัฐประหารคือวิธีการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ส่วนมูลเหตุที่จะใช้อ้างนั้นง่ายสำหรับประเทศชาติบ้านเมืองนี้ เขาสามารถบริหารจัดการและทำให้เกิดสถานการณ์ได้ตลอดเวลา เพราะทำมาตลอด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี