RCEP มีความเป็นมาอย่างไรกว่าจะมาถึงวันนี้ และทำไมถึงสำคัญ
ย้อนไปเมื่อประมาณ 9 ปีที่แล้ว ตอนนั้นอาเซียนเห็นความสำคัญของการรวมกลุ่มในภูมิภาค จึงมีการเริ่มเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership) หรือ RCEP อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2556 โดยเป็น FTA ลำดับที่ 14 ของไทยประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ ซึ่งได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย สปป. ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม และพันธมิตรอีก 5 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์
RCEP เป็นเขตความตกลงการค้าเสรี หรือที่เราเรียกว่า FTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรียกว่าเป็น Mega Trade Deal ก็ได้ เพราะประชากรรวมกันมากกว่า 2 พันล้านคน 28.6% ของโลกในมิติเศรษฐกิจ GDP รวมประมาณพันล้านล้านบาท ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของ GDP โลก และในปี 2563 สร้างมูลค่าการค้ารวมเกือบ 340 ล้านล้านบาท ประมาณ 30% ของมูลค่าการค้าโลก
ก่อนหน้าไทยจะรับตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2562 การเจรจา RCEP สามารถสรุปเนื้อหาความตกลงได้เพียง 7 บท จากทั้งหมด 20 บท แต่หลังจากที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ได้เข้ามารับตำแหน่งและเริ่มทำหน้าที่ประธานรัฐมนตรี RCEP ในช่วงเดือนสิงหาคม 2562 ท่านก็ได้แสดงบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางประสานระหว่างประเทศที่ยังคงมีประเด็นติดขัด และเร่งการเจรจาให้จบโดยเร็ว ซึ่งอย่างที่เห็นท่านสามารถโน้มน้าว ผลักดัน และขับเคลื่อนการเจรจาให้คืบหน้าไปมากจนประสบความสำเร็จในการผลักดันให้การเจรจาสามารถหาข้อสรุปจนครบทั้งหมด 20 บท และนำไปสู่การลงนามความตกลง RCEP เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2563
ผู้ประกอบการไทยได้ประโยชน์อะไรบ้างจากความตกลงนี้
ที่เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมเลย คือเรื่องของการลดภาษีระหว่างกัน เป็นการสร้างแต้มต่อให้กับสินค้าไทยในตลาด RCEP ได้มากขึ้นจาก FTA ที่ไทยมีอยู่ในปัจจุบัน ช่วยลดต้นทุนลง เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและโอกาสในการส่งออกทั้งสินค้าและภาคบริการ เนื่องจากสมาชิก RCEP ยกเลิกภาษีนำเข้าที่เก็บกับสินค้าไทย จำนวน 39,366 รายการ โดยลดภาษีเหลือ 0% ทันที จำนวน 29,891 รายการ ในส่วนของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จะลดและยกเลิกภาษีศุลกากรกับสินค้าที่ส่งออกจากไทย เพิ่มเติมจาก FTA ที่มีอยู่ในสินค้า เช่น ผลไม้สดและแปรรูป สินค้าประมง น้ำผลไม้ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์และส่วนประกอบ พลาสติก เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เป็นต้น
อันที่จริง ไทยเราก็มีความตกลงอาเซียน+1 อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งความตกลงนี้ก็ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป แต่ RCEP เป็นความตกลงที่มีความสมบูรณ์มากกว่า ทั้งในเรื่องการเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุน รวมถึงมีกฎเกณฑ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้ามากยิ่งขึ้นดังนั้น ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้ความตกลงที่เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจของตนเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกของการบังคับใช้ความตกลง RCEP ที่ระดับภาษีภายใต้ความตกลง RCEP ในสินค้าบางรายการอาจจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าความตกลงอาเซียน+1 ที่มีการบังคับใช้มาแล้วหลายปี และบางรายการสินค้าประเทศคู่เจรจาก็อาจไม่ได้เปิดให้ไทยภายใต้ความตกลง RCEP เนื่องจากมีความอ่อนไหวกับประเทศคู่เจรจาอื่น
นอกเหนือจากเรื่องการเปิดตลาดสินค้าที่เพิ่มขึ้นแล้ว ความตกลง RCEP จะช่วยยกระดับมาตรฐานและอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการมากขึ้น ช่วยให้
ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่มีความโปร่งใส ชัดเจน และสะดวกขึ้น ทำให้สามารถลดต้นทุนและวางแผนธุรกิจได้ รวมทั้งช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถสรรหาวัตถุดิบการผลิตที่มีความหลากหลายทั้งด้านคุณภาพและราคาจากประเทศสมาชิก RCEP เกิดการขยายเครือข่ายภาคการผลิตและการกระจายสินค้าภายในภูมิภาค ตลอดจนเชื่อมโยงสินค้าและบริการของไทยเข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีการพัฒนาอย่างแข็งแรง มั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว
ในรายละเอียดเรื่องพิธีการศุลกากร จะง่ายขึ้นและการอำนวยความสะดวกทางการค้ามีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกำหนดเวลาตรวจปล่อยสินค้า ณ ด่านศุลกากร สำหรับสินค้าเร่งด่วนและเน่าเสียง่ายต้องดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 6 ชั่วโมง และสินค้าทั่วไปภายใน 48 ชั่วโมง เป็นต้น ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการที่พึ่งพาการนำเข้า-ส่งออกสามารถวางแผนล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกสามารถยื่นเอกสารและข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าก่อนที่สินค้าจะมาถึงในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วย
ด้านแนวปฏิบัติด้านมาตรฐานสินค้าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งในเรื่องมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช และมาตรฐาน กฎระเบียบทางเทคนิค และกระบวนการตรวจสอบและรับรองภายใต้ความตกลง RCEP ประเทศสมาชิกได้ตกลงร่วมกันให้มีข้อผูกพันที่ช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการส่งออกของประเทศผู้นำเข้าได้สะดวกขึ้น ส่วนประเทศผู้นำเข้าจะต้องให้ข้อมูลอย่างทันท่วงทีตามกำหนดเวลาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ต้องมีการเปิดเผยมาตรฐานเป็นภาษาอังกฤษ เปิดให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากประเทศสมาชิกสามารถให้ข้อคิดเห็นต่อมาตรการใหม่ๆ รวมถึงมีระยะเวลาในการปรับตัวที่เหมาะสม ไม่น้อยกว่า 6 เดือน เป็นต้น
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ การขยายห่วงโซ่อุปทานจากการสะสมถิ่นกำเนิดในภูมิภาค โดย RCEP จะช่วยเพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้วัตถุดิบจากประเทศสมาชิกที่มีมากถึง 15 ประเทศ มาผลิตและส่งออกไปตลาด RCEP โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และการใช้กฎถิ่นกำเนิดสินค้าเดียวกันในแต่ละสินค้า ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่วัตถุดิบมีความขาดแคลน ผู้ผลิตน้ำผลไม้จากไทย สามารถซื้อวัตถุดิบที่มีถิ่นกำเนิดในสมาชิก RCEP เข้ามาผลิตและส่งไปจำหน่ายแก่สมาชิก RCEP อื่นๆ โดยได้สิทธิในเรื่องการลดภาษีนำเข้าเหมือนการใช้วัตถุดิบในประเทศ รวมถึงวัตถุดิบพื้นฐานหลายชนิดของไทยก็น่าจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแป้งมันสำปะหลัง ยางพารา ที่นำไปผลิตเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวหรือด้ายยางวัลแคไนซ์ อาจรวมถึงผลไม้ชนิดต่างๆ ที่จะถูกซื้อไปเป็นวัตดุดิบในการแปรรูปมากขึ้น
นอกจากนี้ RCEP ยังสร้างโอกาสในการขยายตลาดการค้าบริการและการลงทุนในไทยและภูมิภาคมากขึ้นโดยกำหนดให้ลดหรือยกเลิกกฎระเบียบและมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน ทั้งภาคบริการและภาคที่มิใช่บริการ จึงทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และสามารถเข้าไปลงทุนโดยถือหุ้นข้างมากได้
สรุปง่ายๆ ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการไทยจะได้รับ คือ ตลาดที่ใหญ่ขึ้นทั้งช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ มีทางเลือกในการจัดซื้อวัตถุดิบเพิ่มขึ้น สามารถเชื่อมโยง SMEs กับห่วงโซ่การผลิตโลกได้ดีขึ้น สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่โปร่งใส ชัดเจน สะดวกขึ้น
สำหรับเกษตรกร ก็มีโอกาสที่จะ ขายสินค้าได้เพิ่มขึ้นจากการเปิดตลาดเพิ่มเติม และเลือกใช้บริการที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการผลิต การขนส่งสินค้าได้เช่นกัน รวมทั้งในมุมผู้บริโภค ก็จะมีทางเลือกในการซื้อสินค้าและใช้บริการมากขึ้นด้วย โดย RCEP ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภคออนไลน์และข้อมูลส่วนบุคคลออนไลน์ จึงมั่นใจในการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้
กระทรวงพาณิชย์เตรียมการรองรับการบังคับใช้ความตกลง RCEP อย่างไร
เรื่องนี้ ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ให้ความสำคัญมาก ได้มอบให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เตรียมการรองรับการบังคับใช้ความตกลง RCEP อย่างเต็มที่ เพื่อให้ไทยได้รับประโยชน์สูงสุดจากความตกลงฯ ซึ่งกรมได้ดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดศูนย์ให้บริการข้อมูล RCEP CENTER เพื่อให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับความตกลง RCEP และสิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่านเว็บไซต์ การให้ความรู้ผ่านการอบรมสัมมนา และการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ซึ่งผู้ประกอบการสามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลทั้งภาษาไทย/ภาษาอังกฤษ และสรุปสาระสำคัญของความตกลง RCEP ในรูปแบบ E-Book เผยแพร่บนเว็บไซต์ (www.dtn.go.th) หรือ สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ Call Center 0-2507-7555
นอกจากนี้ เราก็มีแผนการจัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้ร่วมกับพันธมิตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในกรุงเทพฯและ 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ รวมไปถึงการจัดสัมมนาออนไลน์รวมทั้งสิ้น 15 ครั้งตลอดปี 2565 รวมถึงโครงการความช่วยเหลือด้านสินเชื่อเพื่อการส่งออก “จับคู่กู้เงิน ลุยตลาด RCEP” ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ทำงานร่วมกับ EXIM BANK ผู้ส่งออกในโครงการนี้จะได้รับข้อเสนอพิเศษในรูปแบบเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 2.75% ต่อปี ในปีแรกปีที่ 2 : 4% ปีที่ 3-4 : Prime Rate-0.25%ให้วงเงินกู้สูงสุดถึงรายละ 50 ล้านบาท มีการอนุมัติสินเชื่อที่รวดเร็วภายใน 7 วัน โดยทางธนาคารได้เตรียมวงเงินไว้รวมกว่า 3,000 ล้านบาท
อยากทิ้งท้ายอะไรบ้างเกี่ยวกับ RCEP
ไม่อยากให้ผู้ประกอบการพลาดโอกาสดีๆ นี้ เพราะความตกลง RCEP จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยและสมาชิก RCEP จากวิกฤตโควิด-19 ซึ่งผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ควรเร่งเตรียมความพร้อมทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ทางการค้าต่างๆ จนถึงวันนี้มีผู้เริ่มใช้ขอใช้สิทธิ์ด้วย Form RCEP แล้วมากกว่า 900 ล้านบาท ก็อยากจะเชิญชวนให้ท่านอื่นๆ มาใช้ประโยชน์จากความตกลงฉบับนี้ด้วย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถสอบถามและสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการ “RCEP Center” โทร. 0-2507-7555 หรือเว็บไซต์www.dtn.go.th
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี