1.โดยที่มาตรา 1304(2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดว่าที่ดินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเป็นที่ดินของรัฐและไม่มีผู้ใดสามารถอ้างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือครอบครองได้ แต่สามารถออกกฎหมายกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติได้ โดยการอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินแปลงใดแปลงหนึ่งหรือหลายแปลงเป็นเขตอุทยานแห่งชาติได้
2.ประเด็นของเรื่องครั้งนี้ เป็นกรณีที่องค์การบริหารส่วนตำบลแห่งหนึ่งซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้เข้าใช้ที่ดินที่เป็นที่สงวนเลี้ยงสัตว์อันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันโดยทำการก่อสร้างเป็นลานจอดรถเพื่อจัดระบบบริการสาธารณะรองรับการท่องเที่ยวตามนโยบายของรัฐบาลตามมติของสภาองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งนั้น ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติที่ดูแลที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาตินั้นได้ตรวจพบว่า องค์การบริหารส่วนตำบลแห่งนี้ เข้ายึดถือครอบครองพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตพร้อมทั้งแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งนี้ ทั้งนี้ได้แจ้งให้องค์การบริหารส่วนตำบลนั้นทำลายหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ออกไปให้พ้นเขตอุทยานแห่งชาติหรือทำให้สิ่งนั้นๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม
3.แต่องค์การบริหารส่วนตำบลแห่งนี้เห็นว่าตนสามารถดำเนินการได้ตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และมีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 68(8)แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2539 และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2544 องค์การบริหารส่วนตำบลจึงได้ฟ้องหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ โดยขอให้ศาลมีคำสั่งหรือพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติที่สั่งให้รื้อถอนลานจอดรถและให้ถอนการแจ้งความดำเนินคดีด้วย
4.ศาลปกครองสูงสุดได้ตรวจพิจารณาสำนวนคดีนี้แล้วมีความเห็นโดยสรุปว่าคดีนี้มีประเด็นพิพาทว่าผู้ถูกฟ้องคดี(หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ) ออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทำลายรื้อถอนลานจอดรถออกไปให้พ้นอุทยานแห่งชาติเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น โดยที่ผู้ฟ้องคดีมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันภายในเขตปกครองแต่การจะใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้น จะต้องขออนุมัติเข้าใช้จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก่อน ตามข้อ 8 ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินพ.ศ.2549 ขณะเดียวกันก็ต้องดำเนินการเพิกถอนสภาพที่ดินเพื่อเปลี่ยนสภาพการใช้ด้วย ประกอบกับผู้ฟ้องคดียังมิได้ขออนุญาตเข้าใช้ที่ดินดังกล่าวด้วย การที่ผู้ถูกฟ้องคดีออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการดังกล่าวจึงมิได้เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ประการใด โดยสรุปที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืน
5.ติดตามรายละเอียดได้ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่คดีหมายเลขแดงที่ อ 400/2555 ครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี