กรณีหญิงคนหนึ่งในจ.พิษณุโลกร้องเรียนมาว่า ถูกนายทุนเงินกู้กลั่นแกล้งฟ้องร้อง ยึดที่ดิน ยึดบ้านแล้วยังฟ้องเป็นคดีอาญา ซึ่งผมให้คำแนะนำวิธีต่อสู้คดี และศาลแขวงพิษณุโลกได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ผมบอกกล่าวเอาไว้ว่า จะนำคำพิพากษามากล่าวถึงโดยย่อในคอลัมน์นี้
คดีนี้โจทก์ฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลแขวงพิษณุโลกในความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ครวม 2 สำนวน จำเลยร้องขอให้ศาลรวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน ตามฟ้องกล่าวหาจำเลยกระทำผิดหลายกรรม โดยออกเช็ค11 ฉบับชำระหนี้เงินกู้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์นำเช็คไปขึ้นเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับ ให้เหตุผลว่า “เงินในบัญชีไม่พอจ่ายและบัญชีปิดแล้ว” ทั้งนี้จำเลยออกเช็คทุกฉบับ โดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมาย จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์พยานโจทก์และจำเลยแล้ว รับฟังว่า ก่อนเกิดเหตุคดีเมื่อ 3 มิ.ย.2554 จำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ครั้งแรกโดยจำนองที่ดินเป็นประกัน ต่อมามีการผิดนัดชำระหนี้ จึงมีการจดทะเบียนโอนทรัพย์จำนองเป็นของโจทก์ เมื่อ 24 ม.ค. 2555 จำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร 10,000 บาทโดยรับเช็คจากธนาคาร 20 ฉบับ ในวันเดียวกันจำเลยได้ออกเช็คสั่งจ่าย 10,000 บาท เข้าบัญชีโจทก์ และออกเช็คสั่งจ่ายอีก 11 ฉบับให้โจทก์ไว้ต่อมาธนาคารปฏิเสธสั่งจ่ายว่า “เงินในบัญชีไม่พอจ่าย, บัญชีปิดแล้ว”
ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีและบังคับ ได้ตามกฎหมายหรือไม่ โจทก์นำสืบว่า หลังกู้เงินครั้งแรก ได้กู้เงินอีกหลายครั้ง หักกลบแล้วมีหนี้เหลือ 2,335,000 บาท จึงให้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้เมื่อ 5 ก.พ. 2555 จำเลยจึงออกเช็คตามฟ้อง 11 ฉบับสั่งจ่ายตามจำนวนหนี้ และตอบคำถามค้านว่า หนี้ตามสัญญาจำนอง จำเลยชำระคืนประมาณ 100,000 บาท หนี้ที่กู้ภายหลังส่วนใหญ่ไม่ได้ทำหลักฐานไว้ และระหว่างกู้เงิน จำเลยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารโจทก์ร้อยกว่าครั้ง ประมาณ 3,000,000 บาท พฤติการณ์กู้ยืมเงินครั้งแรก ที่มีการจำนองที่ดินไว้เป็นประกันนั้นจำเลยกู้ 600,000 บาท ไม่สามารถชำระหนี้ได้ครบ จนที่ดินจำนองตกเป็นของโจทก์ รวมถึงพฤติการณ์แห่งคดีที่จำนวนเงินตามเช็คทั้ง 11 ฉบับ กับเงินจำนวนที่โจทก์เบิกความว่า จำเลยโอนให้แล้วประมาณ 3,000,000 บาทนั้น รวมมีมากถึงกว่า 5,000,000 บาท ไม่น่าเชื่อว่า โจทก์จะยอมให้จำเลยกู้อีกมากถึงขนาดนั้นโดยไม่ได้ทำหลักฐานหนังสือหรือมีหลักประกันใดๆ เลย เมื่อพิจารณาระยะห่างช่วงเวลาที่จำเลยโอนเงินเข้าบัญชีโจทก์แต่ละครั้งแล้ว เห็นว่า ไม่ใช่ลักษณะการชำระหนี้ให้แก่กัน เนื่องจากระยะเวลาไม่แน่นอนและจำนวนเงินกู้ไม่เท่ากันทุกครั้ง ที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็คชำระหนี้เงินกู้ จึงไม่มีน้ำหนัก เชื่อว่ามีหนี้ที่ยังไม่เปิดเผยบางอย่าง ทำให้จำเลยมีภาระต้องโอนเงินเข้าบัญชีโจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า ออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้โจทก์ทุกฉบับในวันเปิดบัญชีเงินฝากโดย 10,000 บาท ที่ใช้เปิดบัญชีเป็นเงินของโจทก์ สั่งจ่ายให้โจทก์ในวันเดียวกับที่เปิดบัญชี เห็นว่า มีเหตุผลควรรับฟัง เนื่องจากหากจำเลยต้องการชำระหนี้เพียง 10,000 บาท สามารถโอนเงินเข้าบัญชีโจทก์เหมือนที่เคยปฏิบัติต่อกันได้ไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีเงินฝากใหม่เพื่อสั่งจ่ายเงินด้วยเช็คให้ยุ่งยาก ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการจ่ายเงินด้วยเช็คให้กันมาก่อน จึงเชื่อว่าจำเลยเบิกความตามสัตย์จริง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นคนมอบเงินให้จำเลยเปิดบัญชี แล้วให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้อง 11 ฉบับ ให้มีรายการตรงกับหนังสือรับสภาพหนี้พอดี โดยโจทก์ก็รู้อยู่แล้วว่า ขณะนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีของจำเลย จึงเป็นกรณีที่โจทก์เป็นผู้ใช้ให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องนั่นเอง พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่จะมีอำนาจฟ้องได้ ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) อีกด้วย พิพากษายกฟ้อง
คดีนี้ผมได้รับฟังนั้น จำเลยกู้เงินโจทก์เพียงไม่กี่แสนบาทและโจทก์ก็ดำเนินการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปเป็นของโจทก์ และจำเลยถูกโจทก์ฟ้องขับไล่จึงสู้คดี และฟ้องโจทก์เป็นจำเลย แต่ก็ถูกโจทก์มาฟ้องอีกจำเลยจึงต่อสู้คดีโดยวางรูปคดีพิสูจน์ความจริงว่าเช็คตามฟ้องไม่ใช่เช็คชำระหนี้และไม่มีมูลหนี้ตามเช็ค จำเลยไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้ ยอดหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้กว่า 2 ล้านบาท ก็ไม่เป็นความจริง เช็คที่สั่งจ่ายทั้งหมด โจทก์เป็นผู้พาจำเลยไปธนาคารและออกเงินให้จำเลยเปิดบัญชี
ในการนำสืบต่อสู้คดี ศาลให้ความเมตตาโดยรับฟังข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบ ประกอบพยานเอกสารที่โจทก์อ้าง กับต้นขั้วเช็ค อีกทั้งซักค้านประเด็นเรื่องมูลหนี้ ศาลได้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วรับฟังว่า จำเลยกู้เงินโจทก์เพียงครั้งเดียว ไม่เชื่อว่ากู้เงินอื่นอีกรวมกว่า 5 ล้านบาท โดยไม่มีหลักฐานเงินที่โอนผ่านบัญชีจำเลยชำระให้โจทก์กว่า 3 ล้าน ที่ศาลรับฟังว่าเป็นเงินไม่เปิดเผยนั้น ความจริงก็คือเงินที่ลูกหนี้รายอื่นชำระหนี้ผ่านบัญชีจำเลยและจำเลยก็โอนให้โจทก์โดยไม่ได้ประโยชน์ตอบแทนใด เช็คทั้ง 11 ฉบับที่จำเลยมอบให้โจทก์นั้น โจทก์รู้อยู่ว่า จำเลยไม่มีเงินอยู่ในบัญชี การกระทำดังกล่าวเป็นกรณีที่โจทก์ใช้ให้จำเลยสั่งจ่ายเช็ค โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจนำคดีมาฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์
คดีนี้ศาลผู้พิจารณาคดีให้ความเมตตาจำเลยโดยรับฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบต่อสู้คดีอย่างละเอียดรอบคอบจนได้ความจริงดังกล่าวข้างต้นและพิพากษายกฟ้อง ซึ่งข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟังประกอบกับข้อกฎหมายตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 และพิพากษายกฟ้องนั้นเป็นการยากที่จะอุทธรณ์คัดค้านให้มีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาได้คำพิพากษาศาลนับเป็นความเมตตาอย่างสูงสุดต่อจำเลยที่เกือบต้องถูกขังระหว่างพิจารณาคดี ซึ่งคำพิพากษานี้มิใช่เป็นประโยชน์ต่อจำเลยแต่เพียงผู้เดียวแต่จะเป็นประโยชน์กับลูกหนี้เงินกู้ของนายทุนเงินกู้ใน จ.พิษณุโลกและจังหวัดอื่นๆ ที่เดือดร้อนเหมือนกับผู้เสียหายหญิงรายนี้ ซึ่งพฤติการณ์ของนายทุนเงินกู้ดังกล่าว มีผลกระทบต่อใครขอได้โปรดร้องเรียนมาที่คอลัมน์นี้ เพื่อที่ผมจะได้แนะนำให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ส.ดำเนินสะดวก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี