ศาลปค.เพิกถอนระเบียบกกต.3ข้อ

ชี้ชัดขัดรัฐธรรมนูญ

ไฟเขียวผู้สมัครเลือกสว.

ติดประกาศแนะนำตัว

ออกสื่อสาธารณะได้

มท.1สั่งเข้มสกัดทุจริต

ศาลปกครองกลาง ไฟเขียวผู้สมัคร สว.ติดประกาศแนะนำตัวออกสื่อสาธารณะให้ปชช.รู้จักได้ พิพากษาสั่งเพิกถอนระเบียบ กกต.บางข้อที่สั่งห้าม ชี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังห้ามผู้สมัครทุกคนแนะนำตัวทางวิทยุ - โทรทัศน์- สื่อสิ่งพิมพ์และห้ามให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เพื่อให้เกิด
ความเป็นธรรมกับทุกกลุ่มอาชีพ ด้านเลขาฯ กกต.น้อมรับคำพิพากษา ปัดตอบ

ยื่นอุทธรณ์หรือไม่ พร้อมกับออกประกาศเตือนผู้สมัคร สว.หากพบยินยอมให้“ผู้มีตำแหน่งทางการเมือง”ช่วยเหลือ โดนโทษจำคุก 1 ปี-ปรับ 2หมื่น-เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง5 ปี ขณะที่‘มท.1’ กำชับกรมการปกครอง เข้มดูแล-รัดกุมข้อมูลผู้สมัคร อย่าให้รั่วถึงกลุ่มฮั้วการเมือง

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีประชาชนบางกลุ่มแสดงความห่วงใยการเก็บข้อมูลผู้สมัครคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ระดับอำเภอ โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย อาจมีการรั่วไหลไปถึงกลุ่มการเมืองที่ต้องการจัดตั้งกลุ่มผู้สมัครและประสานงานติดต่อเพื่อเตรียมบล็อคโหวตได้ว่า ได้ทราบถึงความกังวลของประชาชน จึงกำชับให้กรมการปกครองดำเนินการรับสมัครวันสุดท้ายให้ราบรื่น และให้เจ้าหน้าที่ทุกเขตและอำเภอเฝ้าระวังสังเกตการณ์พฤติกรรมผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นในวันสุดท้าย เช่น การขนผู้สมัครมาเป็นกลุ่มและมีคนเตรียมการใบสมัครให้ รวมถึงให้คุมเข้มเรื่องการรักษาข้อมูลผู้สมัครไม่ให้มีการรั่วไหลด้วย

มท.1สั่งกรมปกครองเข้มสมัครสว.

“กระทรวงมหาดไทยตระหนักดีว่าภารกิจนี้เป็นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่ง เป็นกระบวนการใช้สิทธิที่สำคัญต่อพัฒนาการของประชาธิปไตย และประชาชนต้องมั่นใจในความโปร่งใส ที่ผ่านมาก็ต้องขอขอบคุณข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ตั้งใจเรียนรู้กระบวนการในระยะเวลาอันสั้นและปฏิบัติหน้าที่อย่างโปร่งใสสุจริต วันนี้ถือเป็นโค้งสุดท้ายในการรับสมัครแล้ว ก็ขอให้ทุกคนการ์ดอย่าตก ดูแลทุกอย่างให้ราบรื่นจนจบกระบวนการ” นายอนุทินกล่าว และฝากถึงประชาชนให้ช่วยจับตาความผิดปกติและรายงานกระทรวงมหาดไทยที่สายด่วน 1567 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขอย้ำว่าเรื่องความสุจริตเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญที่สุดในกระบวนการนี้ ตนจะไม่ปล่อยให้มีการทุจริตเกิดขึ้นเป็นอันขาด ถ้าพบเห็นความไม่ชอบมาพากล ให้แจ้งผู้อำนวยการประจำพื้นที่หรือรายงานตรงมาที่กระทรวงมหาดไทย เราจะดำเนินการถึงที่สุด

ผู้สมัครสว.ให้นักการเมืองช่วยโทษหนัก

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)เผยแพร่ประกาศโทษของการยินยอม ให้ผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือในการสมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.)รวมถึงโทษตามกฎหมาย ผู้สมัครรับเลือกเป็น สว. ที่ยินยอมให้ผู้สมัครอื่น กรรมการบริหารพรรคการเมืองผู้ดำรงตำแหน่งอื่นใดในพรรคการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเข้ามาช่วยเหลือผู้สมัครไม่ว่ากรณีใดๆหากฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 5 ปี สำหรับยอดผู้สมัคร สว. รวม 4 วันที่ผ่านมา มียอดรวม 34,169 คน โดยก่อนหน้านี้ กกต.คาดว่าจะมีผู้สมัคร 100,000 คน

รทสช.สั่งลูกพรรคห้ามยุ่งผู้สมัครสว.

ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติกำชับสมาชิกและสส. ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้สมัคร สว. เพื่อไม่ให้ขัดกฎหมายและคงเจตนารมย์ของความเป็นอิสระของสภาสูงให้แยกออกจากการเมือง เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน ให้เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ กกต.แจ้งเตือนผู้สมัครและพรรคการเมืองแล้ว หากตรวจสอบพบว่าผู้สมัครคนใดยินยอมให้ผู้ที่มีตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงกรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นใดในพรรคการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เข้ามาช่วยเหลือผู้สมัครไม่ว่ากรณีใด หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี

“หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคและผู้บริหารรวมไทยสร้างชาติ กำชับสส. และการเมืองทุกระดับไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือผู้สมัคร สว. เพราะถือเป็นตำแหน่งที่ต้องได้มาด้วยความอิสระ โปร่งใส ไม่ยึดโยงกับพรรคหรือกลุ่มการเมือง เพื่อผู้ที่ได้รับตำแหน่งจะเข้ามาปฎิบัติหน้าที่เต็มที่ เพื่อติดตามตรวจสอบและออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติในอนาคต” นายธนกร กล่าว

“หมอเหรียญทอง”มาตามนัดลงเขตหลักสี่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้เป็นวันสุดท้าย ของการเปิดรับสมัครผู้ประสงค์เข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาประจำปี 2567 ที่สำนักงานเขตหลักสี่ ประชาชนทยอยเดินทางเข้ามาส่งใบสมัครต่อเนื่อง ตั้งแต่เวลา 08.00 น. พบว่าเป็นทั้งกลุ่มประชาชนที่เดินทางเข้ามาสมัครครั้งแรก และประชาชนที่กลับมาส่งหลักฐานอีกครั้ง เพราะเอกสารไม่ครบถ้วน ซึ่งจากการพูดคุยพบว่าว่าผู้สมัครส่วนใหญ่ไม่เข้าใจในระเบียบ

เวลา 09.10 น. พลตรีนายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เดินทางมาสมัครรับเลือกเป็น สว.กลุ่มอาชีพการสาธารณสุข เมื่อเดินทางถึง นพ.เหรียญทองได้ลงทะเบียน และดำเนินการตามขั้นตอนเป็นเวลาประมาณ 40 นาที เมื่อเสร็จสิ้นจึงเดินออกจากห้องรับสมัครโดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ โดยกล่าวเพียงว่า ห้ามแนะนำตัว แทนที่จะติดคุกเรื่องอื่น จะมาติดคุกเรื่องนี้ พร้อมระบุว่า ขั้นตอนการสมัครง่าย ไม่ยุ่งยาก หากประชาชนอยากเข้ามาเลือกคนดี ก็สมัครเข้ามากันมากๆ

น.ส.ศุภัชฌา อุวอง หัวหน้าฝ่ายปกครอง เขตหลักสี่ ในฐานะผู้อำนวยการเลือกระดับอำเภอ เปิดเผยว่า ตลอดสี่วันที่ผ่านมา สำนักงานเขตหลักสี่พบปัญหาเพียงระบบที่ล่าช้าในวันแรก และเอกสารที่ขาดหายของผู้สมัครจำนวนหนึ่ง แต่โดยภาพรวมการสมัครเป็นไปอย่างเรียบร้อย มีผู้สมัครทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

พล.ต.อ.ศรีวราห์สมัครที่นครปฐม

ที่ว่าการอำเภอสามพราน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล อดีต รอง ผบ.ตร.(ด้านความมั่นคง) และอดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเดินทางมาสมัครสมาชิกวุฒิสภาฯ (สว.) ซึ่ง พล.ต.อ.ศรีวราห์ จะลงสมัคร สว.ในสายด้านความมั่นคง สำหรับเหตุผลที่มาสมัครที่อำเภอสามพราน อาศัยกฏหมายระเบียบของคณะกรรมการเลือกตั้งฯ (กกต.) ว่าผู้สมัครต้องเคยศึกษาอยู่ในพื้นนั้นไม่ต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งพล.ต.อ.ศรีวราห์ เคยเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน รุ่น (นรต.35) ทั้งนี้ ก่อนยื่นใบสมัคร พล.ต.อ.ศรีวราห์ได้ทำความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 จากนั้นเดินทางไปไหว้ศาลพระพรหม ประจำอำเภอสามพราน ก่อนยื่นใบสมัครดินขึ้นไปที่ห้องรับสมัครซึ่งอยู่ชั้น 3 ของที่ทำการอำเภอสามพราน

เชียงใหม่วันสุดท้ายคึกคัก

ที่หอประชุมอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ บรรยากาศการสมัคร สว. วันสุดท้ายเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนเดินทางมาสมัครจำนวนมาก โดยตั้งแต่เปิดรับสมัครวันที่ 20 พฤษภาคม พบมีผู้มาสมัครแล้ว 300 กว่ารายแล้ว โดยคนตื่นตัวที่จะมาสมัคร สว.กันจำนวนมาก มีผู้มาขอใบสมัคร สว. มากถึง 400 กว่ารายแล้ว ถือว่ามากที่สุดในจ.เชียงใหม่ เช่นเดียวกับ ที่หอประชุมอำเภอแม่ริม ตั้งแต่เปิดรับสมัครเวลา 08.30 น.มีผู้เดินทางมาสมัคร สว.มากกว่า 10 ราย บางรายมาสอบถามเอกสารไม่ครบเจ้าหน้าที่ก็ได้ให้ไปหาเอกสารมาประกอบการสมัครใหม่ให้ครบถ้วน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่คาดว่าผู้ที่มาขอรับใบสมัครในอำเภอแม่ริมที่มีมาครั้งแรกนั้น อาจไปลงสมัครในพื้นที่อื่น หรือบางรายตรวจคุณสมบัติ แล้วไม่ผ่าน จึงยกเลิกการสมัครไปโดย 4 วันที่ผ่านมานั้นมีคนมาสมัครแล้ว กว่า 100 ราย

ด้านนายนพดล สุยะ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงกล่าวว่า หากจบระยะเวลาการรับสมัครแล้วจะเปิดเผยชื่อและจำนวนผู้รับสมัครได้วันที่ 25 พฤษภาคม เวลา 22.00 น. เป็นต้นไป สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้สมัครผ่าน Application Smart Vote และหากพบการทุจริตเลือก สว.แจ้งสำนักงาน กกต. 0-5311-2347 หรือสายด่วน กกต. 1444 หรือแจ้งผ่าน Application ตาสับปะรด หรือผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงใหม่

ศาลปค.เพิกถอนระเบียบเลือกสว.3ข้อ

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งเพิกถอนระเบียบ คณะกรรมการการเลือกตั้ง กกต. ว่าด้วยการแนะนำต้ว ผู้สมัคร สว. ข้อ 7, 8 และ 11 (2) ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการ ให้แนะนำตัวได้ไม่เกิน 2 หน้า A 4 การแนะนำตัวทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยตนเอง และห้ามผู้สมัคร ศิลปิน-สื่อ ใช้ความสามารถเพื่อเอื้อประโยชน์ในการแนะนำตัว

สำหรับคำพิพากษาดังกล่าว สืบเนื่องจากคดีที่นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวประชาไท ยื่นฟ้อง ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนระเบียบ กกต. ก่อนระบุรายละเอียดเพิ่มเติมภายหลังว่าให้เพิกถอน 4 ข้อ ได้แก่ ข้อ 7, 8, 11 (2) และ 11 (5) และคดีที่นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยื่นฟ้องเพิกถอนระเบียบ กกต. รวม 6 ข้อ ได้แก่ ข้อ 5, 7, 8, 11 (2) และ 11 (5) ก่อนมาเพิ่มข้อ 11 (3) ภายหลัง เนื่องจากเห็นว่า ระเบียบดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญ ทำให้ขาดการมีส่วนร่วมประชาชนตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้

ให้ผู้สมัครแนะนำตัวได้เกิน2หน้าA4

ศาลปกครองพิเคราะห์ว่า ระเบียบข้อ 7 ไม่ชอบด้วยกฎหมายพิจารณาตามมาตรา 78 ประกอบกับมาตรา 107 ของรัฐธรรมนูญ มีเจตนารมณ์ให้เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งสว.มีหน้าที่ออกกฎหมายที่บังคับกับประชาชนคนไทย การทำหน้าที่ของ สว.ย่อมมีผลกระทบต่อประชาชน จึงควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจ ในเมื่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. 2561 กำหนดให้ผู้สมัครคัดเลือกกันเอง ไม่ได้ให้ประชาชนมีสิทธิเลือก สว.ด้วย แต่เมื่อเทียบสัดส่วน สว.กับประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ถือว่ามีสัดส่วนน้อยมาก

“ดังนั้น ระเบียนข้อ 7 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 78 ,3 ,26 ที่บัญญัติถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ต้องไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล และต้องเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยศาลระบุว่าระเบียบการแนะนำตัวผู้สมัครสว. มีสถานะเป็นกฎ ไม่ใช่เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การออกกฎย่อมไม่ขัดแย้งต่อบทบัญญัติกฎหมาย เพราะตัวกฎหมายไม่อาจขัดต่อหลักนิติธรรม และจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยไม่มีเหตุ” คำสั่งศาลปกครองระบุ

นอกจากนี้ ศาลมองว่า ระเบียบ กกต. ข้อ 7 ที่กำหนดเนื้อหาที่ระบุในเอกสารแนะนำตัวได้เฉพาะข้อมูลส่วนตัว และรูปถ่ายของผู้สมัคร ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน ประสบการณ์ทำงานเท่านั้น โดยกกต.อ้างเหตุผลว่าเพื่อความเท่าเทียมระหว่างผู้สมัคร แต่ข้อเท็จจริงประวัติประสบการณ์ของผู้สมัครแต่ละคนไม่เท่ากัน มีความรู้ความสามารถในหน้าที่แตกต่างกัน การกำหนดปริมาณเนื้อหา และเอกสาร จึงเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้สมัคร สว.เกินกว่าเหตุ และถือว่าไม่เป็นการรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล หรือเพื่อรักษาศีลธรรมอันดีของประชาชน ระเบียบข้อ 7 นี้ จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญในมาตรา 26 ,34

ส่วนที่ กกต. ได้ออกระเบียบข้อ 7 ฉบับที่ 2 มีการแก้ไขเนื้อหาสาระสำคัญในการกำหนดข้อความของผู้สมัคร ให้ผู้สมัครแนะนำตัวได้ตามเอกสาร 2 หน้ากระดาษ A4 ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายกับฉบับที่ 1 ศาลพิเคราะห์ว่า ระเบียบข้อ 7ในประกาศฉบับที่ 2 ไม่ชอบด้วยหลักกฎหมายด้วยเช่นกัน

ติดประกาศแนะนำตัวออกสื่อสาธารณะได้

ส่วนระเบียบข้อที่ 8 ที่กำหนดหลักเกณฑ์ส่งผลให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้สมัครสว. ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของทั้งประเทศ ไม่ทราบข้อมูลของผู้สมัครสว.ได้ ศาลพิเคราะห์ว่า ระเบียบข้อ 8 ไม่บรรลุถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเช่นกัน ทั้งที่ สว.เป็นผู้แทนประชาชน มีบทบาทออกกฎหมายที่กระทบกับประชาชน แต่ระเบียบนี้ ไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจทางการเมือง รวมถึงมีส่วนร่วมเลือกสว. การที่ประกาศกำหนดให้แนะนำตัวกับผู้สมัคร สว.ด้วยกันเท่านั้น เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ของบุคคลในการแสดงความคิดเห็น ไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 26,34 แม้ต่อมาจะแก้ไข ให้ผู้สมัครแนะนำตัวผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ศาลพิเคราะห์ว่าประชาชนบางส่วนเข้าถึงข้อมูลได้ ทั้งนี้ ศาลวินิจฉัย เพิกถอนเฉพาะข้อ 8 เฉพาะฉบับที่ 1 ที่ประกาศบังคับใช้ในวันที่ 27 เม.ย. – 15 พ.ค. 67

ส่วนข้อ 11 (2) ที่กำหนดถึงการห้ามกลุ่มอาชีพเฉพาะกลุ่ม เข้าร่วมรับสมัคร ส.ว. ทำให้ผู้สมัครกลุ่มอื่นแนะนำตัวมากกว่า เป็นการจำกัดสิทธิเฉพาะกลุ่มอาชีพ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้สมัคร สว. ศาลพิเคราะห์ว่าข้อนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 27 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอน

ส่วนระเบียบข้อ 11 (5) ที่กำหนดห้ามผู้สมัครแนะนำตัวทางวิทยุโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง เคเบิลทีวี หรือสื่อสิ่งพิมพ์ รวมถึง การให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน นั้น ศาลเห็นว่า ระเบียบข้อนี้เป็นการห้ามเฉพาะผู้สมัคร สว. ไม่ได้เป็นการห้ามสื่อมวลชน จึงไม่อาจมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อในการนำเสนอข่าวสารแต่อย่างใด จึงพิพากษาให้เพิกถอนระเบียบกกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 2567 ในส่วนข้อ 3 ข้อ 7 ทั้งฉบับแรก และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 8 เฉพาะฉบับแรกที่บังคับใช้ในช่วง 27 เมษายน-15 พฤษภาคม และข้อ 11 (2) และ (3) โดยให้ผลย้อนหลังนับตั้งแต่ระเบียบดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทั้งสองฉบับ

เลขาฯกกต.น้อมรับคำพิพากษา

นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยภายหลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนระเบียบ กกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือก สว. 3 ข้อว่า ในชั้นสำนักงาน กกต.หากศาลตัดสินมาแล้วเป็นประโยชน์กับประชาชน เราจะดำเนินไปตามนั้น เพื่อให้สิทธิกับประชาชนมากขึ้น สำนักงาน กกต.จะยึดถือตรงนี้เป็นหลัก โดยจะเสนอความเห็นไปให้กับกกต. ส่วนกกต.จะเห็นอย่างไรก็เป็นอีกเรื่อง แต่คงไม่ต่างกันมาก เพราะเป็นเรื่องประโยชน์ส่วนรวม อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า กกต.มีสิทธิ์อุทธรณ์ โดยหลักการ หากเป็นประโยชน์ส่วนรวม ให้ประเทศเดินต่อไปได้ หรือให้เป็นไปตามโร้ดแมปก็น่าจะเกิดประโยชน์ที่สุด ส่วนการแนะนำตัวที่จะเขียนได้มากกว่าสองหน้ากระดาษ A4 ถ้าศาลให้เพิกถอนแล้ว ผู้สมัครทำได้ไม่กระทบการเลือก สว.เพราะไม่ได้ยกเลิกทั้งระเบียบ

“ระเบียบของ กกต.ก็ใช้ลักษณะนี้มาตลอด เมื่อศาลพิพากษาว่าควรให้สิทธิประชาชนมากกว่านี้ สำนักงานจึงต้องรับฟัง หากมีคนไปร้องเพิ่มก็เป็นสิทธิของประชาชน ผมก็ทำงานปกติ”เลขาฯกกต.กล่าว