(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)

(4) คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายคณะที่ 5) พิจารณาแล้วมีความเห็นโดยสรุปความว่าพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2539มาตรา 4 บัญญัติให้ล้างมลทินแก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่างๆ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 9 มิถุนายน 2539 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หรือซึ่งได้พ้นโทษไปโดยผลแห่งพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2539 โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้นๆ ซึ่งย่อมหมายความว่าบรรดาโทษที่บุคคลได้รับอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดและได้รับโทษมาจนได้พ้นโทษไปก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ ย่อมถูกล้างไปสิ้นและไม่อาจนำมาล้างให้เป็นโทษแก่ผู้ใดโดยตรงได้อีก ดังนั้น กรณีที่บุคคลถูกศาลพิพากษาลงโทษตามกฎหมายว่าด้วยการพนันให้ลงโทษปรับและจำคุก 6 เดือน โดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี เมื่อบุคคลนั้นได้ชำระค่าปรับแล้ว ย่อมถือได้ว่าพ้นโทษแล้ว ส่วนการรอการลงโทษจำคุกเป็นเวลา 2 ปีนั้นไม่อาจถือได้ว่ายังมีโทษที่จะได้รับอีก บุคคลดังกล่าวจึงได้รับประโยชน์จากพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2539และกฎหมายถือว่าเป็นผู้ไม่เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ด้วยเหตุนี้ผู้ว่าราชการจังหวัด จึงไม่อาจนำมาเป็นเหตุสั่งให้บุคคลนั้นออกจากตำแหน่งกำนัน และผู้ใหญ่บ้านด้วยเหตุตามมาตรา 12(11) ประกอบมาตรา 14 และมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม การล้างมลทินดังกล่าวมีผลเฉพาะมลทินตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งในกรณีนี้ได้แก่ความผิดที่กระทำและโทษที่ได้รับ โดยไม่รวมถึงพฤติกรรมการกระทำของบุคคลผู้กระทำผิด ผู้กระทำเคยกระทำพฤติกรรมใดไว้ พฤติกรรมนั้นย่อมยังคงมีอยู่โดยมิได้ลบล้างไปด้วย ข้อเท็จจริงที่นาย จ. เป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนักเล่นการพนันสลากกินรวบนั้น ถ้าพฤติกรรมดังกล่าวนั้น เข้าลักษณะต้องห้ามการเป็นกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านตามที่บัญญัติไว้ในอนุมาตราอื่นของมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ฯ ด้วยแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัด ย่อมอาจใช้เป็นเหตุสั่งให้ออกจากตำแหน่งกำนันและผู้ใหญ่บ้านต่อไปได้ เช่น เป็นผู้เสื่อมเสียในทางศีลธรรมตามมาตรา 12(8) แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ฯ เป็นต้น (ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายคณะที่ 5) เรื่องเสร็จที่ 657/2541)

(อ่านต่ออาทิตย์หน้า)