เมื่อปรากฏว่า นาย ส. ถูกศาลพิพากษาว่ากระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ให้ลงโทษปรับและจำคุก 6 เดือน โดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี นาย ส. จึงไม่ได้รับประโยชน์จากพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ

สำหรับกรณีที่ นาย ส. ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งก่อนวันที่พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ฯ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2551 จะมีผลใช้บังคับ และต่อมาเมื่อพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 ใช้บังคับแล้วได้เพิ่มมาตรา 12(15) กำหนดให้การเสียสิทธิในกรณีที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นลักษณะต้องห้ามของการสมัครรับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านจึงมีปัญหาว่า นาย ส. จะมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 12 (15) ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นในภายหลังที่นายส.ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งแล้วหรือไม่

ตรงนี้คณะกรรมการกฤษฎีกา(คณะพิเศษ) พิจารณาแล้วเห็นว่า มาตรา 12(15) ได้บัญญัติว่าผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านต้องไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างเสียสิทธิในกรณีไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง โดยไม่ได้กำหนดวันเริ่มต้นของการเสียสิทธิหรือถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเอาไว้เป็นพิเศษ ดังนั้น เมื่อ นาย ส. ยังอยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนาย ส. จึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามการเป็นผู้ใหญ่บ้านตามมาตรา 12(15) ดังกล่าวข้างต้นและแนวความเห็นเช่นนี้ย่อมใช้ได้กับกรณีของผู้ที่อยู่ในระหว่างการเสียสิทธิในกรณีที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้เช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุผลข้างต้น การที่นาย ส. ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน และปรับโดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปีจึงไม่ได้รับประโยชน์ตามพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ และเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามการเป็นผู้ใหญ่บ้านตามมาตรา 12(11) และ (15) แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ฯ

(ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 77/2552)

13. โปรดติดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2539 ที่ 3295/2541และที่ 483/2543 เพิ่มเติมด้วยนะครับ