พท.ไม่หวั่นฝ่ายค้านจองกฐิน
พร้อมสู้ศึกซักฟอก
โวโอกาสแสดงผลงานรัฐบาล
เย้ยไม่รู้จะขุดอะไรมาถล่ม
รบ.เพิ่งทำงานได้แค่3เดือน
“อนุสรณ์”ชี้ รัฐบาลพร้อมรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ระบุ ถือเป็นเวทีและโอกาสแถลงผลงาน ขณะที่ สส.เพื่อไทย ชี้ รัฐบาลชุดนี้ทำงานได้เพียงแค่ 3 เดือน จะเอาอะไรมาซักฟอก ขออย่าเอาอคติส่วนตัวและข้อมูลที่ไม่จริงมาพูด ด้าน “นายกฯอิ๊งค์” บอกเข้าใจ ปชช.กังวลขึ้นแวต 15% โยนให้ “รมว.คลัง”ชี้แจงรายละเอียด ส่วน“ธนกร”ขอคลัง-รัฐบาลศึกษาปรับโครงสร้างภาษีรอบคอบ ชี้VAT15%สูงไปไม่สอดคล้องสภาวะเศรษฐกิจ คาด กระเทือนคนรายได้น้อย-ปานกลางแน่ หวั่นปชช.ไม่กล้าใช้จ่าย ส่อกระทบ ศก.ชะงักได้ แนะ ดูเวลาที่เหมาะสม-รับฟังทุกด้านให้ดี
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี พรรคประชาชน (ปชน.) เตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลสมัยประชุมที่จะถึงนี้ ว่า รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย พร้อมรับการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลจากทุกฝ่าย การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้านเป็นกระบวนการตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาลวิธีหนึ่ง ไม่มีอะไรที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยต้องหนักใจ หรือต้องเตรียมการรับมืออะไรเป็นพิเศษ ถือเป็นการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายที่ควรให้ความเคารพ การถูกยื่นอภิปรายไม่วางใจไม่ใช่วิกฤตของรัฐบาล แต่ถือเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลจะได้ใช้โอกาสนี้เป็นเวทีในการแถลงผลงานของรัฐบาล ที่หลายเรื่องสะท้อนผ่านโพลหลายสำนักว่าประชาชนพึงพอใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเรือธงเงิน 10,000 ฟื้นเศรษฐกิจ การจ่ายเงินฟื้นฟูเยียวยาพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วมาก
“งานยากของศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลรอบนี้ จึงไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล แต่อยู่ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านว่าจะหาข้อมูลใดมาอภิปรายรัฐบาลแล้วประชาชนได้ประโยชน์ และไม่ถูกมองว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเพียงพิธีกรรม หรืออภิปรายตามฤดูกาล” นายอนุสรณ์ กล่าว
สส.พท.ชี้‘รบ.อิ๊งค์’ทำงานได้แค่3เดือน
ขณะที่ นายพัฒนา สัพโส สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลทำงานมาได้แค่ประมาณ 3 เดือน จึงมองว่า เร็วไปสำหรับการทำภารกิจระดับชาติ ทำให้สันนิษฐานว่า หากมีการยื่นอภิปรายในระยะเวลาอันใกล้นี้คงมีแต่เรื่องเก่าๆ จึงอยากให้ติดตามการทำงานของรัฐบาลก่อน ถ้ามีประเด็นอะไรส่อทุจริต เราก็ยินดีให้ตรวจสอบ แต่ไม่อยากให้เอาเวลาสภามาเล่นเกมการเมือง และเท่าที่เห็นตนว่า รัฐบาลชุดนี้ทำงานโปร่งใส รวมถึงตนเคยเป็นคณะกรรมาธิการงบประมาณฯ ยิ่งเห็นความชัดเจนถึงความตรงไปตรงมาในการพิจารณางบประมาณ ไม่มีสิ่งไหนที่ส่อทำให้คิดได้ว่าจะมีการทุจริต
ขออย่าใช้อคติส่วนตัวมาอภิปราย
“ในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ขออย่าใช้อคติส่วนตัวมาประกอบการอภิปราย เพราะเท่าที่ผมสังเกตในการหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.ที่ผ่านมามีการนำเรื่องส่วนตัวมาโจมตีและนำข้อมูลที่ไม่จริงมาพูด เช่น การทำน้ำประปาดื่มได้ด้วยงบประมาณไม่มากที่ จ.ร้อยเอ็ด ผมมองว่า ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองรุ่นใหม่ หากอยากทำให้เป็นเหมือนที่โฆษณาไว้ ก็ควรนำแต่ข้อเท็จจริง สาระที่เป็นประโยชนต่อบ้านเมืองมาพูด จริงอยู่ในการทำหน้าที่ในระบบรัฐสภา สมาชิกทุกท่านมีสิทธิ แต่การใช้สิทธิขอให้ยึดข้อเท็จจริงในการอภิปราย” นายพัฒนา กล่าว
นายกฯ โยน รมว.คลังแจงขึ้นแวต15%
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ระบุมีแนวทางในการปรับปรุงมูลค่าเพิ่ม (แวต) 15%และปรับภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ว่า เดี๋ยวนายพิชัยจะให้สัมภาษณ์ในรายละเอียด เมื่อถามว่าแต่ประชาชนส่วนใหญ่คิดว่าถ้ามีการขึ้นภาษีดังกล่าวจะเดือดร้อน นายกฯ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “เข้าใจ”
“ธนกร”ขอปรับโครงสร้างภาษีรอบคอบ
นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รองหัวหน้าพรรคและ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง เปิดเผยว่าอยู่ระหว่างการศึกษาการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลโดยใช้สูตร 15:15:15 เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล-บุคคลธรรมดา รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ให้อยู่ที่ 15% ว่า ตนเข้าใจว่ารัฐบาลต้องการที่จะหารายได้ภาษีให้เพิ่มขึ้นโดยการขึ้น VAT ส่วนหนึ่งเพื่อเอาไปชดเชยรายได้ภาษีที่ลดลงจากการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงต้องการหารายได้เพิ่มขึ้นเพื่อนำไปพัฒนาประเทศผ่านโครงการลงทุนภาครัฐที่สำคัญต่างๆ รวมทั้งจัดสวัสดิการให้ประชาชนกลุ่มรายได้น้อยหรือเปราะบาง
นายธนกร กล่าวต่อว่า การมีรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นเพียงพอก็จะช่วยลดการกู้ ลดภาระหนี้สาธารณะ ซึ่งปีนี้คาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงถึง 65.74% ใกล้เพดาน 70% เข้าไปทุกที การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาของรัฐบาล แม้จะมีเป้าหมายที่ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่จำเป็นต้องมีแผนปฏิรูปภาษีที่รอบคอบและสมดุล เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความยั่งยืนทางการคลัง และการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจะช่วยกระตุ้นการลงทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจ้างงานและการเพิ่มรายได้ของประชาชน
ชี้ลดภาษีอาจทำให้ขาดดุลงบสูง
ในขณะที่การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะช่วยเพิ่มรายได้ที่สามารถใช้จ่ายได้จริง กระตุ้นการบริโภคและการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม การลดอัตราภาษีทั้งสองประเภทจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้จำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศมีภาระหนี้สาธารณะสูง ดังนั้น รัฐบาลจึงควรพิจารณาผลกระทบต่อรายได้ภาครัฐและเสถียรภาพทางการคลังอย่างรอบคอบ ตนมองว่า การลดภาษีดังกล่าว ควรทำควบคู่กับการขยายฐานภาษี เช่น การจัดเก็บภาษีจากเศรษฐกิจดิจิทัล หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐและรักษาความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว
ชี้ Flat Rate ควรมีมาตรการเสริม
นอกจากนี้ การลดอัตราภาษีแบบ Flat Rate เหลือ 15% สำหรับทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เป็นนโยบายที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ Flat Rate อาจส่งผลให้ประชาชนกลุ่มรายได้ต่ำต้องรับภาระภาษีในสัดส่วนที่มากกว่าเมื่อเทียบกับรายได้ ในขณะที่กลุ่มรายได้สูงได้รับประโยชน์มากกว่า และที่สำคัญไม่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย เนื่องจากรายได้ประชากรไทยมีความหลากหลายและไม่สม่ำเสมอ ระบบ Flat Rate อาจไม่ตอบโจทย์ในแง่ความเป็นธรรมทางภาษี ซึ่งตนขอเสนอว่าหากพิจารณานโยบาย Flat Rate ควรมีมาตรการเสริม เช่น การเพิ่มการลดหย่อนภาษีสำหรับกลุ่มรายได้ต่ำ และให้มีการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำ โดยพิจารณาการจัดเก็บภาษีมรดกและภาษีความมั่งคั่ง (wealth tax) เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมและลดช่องว่างระหว่างกลุ่มประชากร และควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่านโยบายนี้จะไม่กระทบความยั่งยืนทางการคลังและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งระบบ Flat Rate เหมาะกับประเทศที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจมั่นคงและรายได้ประชากรสูงเท่ากันในระดับหนึ่ง หากนำมาใช้ในไทยซึ่งประชากรมีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูง จึงต้องมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของประเทศด้วย
ไม่ควรเพิ่มภาระให้ประชาชน
สำหรับการเพิ่มอัตราภาษี VAT แม้ว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ของรัฐอย่างมาก แต่จะกระทบต่อค่าครองชีพ การเพิ่ม VAT จะส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าและบริการที่จำเป็น เช่น อาหารและพลังงาน ทำให้ภาระค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ต้องใช้รายได้ส่วนใหญ่ในการบริโภค การเพิ่ม VAT ลดกำลังซื้อของประชาชน ส่งผลให้การบริโภคในประเทศชะลอตัวและกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตนมองว่า ในสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนี้ อยู่ระหว่างการฟื้นตัวยังเติบโตไม่เต็มที่ ประชาชนมีรายได้ต่ำ มีหนี้ครัวเรือนสูง ไม่ควรไปเพิ่มภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน
ดังนั้น ควรมีมาตรการเสริม เช่น การยกเว้น VAT สำหรับสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ หรือการให้เงินช่วยเหลือแก่กลุ่มเปราะบาง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ใช้รายได้จากการเพิ่ม VAT เพื่อสนับสนุนโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือสวัสดิการสังคม และให้พิจารณาการปรับ VAT อย่างค่อยเป็นค่อยไป การปรับเพิ่มอัตราควรทำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนในภาพรวม
แนะรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วน
นายธนกรกล่าวอีกว่า รัฐบาลจำเป็นต้องศึกษาข้อดีข้อเสียให้ตกผลึกก่อนตัดสินใจปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบหรืออาจจะทำทีละขั้นตอน โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ในอนาคตยอมรับว่าจะต้องมีการปรับขึ้นแน่นอน แต่ควรดูเวลาที่เหมาะสม หากปรับขึ้นทันที จะส่งผลกระทบหนักแน่นอน เพราะจัดเก็บในอัตราที่สูงมากกว่าหนึ่งเท่าตัว จาก 7% กระโดดขึ้นไปถึง 15% ในเรื่องนี้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมีความกังวลเกรงว่าจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยชะงักได้ หากจะปรับโครงสร้างภาษี VAT ควรจะทำควบคู่กับการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ปรับโครงสร้างพลังงานน้ำมัน ไฟฟ้า ค่าโดยสารรถประจำทางสาธารณะ ให้พร้อมก่อนที่จะปรับขึ้นภาษีในภายหลังจะดีกว่า
“การปรับโครงสร้างภาษีโดยเฉพาะ VAT นั้น ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อคนทั้งประเทศ จำเป็นจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ รอบด้าน ถึงผลดีผลเสียที่จะได้ เนื่องจากรายได้ของพี่น้องประชาชนยังเท่าเดิม แต่ภาระค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเท่าตัว จะยิ่งทำให้กำลังซื้อและการตัดสินใจใช้จ่ายเงินของประชาชนจะยิ่งลดลงด้วย ส่งผลต่อเงินหมุนเวียนในประเทศโดยตรง จึงขอให้รัฐบาล กระทรวงการคลังพิจารณาปรับขึ้น VAT ในเวลาที่เหมาะสมเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะตามมา ทั้งนี้ ควรจะเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนในทุกภาคส่วน อาจใช้เวทีสภาหารือเรื่องนี้ก็สามารถทำได้เพื่อให้เกิดความรอบคอบมากที่สุด” นายธนกรระบุ
รมว.ตปท.ระบุ ไม่รู้เรื่องตั้ง กก.JTC
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิคหรือ JTC เพื่อเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เมื่อถามว่า ประธานคณะกรรมการฯ จะเป็นนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า “ไม่ทราบเลย เพราะกำลังรับฟังข้อมูลและพิจารณากันอยู่ และจะว่ากันอีกครั้ง”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี