ในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ หนึ่งในเรื่องราวที่คนทั่วโลกน่าจะให้ความสนใจมากที่สุดคือ การกลับมาเป็นผู้นำ สหรัฐอเมริกา อีกครั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ ภายหลังจากชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2567 ก็ได้ประกาศว่าจะทำอะไรหลายๆ อย่างที่เรียกเสียง “ฮือฮา” ทั้งในสังคมอเมริกันและสังคมโลก และเมื่อเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2568 ทรัมป์ก็ได้ทำหลายอย่างตามที่ลั่นวาจาไว้จริงๆ
อาทิ การกวาดล้างผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายการยกเลิกสนับสนุนแนวคิดด้านความหลากหลายความเท่าเทียม และความครอบคลุม (DEI) การระงับความช่วยเหลือที่สหรัฐฯ มีต่อนานาชาติ และที่ต้องจับตาที่สุดคือ “มาตรการกำแพงภาษี” ที่ขู่จะเก็บภาษีประเทศต่างๆ ที่ทำการค้าได้ดุลสหรัฐฯ ไล่ตั้งแต่ “แคนาดา-เม็กซิโก” ก่อนจะระงับไว้เป็นเวลา 30 วัน แต่กับคู่แข่งสำคัญอย่าง “จีน” นั้นเริ่มไปแล้วเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2568 และที่ “หนาวๆ ร้อนๆ” กันก็คือ “ไทย” อาจเป็นรายต่อไป เพราะอยู่ในอันดับ 10 ของชาติที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ
ช่วงบ่ายของวันที่ 12 พ.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้พบกับ ประมุข เจิดพงศาธร ประธานบริษัท PJUS GROUP, USA นักธุรกิจชาวไทยผู้จัดหาสินค้าไทยส่งให้กับห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ ข้าวหอมมะลิ และยังเป็น ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการค้าในกระทรวงพาณิชย์ของไทย ซึ่งท่านเดินทางจากสหรัฐฯ กลับมาเยือนประเทศไทย และได้รับฟังมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเป็นไปของสหรัฐฯ ในเวลานี้
- สถานการณ์ในสหรัฐฯ ขณะนี้ ในยุคทรัมป์สมัย 2เป็นอย่างไรบ้าง? : สมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ครั้งที่ 1 (ปี 2560-2564) นั่นคือท่านเป็นพ่อค้าที่เข้ามาเป็นประธานาธิบดี แต่ทรัมป์ ครั้งที่ 2 นี้ ท่านเป็นพ่อค้าที่มีประสบการณ์ทางด้านการเมืองถึง 4 ปีเต็มๆ แล้วการเข้ามาครั้งนี้มีความรู้มากมาย แล้วก็มีมือช่วยที่มีความสามารถ อย่างเช่น อีลอน มัสก์ และอีกหลายๆ คน
“ผมอยากจะเรียนว่าในความเห็นของผม เขา (ทรัมป์) เข้ามา ประกาศชัดเจนว่าจะพยายามลดค่าใช้จ่าย แล้วก็ปิดหน่วยงานที่เกินความจำเป็น และนโยบายอันแรกสุดก็คือต้องการที่จะเนรเทศผู้ที่อยู่โดยผิดกฎหมายออกนอกประเทศ แล้วมีการประกาศทันทีโดยใช้กำแพงภาษี ซึ่งก่อนเข้ารับตำแหน่งก็ประกาศเลย ใน 24 ชั่วโมงจะขึ้นภาษี 25% กับเม็กซิโก กับแคนาดา เกิดแรงกระเพื่อม แรงต่อต้านทั้งประธานาธิบดีของเม็กซิโกและนายกรัฐมนตรีของแคนาดาก็ออกมา แต่ท้ายที่สุดนี่ก็เป็นวิธีการที่ใช้อำนาจในการต่อรอง”
ก็กลายเป็นว่าไปคุยกันเสร็จ ทางเม็กซิโกก็ยอมส่งทหาร 1 หมื่นนายมาคอยคุมความเรียบร้อยที่จะย้ายพวกที่อยู่อย่างผิดกฎหมาย ทางแคนาดาก็เช่นเดียวกัน ในส่วนนี้จะมองเห็นว่าการใช้ยุทธวิธีอย่างนี้มันได้ผลทันที แต่มันก็มีผลทางอ้อมเกิดขึ้นทันทีเช่นเดียวกัน ในประเทศไทยก็มีข้อมูลอยู่พอสมควร เนื่องจากเราอยู่ในสถานภาพที่ได้ดุลการค้า คือส่งออกให้สหรัฐฯ มากกว่าสหรัฐฯ ส่งออกให้เรา
- นโยบายของทรัมป์ส่งผลกระทบกับท่านมาก- น้อยเพียงใด? : ในส่วนที่เกิดแรงกระเพื่อมอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาด “กลุ่มฮิสแปนิก” (Hispanic - กลุ่มชนในทวีปอเมริกาที่ใช้ภาษาสเปนและมีวัฒนธรรมแบบลาตินนับตั้งแต่เม็กซิโกลงไปถึงอาร์เจนตินา) ซบเซาไป 1 เดือนเต็มๆสาเหตุที่ซบเซาก็เพราะว่าประชาชนที่อยู่อย่างผิดกฎหมาย บางคนอยู่ตั้งเกือบ 30 ปีแล้วจนมีลูกมีหลานแต่ตัวเองก็ยังอยู่อย่างผิดกฎหมาย แล้วก็เดินเข้า - ออก อเมริกา -เม็กซิโก แบบง่ายๆ โดนเนรเทศไปแล้วก็กลับเข้ามาใหม่
“แต่พอเจอความจริงจังเที่ยวนี้ กลัวก็อยู่แต่ในบ้านหรือไปหลบที่ไหนไม่ทราบ ปกติเนื่องจากอยู่ 30 ปี ก็มีลูกมีหลาน ตัวเองก็คอยไปรับหลานที่โรงเรียน อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่กล้าไป ทั้งกลุ่มก็เกิดกลัวไปหมด ปกติจะออกไปจับจ่ายใช้สอยที่ห้างซูเปอร์มาร์เก็ต ก็ไม่กล้าออกไปเพราะว่าถ้าออกไปแล้วกลัวว่าจะถูกจับ”
จากการประกาศครั้งนี้อะไรเกิดขึ้นบ้าง? เราจะเห็นแรงกระเพื่อม หุ้นทั่วโลกปั่นป่วนระเนระนาดหมด อัตราแลกเปลี่ยน ทอง หุ้น วุ่นวายไปหมดเลย อันนี้แสดงถึงความแข็งแกร่งของเขานะว่ามีความแข็งแกร่งขนาดไหน ผมอยากเรียนอย่างนี้ “อเมริกาเป็นประเทศที่บางคนมองจากภาพภายนอก เข้าใจผิดๆ ว่าอเมริกาเศรษฐกิจไม่ดีเพราะไปอ่านข่าวจากโซเชียล (Social Media - สื่อสังคมออนไลน์)”
คนที่อ่านข่าวในโซเชียล ถ้าหากไม่กรองหรือไม่ทราบข้อมูลจริงๆ แล้ว เอาเรื่องนี้เป็นต้น ผมเห็นในคลิป บอกในร้านอาหารไทยไข่ราคาแพงมากทั่วประเทศ ไข่เองนี่ก็ต้องเอาไปทำอะไรหลายๆ อย่าง แต่เขาหารู้ไม่ว่าไข่ในอเมริกามันขาดตลาดเพราะไข้หวัดนก แล้วใน 3 เดือนที่ผ่านมาเขาฆ่าไก่ไปหลายร้อยล้านตัว ในการที่จะมีไข่ใหม่มันจะต้องเลี้ยงไก่ ใช้เวลา 6 เดือน ไปมองว่าข้าวยากหมากแพงในอเมริกา จริงๆ แล้วมันต้องมีต้นตอที่อยู่ในประเด็น
อีกอย่าง “ประชาชนชาวอเมริกันเอง เขาจะมีวินัย เพราะหากเขาใช้เงินอย่างไม่มีวินัย เขาก็ต้องกลายไปเป็น Homeless (คนไร้บ้าน)” เขาจะต้องมีค่าใช้จ่ายต่อเดือน มีงบประมาณต่อเดือนเท่าไรเขาก็จะต้องจัด เพราะฉะนั้นในส่วนนี้ผมมองว่า “ช่วงแรกๆ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์บอกว่าชาวอเมริกันอาจจะรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่หลังจากช่วงนี้ไปจะดี สาเหตุที่ดีคือทุกคนไม่ต้องมาคอยระแวงว่ามิจฉาชีพจะทำร้าย ถูกปล้นจี้หรืออะไรก็แล้วแต่” เหมือนกับก่อนหน้านั้นที่ออกมาสร้างความวุ่นวาย ไปห้างไปขโมยของ ถ้ามูลค่าไม่ถึง 1,000 เหรียญ ก็ปล่อยหมด ฉะนั้นในภาพระยะยาว กฎหมายและข้อบังคับกฎหมาย ทุกคนก็ต้องอยู่ในวินัยหมด
- แบบนี้ที่มีการพูดกันว่า ค่านิยม “ความฝันแบบอเมริกัน (American Dream)” จะกลับมาอีกครั้งในยุคทรัมป์ ก็อาจเป็นไปได้? : ในส่วนของทรัมป์ เวลานี้ผมว่าเป็นอะไรที่พยายาม โดยมี อีลอน มัสก์ จะมาตัดหน่วยงานที่เกินความจำเป็น มันอยู่ในแนวของเศรษฐกิจจริงๆ อยู่ด้วย แล้วเขาเด็ดขาด ซึ่งความเด็ดขาดตรงนี้ผมรู้สึกว่าจะฟื้นตัวเร็วมาก แต่เด็ดขาดในแง่ประชาธิปไตย ไม่ใช่เด็ดขาดแบบสังคมนิยม ซึ่งมันต่างกัน
“มันทำให้คนที่โน่น (สหรัฐฯ) มีความรู้สึกว่าถ้าพยายาม ถ้ามุ่งมั่นก็จะได้ดี ไม่ใช่พอขึ้นมา เหมือนแจ็ค หม่า (มหาเศรษฐีชาวจีน ผู้ก่อตั้งบริษัทอาลีบาบา) โดนแล้ว! มันต่างกันตรงนี้ แล้วแรงบันดาลใจนี้มันจะต่างกันอีกเยอะเลย อันนี้คือจุดดีของประชาธิปไตย คืออเมริกาเขาดึงการแข่งขัน ใหญ่ - เล็กแข่งกันได้ ไม่ดีจริงล้มไป หรือไม่ดีจริงก็ไปควบกิจการเพื่อที่จะให้มันอยู่ได้ แต่ถ้าคนดีจริงๆ มันก็จะขึ้นมา”
อีลอน มัสก์ ตั้งแต่เด็กจนโต อายุเดียวเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก เป็นคนที่ทรงพลังที่สุด อันนี้เราเห็นชัดเจนแล้วก็มีหลายคนที่ตั้งธุรกิจอยู่ในอเมริกา ที่มาตั้งแต่เดิม ผมมีลูกค้าหลายราย เขาบอกว่า อเมริกาก็เพราะมีคนอย่างพวกฉันนี่แหละที่ทำให้เจริญ เพราะพวกเขาก็ทำกันมาแบบมุ่งมั่นมาก อันนี้คือสิ่งที่ผมเห็น ในขณะเดียวกัน ถ้าประเทศไทยทุกคนมีสำนึกอย่างนี้ มันดีในเรื่องความพยายามดิ้นรน แต่ไม่ใช่เงินได้มาง่ายๆ คำว่าลาภลอยมันลอยอย่างไร? มันลอยมาอย่างถูกต้อง - ถูกวิธีหรือเปล่า?
- ท่านมองนโยบายต่างประเทศของทรัมป์อย่างไร? : ในความเป็นพ่อค้าของทรัมป์ ผมยกตัวอย่างรัสเซียบุกยูเครน บอกว่าจะเอาเมืองนี้เพราะเมืองนี้บอกอยากจะขึ้นกับเขา จะมายึดดินแดน แล้วก็ยังขู่กันอยู่ตลอดเวลา ถ้าอเมริกาส่งอาวุธที่ทันสมัยไปก็ถือว่ามาต่อสู้กับเขาโดยตรง แต่ทรัมป์ใช้วิธีซึ่งเขาบอกจะไม่ช่วยยูเครน และยูเครนสมควรยุติได้แล้ว แต่ในความเป็นพ่อค้าและพลิ้ว เอาให้เห็นชัดๆ เลย บอกยูเครนจะขายแร่เพื่อแลกเปลี่ยนกับอาวุธ อันนี้ไม่ผิดนะ เพราะมันมีการซื้อขาย ผมว่าทางรัสเซียก็งงเหมือนกัน
อันนี้เป็นรูปแบบขึ้นมาในการใช้ในความพลิ้วของเขาหรือใช้อำนาจให้เกิดประโยชน์สูงสุด หรืออยู่ๆ ก็ประกาศเชิญผู้นำของประเทศทางตะวันออกกลาง เข้ามาบอกว่าพวกฮามาสหรือพวกที่อยู่ในฉนวนกาซา ถ้าเขาอพยพไปพวกคุณจะต้องรับไว้นะ อียิปต์กับจอร์แดน แล้วในขณะเดียวกัน ที่ตรงนี้เป็นของฉัน ก็เขาประกาศไปก่อน สิ่งเหล่านี้มันสร้างความปั่นป่วนให้กับโลกนี้พอสมควร
“เราต้องอย่าลืมว่าเวลานี้ใครคือมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุด? แล้วเขาเองก็พยายามที่จะตอบโต้ของเขา เพราะเขาถือว่าเงินดอลลาร์ใช้กันอยู่ทั้งโลก แต่อยู่ๆ ก็มีคนมาบอกว่าจะล้มสกุลดอลลาร์ ก็พยายามจะตั้ง BRICS (กลุ่มประเทศอันประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีนและแอฟริกาใต้) ขึ้นมา ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ต้องใช้วิธีไปตั้ง BRICS เขาก็จะตั้งกำแพงภาษี มันก็จะมีที่มาที่ไป”
การต่อสู้กันในรูปแบบนี้ เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความทรงพลังของเขามันกระเพื่อมขนาดไหน แล้วผมกลับมองว่า เป็นผลดีนะ เพราะรัสเซียรบมา 3 ปี ถ้าไปคิดเป็นเงินหรือเป็นผู้คนที่ล้มตายไปนี่มหาศาล อาวุธเก่าๆ ก็ใช้ไปจะหมดแล้ว ผมมองว่าดีไม่ดีสงครามอาจจะเลิกในพริบตาเดียววันไหนก็ได้ แล้วก็คงไม่มีใครบ้าเอานิวเคลียร์ออกมายิงกัน เพราะคุณเข้าใจดีว่าอาวุธนิวเคลียร์สมัยนี้พลังมันมากกว่าสมัยที่ถล่มญี่ปุ่น ฮิโรชิมา - นางาซากิ เดี๋ยวนี้มีพลังมากกว่าเป็นพันเท่า อันนี้มันกลายเป็นสงครามล้างโลกเลย
- ทราบมาว่าสถานการณ์ต่างๆ ในโลก ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งทางเรือแพงขึ้นด้วยหรือไม่? : อันนี้ความคิดผมนะ ถ้าเรือยังโก่ง ทรัมป์อาจจะให้บริษัทเรือไม่เข้าประเทศเขาก็ได้ ฉะนั้นค่าเรือมันเริ่มลงมาอยู่ในภาวะปกติ แล้วทำไมช่วงหนึ่งเรือฉวยโอกาส ก็เพราะสงครามที่กลุ่มฮูติยิงที่ทะเลแดง เรือก็ฉวยโอกาสขึ้นไปทันที ทุกอย่างแพงหมด จะประกันก็แพง อะไรก็แพง แต่ตอนนี้พอมาเจอคนนี้เข้า ผมมองดู คุณมาทำให้ต้นทุนค่าครองชีพในอเมริกาสูงโดยที่ไม่ถูกต้อง บริษัทเรืออาจจะโดนขึ้นบัญชีดำก็ได้
ค่าเรือตอนนี้มันเริ่มนิ่งมาอยู่ในภาวะปกติแล้ว จะลงไปเรื่อยๆ จนอยู่ในภาวะปกติ เราก็รู้อยู่ว่าต้นทุนเรือมันอยู่ที่ตรงไหน แล้วก็ราคาน้ำมันโลกมันก็เริ่มลงมา แต่นัยหนึ่งมันเหมือนไฟสงครามมันปะทุอยู่ แต่ลึกๆ มันเหมือนจะนิ่งลง ค่าเรือหนักสุดคือขึ้นไป 2 หมื่นเหรียญ แต่ปกติอยู่ที่ 1,200-1,500 เหรียญ คือ การฉวยโอกาส
- มาที่ประเทศไทย จะได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่จากสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์? : ในส่วนของประเทศไทย อยู่ที่ลำดับ 10-11 อะไรประมาณนี้ เท่าที่ผมได้รับทราบ ซึ่งผมทำการโปรโมทสินค้าข้าวหอมมะลิที่มีชื่อเสียงจากประเทศไทย ทางแถบทุ่งกุลาร้องไห้ มาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ปีนี้เป็นปีที่ 3 เราทราบดีว่าตัวเลขเราส่งออกมากกว่าของเขา ทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ท่านพิชัย (พิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) ก็ไปเจรจา เรายังอยู่อันดับหลังๆ
“ส่วนกระแสข่าวที่จะออกจากอะไรก็แล้วแต่ มันก็คล้ายๆ กัน คือเสร็จแล้วก็ไปนั่งเจรจา ก็ทราบว่าคณะของท่านรัฐมนตรีก็ไปเชิญนักลงทุนจากอเมริกามาลงทุนในประเทศไทย สิ่งเหล่านี้ผมมองว่าอย่าเพิ่งตื่นตระหนก ตราบเท่าที่ประเทศไทยรัฐบาลพยายามทำงานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมก็เห็นทางคณะรัฐบาลมาตั้งแต่สมัยท่านภูมิธรรม (ภูมิธรรม เวชยชัย อดีต รมว.พาณิชย์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม) เริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่ประชุมเอเปก ตัวผมซึ่งได้รับเกียรติไปติดต่อบริษัทยักษ์ใหญ่อเมริกา มาเซ็น MOU ที่แอลเอ ก็ต่อเนื่องมาจนถึงเดี๋ยวนี้”
ทางรัฐบาลทำงานไม่หยุด ผมเชื่อเหลือเกินว่าการทำงานแบบต่อเนื่องอย่างนี้ ประเทศไทยก็จะต้องดีขึ้น คือในอดีตผมมองอยู่เรื่องเดียว คือทำแล้วมันไม่ต่อเนื่อง ทำแล้วเดี๋ยวก็เปลี่ยน แต่การทำอย่างต่อเนื่องและทำทุกอย่าง ผมมั่นใจนะว่ามันจะดีขึ้น คือนโยบายนี้นับมาชัดเจน ไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล
- ขอย้ายไปมองจีนบ้าง ท่านมีมุมมองกับสถานการณ์ของจีนเวลานี้อย่างไร? : ตอนนี้จีนโดนแล้ว 10% (มาตรการขึ้นภาษีโดยสหรัฐฯ) จีนเองกำลังผลิตเขามหาศาล พอถูกทางโน้นบล็อกมันก็ไหลเข้าเมืองไทย อันนี้มันชัดเจนอยู่แล้ว และอเมริกาเองเขาก็เหมือนตาสับปะรด เอาละ! คุณก็หาวิธี ในเมื่อออกจากจีนก็ไปตั้งอยู่ข้างๆ แล้วก็ค่อยส่งเข้ามา เขาก็รู้ไม่ใช่ไม่รู้ บางทีเขาก็หลับตาข้างหนึ่ง
- ท่านหมายถึงเวียดนาม? : ตรงนี้ผมขอเรียนเลย เวียดนามมาแรงมาก “เวียดนามได้เปรียบในแง่ของการค้า เวียดนามไปอเมริกากับไทยไปอเมริกา ในความเห็นของผมเวียดนามได้เปรียบมาก แล้วเขาพัฒนาเร็วมาก” ผมอยู่ที่อเมริกา ผมรู้สึกว่าคู่แข่งที่น่ากลัวคือจากเวียดนาม ผมในฐานะที่อยู่ประเทศไทย เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และเป็นนักลงทุนที่ไปลงทุนที่อเมริกามาถึง 29 ปีแล้ว ก็ต้องพยายามทำทุกอย่างที่นำจากประเทศไทย ในจุดที่ได้เปรียบของผมเวลานี้ก็คือทางห้างเขาโยนมา อันโน้นอันนี้ทำได้ไหม? หลายเรื่องทีเดียว อันไหนทำได้เราก็ทำ
- สำหรับผู้ประกอบการไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ในยุคของทรัมป์แบบนี้จะยังมีโอกาสไหม? : มีแน่นอน ตอนนี้ธุรกิจมันดีเป็นพวกๆ ดีเป็นจุดๆ ดีสำหรับพวกที่มีความรู้ มีประสบการณ์ แล้วดีสำหรับพวกที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว พวกนี้จะได้เปรียบเพราะความเชื่อมั่นส่วนพวกที่ไม่มีความรู้แต่ยังมีความตั้งใจจริง พวกนี้อาจช้าหน่อย ยกตัวอย่างผมเป็นต้น เวลาสถานการณ์ลำบากและเวลาสถานการณ์ปกติ กว่าที่จะไปสร้างความเชื่อมั่นให้กับเขา สร้างแบรนด์สินค้าขึ้นมา มันไม่ได้ใช้เวลาแค่ 1-2 เดือน แต่เป็นสิบๆ ปี
พอมาถึงตรงนี้ ห้างเขาลงทุนมาเป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านเขาจะให้ใครทำ เขาก็ต้องเชื่อคนที่ทำให้เขามาตลอดเวลาแล้วก็ไม่มีอะไรผิดพลาด เขาก็โยนมา แต่ผมเองก็ไม่โลภ เราก็ต้องรู้ว่าประสบการณ์ของเรา ถ้าหากสิ่งที่เราทำแล้วมันจะมีปัญหา เพราะเรารู้แล้วว่ามันจะเกิดปัญหาอย่างนี้ เราก็ไม่โลภที่จะทำ แล้วก็อธิบายให้เขาฟัง อันนี้ทำไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าเราโลภแล้วไปทำผิดพลาด สิ่งที่เราสร้างชื่อเสียงไว้นานนับสิบปีมันเสียหาย ซึ่งมันไม่คุ้ม
- คำถามสุดท้าย อยากให้ท่านให้คำแนะนำอะไรกับคนไทยสักเล็กน้อย : ผมคิดว่าในภาวะเศรษฐกิจที่ลำบากทุกคนก็ต้องประหยัด คนที่หาได้น้อยก็ต้องใช้น้อย แล้วก็อยู่ด้วยความอดทน เมืองไทยนี่ผมเชื่อเหลือเกิน ถ้าหากเรามีจุดยืนตรงนี้อย่างไรก็ไปรอดแน่นอน แต่หมายถึงทุกคนต้องทำให้สอดคล้องกัน อย่างเป็นที่น่าเศร้าว่าคนต้องเสียเงินแบบง่ายๆ แบบคอลเซ็นเตอร์
ซึ่งในมุมมองของผม ประชาชนถ้ามีความรู้ความเข้าใจว่ามันคืออะไร การเสียหายจะน้อยลง เพราะการจะปกป้องดีที่สุดคือบุคคลนั้นๆ เป็นคนปกป้องตัวเอง ไม่ไปหลงกล แต่ไม่ใช่มาทำด้วยความกลัวหลังจากที่มันเสียหายแล้ว ผมมองสิ่งที่รัฐบาลทำ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง อาจจะมีเศรษฐกิจที่เกี่ยวพันกับอะไรอย่างนี้อยู่ แต่ก็ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ท้ายที่สุดถ้าทุกอย่างปลอดภัยมั่นคง ชาวโลกก็จะแห่เข้ามา แน่นอนนักท่องเที่ยวที่ดีๆ ความเชื่อมั่นสูงขึ้น คนก็จะมา แต่มันต้องใช้เวลา
“อดทน ขยัน พยายามศึกษาให้เข้าใจให้ละเอียด เพราะอดทนและขยันแบบมั่วๆ มันก็หมดนะ” คุณประมุข ฝากทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี