"สนธิญา"บุก"ป.ป.ช." ยื่นหลักฐานเพิ่ม"พีระพันธุ์"ถือหุ้น 4 บริษัท เรียกร้อง"แพทองธาร"ตรวจสอบ หวั่นซํ้ารอย"อดีตนายกฯเศรษฐา"
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายสนธิญา สวัสดี นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เดินทางมายื่นหลักฐานเพิ่มเติม หลังจากที่เคยยื่นให้มีการตรวจสอบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เนื่องจากเป็นกรรมการบริษัทและถือหุ้น บจ.รพีโสภาค และถือหุ้นในบริษัทอื่นรวม 4 บริษัท อันเป็นการกระทำ ที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ประกอบ พ.ร.บ.หุ้นส่วน และหุ้นของคณะรัฐมนตรี และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561
โดยพบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในงบการเงิน รอบบัญชีวันที่ 1 มิถุนายน 2566 - 31 ธันวาคม 2567 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า นางโสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค มารดาเสียชีวิต ในส่วนของหุ้นเป็นมรดกไม่จัดการปันทรัพย์มรดก แต่เจตนายึดถือไว้เป็นประโยชน์ส่วนตน เกินระยะเวลา 5 ปี เป็นการครอบครองปรปักษ์ เพราะหุ้นเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดหนึ่ง ตรวจสอบทรัพย์สินเพิ่ม 21 ล้านเศษ ทั้งกู้ยืมเพื่อลงทุน 14 ล้าน ในขณะเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี และคงสถานะกรรมการ แล้วไปลาออกในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เฉพาะบางบริษัท ถือเป็นการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 167 และเป็นการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จหรือไม่ หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์สาธารณะ ข้อที่ 7 ข้อที่ 8 ข้อที่ 11 ข้อที่ 17 ข้อที่ 22 ข้อกำหนดจริยธรรมฯ 2561 เป็นจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ โดนส่งเอกสารเพิ่มเติมให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามหนังสือที่เคยยื่นไปแล้ว
นายสนธิญา กล่าวภายหลังเข้ายื่นหลักฐานกับ ป.ป.ช.ว่า การยื่นครั้งนี้ตนมีความไม่สบายใจ เพราะไปยื่นบุคคลที่ตนรักและเคารพ และขอเรียนว่า ตนเคยเป็นสมาชิกของพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ได้ลาออกไปในช่วงลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ลูกสาวของตนก็ยังคงเป็นสมาชิกพรรค
นายสนธิญา กล่าวว่า หากดูใบบริคณห์สนธิ จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ทั้ง 4 บริษัท ยังมีชื่อบุคคลที่ตนร้อง ดังนั้น ตนขอให้นายพีระพันธุ์ออกมาชี้แจงกับสังคมให้ชัดเจน ว่าทําไมในเอกสารที่ตนได้รับมา จึงมีชื่อท่านเป็นหุ้นส่วน และไม่มีชื่อเป็นกรรมการผู้จัดการ เพราะเอกสารที่ตนมี มาเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ที่พึ่งผ่านมาไม่กี่วัน
นายสนธิญา กล่าวว่า ตนขอเรียนไปถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าขอให้มีการตรวจสอบ คัดรายชื่อบริษัทที่เป็นข่าว ว่านายพีระพันธุ์มีรายชื่อเป็นกรรมการบริหารกับมีหุ้นส่วนหรือไม่ เพื่อให้เรื่องกระจ่าง และให้ท่านตัดสินใจว่าเรื่องนี้ผิดหรือถูก เพราะหากทั้ง 4 บริษัทนี้ยังมีชื่อนายนายพีระพันธุ์ เป็นกรรมการบริหารหรือผู้ถือหุ้น ก็จะเกี่ยวพันไปถึงตัวนายกรัฐมนตรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายสนธิญา กล่าวต่อว่า การที่ตนไปยื่นให้ไต่สวน ไม่ว่าจะเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน และ ป.ป.ช.แล้วนั้น ในสัปดาห์หน้าตนก็จะไปยื่น กกต.เพื่อพิจารณาวินิจฉัยและตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่า นายพีระพันธุ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ยังถือหุ้นอยู่ในทั้ง 4 บริษัท หรือไม่อย่างไร และขอให้คณะรัฐมนตรีตรวจสอบข้อมูลนี้ว่าจริงหรือเท็จอย่างไร เพื่อที่จะไม่ได้โดนบุคคลอื่นร้อง เหมือนกับ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งหมดนี้ตนเองจะส่งเอกสารให้ครบถ้วนกระบวนความ แล้วจะไปส่งให้กับ กกต.ต่อไป ทั้งหมด 3 ชุด ชุดที่ 1 ไปผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อนำไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ชุดที่ 2 มายื่นที่ ป.ป.ช.2 เรื่อง และชุดที่ 3 จะยื่นให้ กกต.
เมื่อถามว่า หากเรื่องนี้ผิดจริงนายกรัฐมนตรี จะโดนเหมือนนายเศรษฐาหรือไม่ นายสนธิญา กล่าวว่า เห็นมีนักกฎหมายบางคนที่ออกมาเขียนกรณีของนายพีระพันธุ์ ถ้าเป็นไปตามกระบวนการเรียกร้องต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรีก็จะอยู่สภาพเดียวกันกับอดีตนายกฯ เศรษฐา แต่ในการร้องของตนนั้นร้องในลักษณะไต่สวนให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง
นายสนธิญา ยังกล่าวถึงกรณีการเลือกตั้งซ่อม สส.นครศรีธรรมราช เขต 8 ว่า มองว่าเป็นการหาเสียงที่โกหก เป็นการปราศรัยในลักษณะที่ทำให้ประชาชนเชื่อ หรือการสัญญาว่าจะให้ เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีธรรมราช อาจจะเป็นปัญหาในการเลือกตั้ง
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี