รุมป้อง‘พีระพันธุ์’
รทสช.ยันไม่เกี่ยวถุงยังชีพ
‘เสธ.หิ’สับพวกตอแยใส่ร้าย
เสธ.หิ” โพสต์ “พีระพันธุ์” ผลงานเป็นที่ประจักษ์ “ชูงานชิ้นโบแดง ฝ่าอุปสรรค ลดค่าไฟ-สร้างความมั่นคงพลังงาน”ไม่แปลกใจถูกโจมตี ทำลายชื่อเสียงจากผู้เสียประโยชน์ หวังเขี่ยพ้นตำแหน่ง ยันทำหน้าที่จนวินาทีสุดท้าย ด้านโฆษก รทสช. ยันพีระพันธุ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องปมถุงยังชีพ ยํ้าเจ้าตัวพร้อมไปแจงด้วยหลักฐาน มองถูกดิสเครดิต หลังสู้เรื่องค่าไฟ ปัดเป็นเหตุทําพรรคแตก ยัน สส.ยังไม่ทิ้ง
วันที่ 3 พฤษภาคม 2568 นายหิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “ผลงานเป็นที่ประจักษ์” พร้อมระบุว่า “ตั้งแต่ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มารับตำแหน่งรมว.พลังงาน สิ่งที่พยายามทำคือ การสร้างความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานราคายุติธรรมเพื่อประชาชน การควบคุมราคาน้ำมัน พยายามปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน การปรับลดค่าไฟฟ้า ตรึงราคาแก๊ส ซึ่งมีปัญหาอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะการพยายามปรับลดค่าไฟฟ้าให้ต่ำกว่า 4 บาท เพื่อส่งเสริมการแข่งขันทางด้านอุตสาหกรรมกับต่างประเทศ ตลอดจนลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน การประกาศนโยบายด้านการปรับลดราคาพลังงาน
นายหิมาลัย กล่าวว่า ช่วงแรกๆ ก็มีเสียงต่อต้านว่ามันเป็นไปไม่ได้ โครงสร้างเดิมของราคาไฟฟ้า ถ้าจำไม่ผิดน่าจะขึ้นไปถึง 4.6-4.7 บาท เมื่อท่านตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ 4.1 กว่าๆ ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ ว่าท่านจะทำให้ระบบโครงสร้างค่าไฟฟ้าเสียหาย จะตรึงได้แค่ระยะเวลาสั้น รัฐต้องเสียเงินชดเชยมากมาย แต่ในปัจจุบัน ท่านก็สามารถทำได้จริงโดยการใช้ระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพทำให้สามารถลดราคาค่าไฟฟ้าได้ตามนโยบาย และนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ที่ท่านสามารถ ทำให้มีการประกาศราคาค่าไฟฟ้า ลงไปต่ำกว่า 4.00 บาท
ยันพีระพันธุ์มีผลงาน
นายหิมาลัย กล่าวว่า แน่นอนว่าค่าไฟฟ้าที่ลดลงไปนั้นจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีต้นทุนที่ลดลง ธุรกิจการค้าของประชาชนทั่วไป เช่น ร้านค้ารายย่อย แผงลอย วินมอเตอร์ไซค์ฯลฯ ค่าไฟฟ้าที่ลดลงไป นั่นหมายถึงกำไรที่เพิ่มขึ้นหรือรายรับที่เพิ่มขึ้นเป็นการกระจายรายได้ ที่รวดเร็วและเข้าถึงประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคน ท่านพีระพันธุ์ ทราบดีว่านี่เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว ซึ่งเมื่อท่านพ้นตำแหน่งไปแล้ว หากยังใช้โครงสร้างราคาพลังงาน ในระบบนี้อยู่ ราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าแก๊ส ก็มีโอกาสที่จะขึ้นราคา เหมือนก่อนหน้านี้ ท่านจึงมีแนวความคิดในการปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบ รวมทั้งระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรมมากขึ้น จึงได้มีความพยายามที่จะเสนอกฏหมาย เพื่อความมั่นคงของพลังงานและโครงสร้างราคาที่เป็นธรรมอย่างยั่งยืน
“จึงไม่น่าแปลกใจ ที่จะมีการโจมตี ทำลายภาพพจน์และชื่อเสียง ปล่อยข่าวลือต่างๆ เพื่อให้ท่านพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนที่กฎหมายต่างๆ ที่ท่านพยายามเสนอจะได้รับการบรรจุเข้าวาระของ ครม. ซึ่งถ้าหากกฎหมายพวกนี้ สามารถผ่านสภาฯ ออกมาบังคับใช้ได้ ก็จะทำให้ราคาน้ำมัน ไฟฟ้า ราคาแก๊ส มีความเป็นธรรมและมั่นคงมากขึ้น ท่านพีระพันธุ์พูดกับผมเสมอว่า ถ้าเราทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติแล้ว หากมีปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากผู้เสียผลประโยชน์ เราก็ต้องยอมรับและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ที่สำคัญที่สุดคือเรากล้าหาญที่จะทำตามหน้าที่หรือไม่ ครั้งหลังสุดนี้ มีการประกาศลดค่าไฟฟ้า ลงมาที่ราคา 3.98 บาท ซึ่งเกิดจากความพยายามของท่าน ที่ไม่ยอมแพ้ แม้มีอุปสรรคมากมาย สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้ มีการออกข่าวโจมตีและด้อยค่าผลงานอย่างต่อเนื่อง”นายหิมาลัย กล่าว
นายหิมาลัย กล่าวด้วยว่า ขอขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่กรุณามอบให้ท่านพีระพันธ์ุ และพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นอย่างสูง ขอให้ท่านทั้งหลายมั่นใจได้ว่า พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และพรรครวมไทยสร้างชาติ จะทำหน้าที่เป็นนักรบพลังงานเพื่อพ่อแม่พี่น้องประชาชนจนวินาทีสุดท้าย
ด้าน นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. ถูกยื่นตรวจสอบการถือหุ้นในบริษัทเอกชน รวมถึงถูกโยงกับกระแสข่าวที่คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กําลังไต่สวนคดีถุงยังชีพ จะกระทบต่อพรรคหรือไม่ ว่า นายพีระพันธุ์ชี้แจงได้หมดอยู่แล้ว ทั้งเรื่องการถือหุ้น และเรื่องที่ถูกร้องเรียนใน ป.ป.ช. ซึ่งในข้อเท็จจริงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นายพีระพันธุ์ พร้อมชี้แจงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อถึงเวลาแน่นอน ท่านมั่นใจว่าไม่ได้กระทำความผิด ขอให้ผู้สนับสนุนพรรคสบายใจได้
ไม่เกี่ยวถุงยังชีพ
นายอัครเดช กล่าวว่า กรณีถุงยังชีพ ยืนยันว่านายพีระพันธุ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งทางเจตนา และการเตรียมการ ซึ่งท่านพร้อมชี้แจงด้วยเหตุผล และเอกสารหลักฐานต่างๆ ยํ้าว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ตนตั้งข้อสังเกตว่าช่วงนี้ ทั้ง IO หรืออะไรหลายอย่าง เข้ามาดิสเครดิตนายพีระพันธุ์ เพราะท่านตั้งใจทำงานให้กับประชาชน จึงเป็นไปได้ที่ต้องมีแรงเสียดทานกับผู้ที่เห็นต่าง อย่างเช่นการลดค่าไฟ ก็ต้องไปต่อสู้กับหลายส่วน จนเกิดแรงเสียดทานหรือข้อกล่าวหาต่างๆ ด้วยหรือไม่ มองว่าอาจมีความเชื่อมโยงกัน
เมื่อถามว่า เรื่องคดีจะเป็นจุดที่ทำให้พรรคแตกหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีกระแสข่าวว่า สส.เตรียมทิ้งนายพีระพันธุ์ นายอัครเดช กล่าวว่า ณ เวลานี้พรรคยังมั่นคง ขอให้สบายใจได้ นายพีระพันธุ์ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค รทสช. ยังสามารถบริหารพรรคได้ และ สส.ของพรรคส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ก็ชัดเจนแน่นอนว่าจะเดินไปพร้อมกับหัวหน้า และเลขาธิการพรรค เพื่อทำงานให้กับประชาชน เราต้องยึดผลประโยชน์ของประชาชน แม้จะมีแรงเสียดทาน เราก็ต้องอดทน และยืนหยัดให้ได้
“มั่นใจว่า สส.ส่วนใหญ่ยังยืนหยัดกับพรรค และพรรคก็ไม่ได้แตกอย่างที่เป็นข่าวแน่นอน” นายอัครเดช กล่าว
แฉพท.ทาบร่วมรัฐบาล
นายชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรมระบุจะเปิดตัวกลุ่มบุคคล จากพรรคฝ่ายค้านโดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะมาจากพรรคพลังประชารัฐว่า เพิ่งจะมีการคุยเรื่องนี้กันในพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 27 เมษายน ในการประชุมใหญ่ที่ผ่านมาซึ่งคุยทั้งส่วนตัวและกลุ่ม
“โดยได้แจ้งให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐทราบว่าจะมีคนย้ายมาอยู่กับเรามากพอสมควร โดยมาจากหลายที่ ยืนยันว่าของพรรคพลังประชารัฐ ไม่มีไปที่นั่น เพราะเราคุยกันชัดเจนว่าทุกคนยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ สกรีนกันทั้งหมดทุกคน ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า จะอยู่ร่วมกันลงเรือลำเดียวกันจนวันสุดท้าย”รองหัวหน้าพรรค พปชร. ระบุ
การันตี19สส.พปชร.อยู่ครบ
นายชัยมงคล กล่าวว่า ในวันดังกล่าวเรามีการพูดคุยกันถึงจุดยืนว่าจะก้าวไปด้วยกันและมีการวางแผนการเลือกตั้ง มีการเปลี่ยนโลโก้ใหม่ ใครรับผิดชอบตรงไหนอย่างไร มีการแบ่งงานกันเรียบร้อย ส่วนคนที่อยู่ในข่าวที่มีการคาดการณ์กันว่าจะไปนั้นก็ได้รับมอบหมายงานไปแล้วเรียบร้อย ส่วนตัวสส. ตนก็คุยแล้วเรียบร้อย หัวหน้าทีมก็คุยแล้วเรียบร้อย ทุกคนยังเหมือนเดิม ยืนยันว่า ไม่มีใครไปสักคน
ผู้สื่อข่าวถามว่าพอเปิดเผยได้หรือไม่ว่าบุคคลที่มีข่าวว่าจะไปคือใครนายชัยมงคล กล่าวว่า คนเหล่านี้ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลการเลือกตั้ง ทั้งน.ส.ตรีนุช เทียนทอง สส.สระแก้ว นายสันติ พร้อมพัฒน์ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค ซึ่งตนจำไม่ได้หมด แต่ประมาณนี้
เมื่อถามว่าเมื่อ พล.อ.ประวิตร ได้ถามทุกคนแล้วได้เน้นย้ำอะไรหรือไม่ นายชัยมงคล กล่าวว่า หลังจากประชุมใหญ่พรรคเสร็จแล้ว เราก็นั่งคุยกัน ความจริง เราก็คุยมาก่อนหน้านั้นแล้ว โดยทุกคนมีความมั่นใจ แน่นอนว่าเราทุกคน สส.ที่เหลืออยู่ 19 ชีวิตจะเดินทางทางการเมืองด้วยกัน มั่นคงไปด้วยกัน เป็นตายไปด้วยกัน นี่คือสิ่งที่เราให้สัจจะวาจาไว้ต่อกันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“ซึ่งยอมรับว่ามีการติดต่อกันในการที่จะให้เข้าร่วมรัฐบาล ทั้งติดต่อผ่านทางตน ทั้งพล.ประวิตรด้วย เขาโทรมาหา พล.อ.ประวิตรว่าจะเข้ามาร่วมรัฐบาลหรือไม่ ซึ่ง พล.อ.ประวิตรพูดมาตั้งแต่ก่อน 2-3 เดือนแล้วโดยมีการคาดการณ์กันไว้ว่ารัฐบาลต้องมีปัญหา ซึ่งเรายืนยันชัดเจนแล้วว่า ไม่ร่วม หากไม่เปลี่ยนตัวนายกฯ”นายชัยมงคลย้ำ
เมื่อถามย้ำว่าใครที่ติดต่อ พล.อ.ประวิตร นายชัยมงคล กล่าวว่า อย่าให้ตนบอกเลย ตนก็ได้รับการติดต่อเหมือนกันโดยคนที่ติดต่อมานั้น มาจากพรรคเพื่อไทยมีการติดต่อจริง โดยมีการติดต่อว่าหากเข้าร่วมรัฐบาลก็ให้ไปทั้งพรรค
ลุงป้อมยันไม่ไปร่วมกับผู้นำไร้ศักยภาพ
“โดยพล.อ.ประวิตรยืนยันชัดเจนว่าไม่ไปร่วม เมื่อเราไม่ไปร่วมรัฐบาลชัดเจนการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) ก็มีปัญหา ซึ่งถ้าเราเข้าไปเรามองว่า เท่ากับว่าเราไปเสริมให้คนอยู่ในอำนาจ โดยที่คนที่เป็นผู้ใช้อำนาจตรงนั้นก็คือหัวหน้ายังไม่มีศักยภาพเพียงพอในการแก้ไขปัญหาประเทศ แต่ถ้าการปรับแล้วบ้านเมืองมันดีขึ้นก็ไม่เป็นไร”รองหัวหน้าพรรค พปชร.ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประวิตรได้ให้กำลังใจกับสมาชิกพรรคอย่างไรบ้างในการประชุมใหญ่พรรคที่ผ่านมา นายชัยมงคล กล่าวว่าเราอยู่ด้วยความอบอุ่นและจริงใจ เพราะเราอยากให้ท่านมีความสุขในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ ทุกคนพร้อมที่จะทำงาน ทุกคนทำงานที่ได้รับมอบหมายกันอย่างเต็มที่
ลุงป้อมพร้อมสู้เลือกตั้งสมัยหน้า
เมื่อถามว่าพล.อ.ประวิตร ยังพร้อมที่จะสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าใช่หรือไม่ นายชัยมงคลกล่าวว่าท่านพูดว่าอย่างไร เราก็ไปด้วยกัน เป้าหมายอยู่ที่ 60 ที่นั่ง เราต้องทำให้ได้ ตอนนี้แม้ว่าเราจะเหลือ 19 คน แต่เราจะเพิ่มเข้ามา อย่าง สส. จังหวัดไหนมี 1 คน ก็ต้องเพิ่มให้ได้อีก 1 คน ส่วนคนที่จะเข้ามาร่วมกับเรานั้นได้มีการวีดีโอคอลมาคุยกับ พล.อ.ประวิตร เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้มาตอนนี้ เราค่อนข้างมั่นใจว่าในระดับผู้ใหญ่คงมีการประสานงานกัน บางคนอยู่พรรคอื่น อาจจะอึดอัด แต่มันยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะแสดงตัวตอนนี้โดยคนที่ติดต่อมาเป็นฝ่ายรัฐบาล จากพรรคเพื่อไทย ส่วนของฝ่ายค้านไม่มี เพราะเราไม่เอาของเพื่อน เราไม่ตกปลาในบ่อใคร เราไม่ต้องการให้คนที่จะมาอยู่กับเราเป็นงูเห่า ถ้าจะมาต้องมาด้วยอุดมการณ์
‘อิ๊งค์’คัมแบ๊กจอแจงหลายประเด็น
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าในวันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคมนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะกลับมาจัดรายการ“โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร”ประจำเดือนพฤษภาคม 2568 หลังจากเว้นไปหนึ่งเดือนจากสถานการณ์แผ่นดินไหว ในรายการครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี จะชี้แจงประเด็นสำคัญที่สั่งการและติดตามตลอดสองเดือนที่ผ่านมา อาทิ ความคืบหน้าการสอบสวนกรณีตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ถล่ม,ระบบเตือนภัย Cell Broadcast ที่เริ่มทดสอบแล้ว และแนวทางรับมือผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ ยังจะพูดถึงโครงการ SML ที่จะกลับมาขับเคลื่อนผ่านงบกองทุนหมู่บ้านและเปิดตัวทุน “ODOS Summer Camp”กว่า 900 ทุนสำหรับเยาวชนทั่วประเทศ ตลอดจนการอธิบายนโยบาย “เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์” ซึ่งไม่ใช้งบรัฐ แต่ตั้งเป้าดึงรายได้เข้าประเทศและสร้างงานในภาคการท่องเที่ยว
‘ธนกร’หนุนรบ.ทบทวนเงินหมื่นเฟส 3
นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเห็นด้วยที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ได้ให้สัมภาษณ์ระบุว่าจะต้องมีการทบทวนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 เห็นควรใช้งบประมาณกับเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนก่อนและเรื่องการกู้เงินให้เป็นตัวเลือกท้ายสุดเพื่อเป็นการเตรียมการรองรับผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีของสหรัฐ ซึ่งเรื่องนี้มีคำแนะนำจากนักเศรษฐศาสตร์ที่เชี่ยวชาญเศรษฐกิจว่าไม่ควรผลักดันโครงการเงินดิจิทัลเฟส 3 เนื่องจากต้องใช้งบประมาณก้อนใหญ่ ควรชะลอออกไปก่อนและเพื่อเตรียมการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่ส่งผลกระทบหนักกับไทยซึ่งตนเห็นด้วยให้มีการทบทวนการใช้งบประมาณของรัฐให้เกิดความรอบคอบ คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ
แนะแบ่งทำ‘คนละครึ่ง’กระตุ้นในปท.
ทั้งนี้ นายธนกรเสนอว่า ในช่วง2-3 เดือนนี้ อยากเสนอให้รัฐบาลพิจารณาใช้งบประมาณในส่วนที่เข้าไปช่วยเหลือพยุงราคาสินค้าเกษตรหลายชนิด ที่กำลังตกต่ำ เช่น ราคาข้าว ยางพาราและปาล์มน้ำมัน ที่ราคาตกต่ำเกษตรกรต่างเดือดร้อนเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าไปช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน อีกทั้งตนขอเสนอให้แบ่งงบประมาณมาบริหารใช้ในการทำโครงการคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในประเทศ ซึ่งโครงการนี้ เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นโครงการที่ประชาชนพึงพอใจมาก โดยทั้ง 2 ประเด็นที่ตนเสนอไปนั้น มั่นใจว่าจะช่วยพี่น้องเกษตรกรและประชาชนทุกกลุ่มได้โดยตรงทันที
กระทุ้งรบ.ต้องคิดให้รอบคอบทุกด้าน
“ตนเห็นด้วยที่จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ในเวลานี้ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกขึ้น เรื่องของกำแพงภาษีจากสหรัฐกระทบหนักกับภาคส่งออกประเทศไทยซึ่งการ ส่งออกเป็นเหมือนเครื่องจักรใหญ่ทางเศรษกิจอันดับต้นที่สร้างรายได้เข้าประเทศ หากจะอัดฉีดเม็ดเงินในการแจกเงินดิจิทัลเฟส 3 ในเวลานี้รัฐบาลจะต้องคิดให้รอบคอบทุกด้านเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไม่สร้างปัญหาใหม่หรือไม่เป็นการซ้ำเติมทำให้เศรษฐกิจทรุดหนักมากขึ้น จึงอยากเสนอให้นำเงินงบประมาณปี 2569 เข้าไปช่วยพยุงราคาสินค้าเกษตร ช่วยเหลือเกษตรกรที่เดือดร้อนเรื่องราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอยู่ในขณะนี้ เช่น ข้าว ยางพารากับ ปาล์มน้ำมัน อีกทางหนึ่ง ก็ควรรื้อฟื้นโครงการ“คนละครึ่ง”ขึ้นมาเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้มีการหมุนเวียนเศรษฐกิจได้ดียิ่งขึ้น”นายธนกรระบุ
ทบ.ยันไร้เนื้อหาพาดพิง‘อนุทิน’
วันเดียวกัน พลตรีวินธัยสุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงรายละเอียดจากการที่ได้เข้าร่วมประชุมกับคณะ กรรมาธิการฯ เมื่อวันที่1 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า ทางกอ.รมน.ได้มีการยืนยันถึงการที่มีบางคนไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีการมีชื่อของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ไปปรากฏอยู่ในรายงานข่าวว่า เป็นผู้ที่มีการแอบอ้างสถาบันฯนั้น ไม่เป็นความจริง กรณีเรื่องของเอกสารการรายงานข่าว ที่ได้จากการรายงานข่าวของสื่อมวลชน โดย สำนักการข่าว กอ.รมน. นั้น พบว่ามีบางบุคคลแอบนำไปเผยแพร่ ตีความหมายแบบผิดๆ ไม่ครบถ้วน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิด ในตัวบุคคลและ องค์กรนั้นขอยืนยันว่าในเอกสารดังกล่าว ไม่ได้มีการระบุ ว่า นายอนุทิน เป็นบุคคลที่แอบอ้างสถาบันฯ แต่อย่างใด
โดยในข้อเท็จจริงในเอกสาร ที่มีระบุถึงนายอนุทินนั้น มีเนื้อหาที่เป็นลักษณะเชิงบวกต่อสถาบันฯ กล่าวคือ ในรายงานได้กล่าวถึงสื่อมวลนำเสนอว่า นายอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่าจะไม่สนับสนุนพรรคการเมืองหรือ สนับสนุนบุคคลที่มาดำรงตำแหน่งนายกฯ ที่มีนโยบายแก้ไข ม.112 ซึ่งให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ เมื่อ 18 ส.ค. 2567 ซึ่งจากเนื้อหาตามข้างต้นนี้ จะไปตีความหมายว่าเป็นการแอบอ้างสถาบันได้อย่างไร ขอผู้ที่มีข้อมูลไม่ครบถ้วน พยายามอย่านำไปประติดประต่อเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด ในตัวบุคคล และองค์กร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี