‘เสธ.หิ.’เทียบ‘พิภพมัจจุราช’
ป้อง‘พีระพันธ์ุ’
ไม่รู้แจกถุงยังชีพติดสติ๊กเกอร์
โยนทีมงาน‘สส.ปุ้ย’ทำเอง
พท.ปลุกพปชร.ตื่นได้แล้ว
อย่าฝันไกลเข้าร่วมรัฐบาล
“เสธ.หิ” แจงยิบ ยัน “พีระพันธุ์” ไม่ผิด ปมแจกถุงยังชีพ“ปตท.-กฟผ.” ติดสติ๊กเกอร์ตัวเอง หลังมีคนไปร้องป.ป.ช.สอบ แจงทีมงาน‘สส. พิมพ์ภัทรา’ทำเอง แต่สั่งรีบแก้ไข-ไม่ได้แจกต่อ ยกนิทาน ‘พิภพมัจจุราช’ตัดพ้อ ประธานสอบแพทยสภา ไม่ปฏิเสธข่าวผลสอบเสนอฟัน 7 หมอรพ.ตำรวจ-ราชทัณฑ์ ช่วยทักษิณป่วยทิพย์ บอกให้รอฟังผลประชุม 8 พ.ค. ว่า มติออกมาอย่างไร ขณะที่จตุพร พรหมพันธ์ แย้มเบาะแสผลสอบมีเชือดหมอรักษาแม้วถึงขั้นถอนใบอนุญาต “เพื่อไทย”ปลุกพปชร.หลังปูดข่าวดึงร่วมรัฐบาล ชี้แค่สร้างราคาตัวเอง ตื่นกันได้แล้ว
เมื่อวันที่ 4พ.ค.2568 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะสมาชิกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงกรณีเอกสารของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่ออกมากล่าวหาบุคคลหลายคนรวมทั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ใช้สถาบันกษัตริย์เพื่อประโยชน์ทางการเมืองว่าความจริงความจงรักภักดี หรือการแสดงออกของบุคคลซึ่งเป็นการเคารพสถาบันและต้องการรักษาและปกป้องสถาบันนั้น กอ.รมน. น่าจะทราบว่าแตกต่างกันกับการนำสถาบันมาใช้เพื่อประโยชน์ตนเองหรือที่เรียกว่าการโหนสถาบัน ใคร ๆก็ทราบว่าพรรคภูมิใจไทยและนายอนุทินมีจุดยืนเกี่ยวกับสถาบันอย่างไร กล่าวคือมีจุดยืนชัดเจน ในการดำเนินการทางการเมืองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นพรรคการเมืองที่มีแนวทางในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งแสดงความไม่เห็นด้วยและคัดค้านในการก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือการกระทำอื่นๆ
ภท.ย้ำเป็นเรื่องอันตราย
นายคารม กล่าวต่อว่า การกระทำของ กอ. รมน.ในลักษณะแบบนี้ จึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะเป็นการเข้าใจผิดระหว่างประชาชนที่มีความจงรักภักดี เคารพและปกป้องสถาบัน ต้องการรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ให้อยู่คู่กับประเทศไทย โดยกลับไปกล่าวหาว่าเป็นการนำสถาบันเอามาเพื่อประโยชน์ของตนเองในทางใดทางหนึ่งหรือในทางการเมือง ฉะนั้น หน้าที่ของกอ. รมน. คือการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ต้องการ ดูว่ามีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลกระทำใด หรือมีพฤฒิกรรม ที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ ประชาชนและสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วนำเสนอต่อหน่วยงานความมั่นคง เพื่อทำการป้องกัน ยับยั้งหรือดำเนินการทางการกฎหมายกับกลุ่มบุคคลหรือขบวนการเหล่านั้น การทำงานต้องมีความแม่นยำ ข้อมูลถูกต้องตามจริง ไม่ควรนำข้อมูลมั่วๆ แล้วนำมาตัดแปะและเที่ยวกล่าวหาคนอื่นแบบที่เรียกว่าไม่ฉลาดแบบนี้
พท.ปลุกพปชร.ตี่นได้แล้ว
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกมาระบุว่ามีการติดต่อทาบทามพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค พปชร. ให้กลับเข้าร่วมรัฐบาล โดยอ้างว่าคนที่ติดต่อมานั้นมาจากพรรคเพื่อไทย ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง ว่า “ตื่นครับตื่น แค่นี้แหละครับ สั้นๆ” ถามย้ำว่า ไม่มีการติดต่อไปใช่หรือไม่ นายสรวงศ์ หัวเราะพร้อมกล่าวว่า ไม่มีหรอกครับ ไม่มี ตื่นครับตื่น เมื่อถามว่า มองว่าขณะนี้เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลแล้วใช่หรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า ใช่ และไม่มีการติดต่อไป เหมือนเป็นการสร้างราคาให้ตัวเอง ตื่นๆ เมื่อถามว่า มีการระบุอีกว่าจะมีคนจาก พท.จะไปอยู่กับพรรค พปชร.เพิ่ม แต่ยังไม่เปิดตอนนี้มองว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน นายสรวงศ์ กล่าวว่า อันนี้ก็ตื่นอีก ไม่มีหรอกครับ” ถามย้ำว่า ไม่มีทั้งไหลเข้าและไหลออกใช่หรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า “ไม่มีหรอกครับ”
ประชุม ส.ส.13พ.ค.พร้อมถกงบ69
ด้านนายดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ในส่วนของพรรค พท. ว่า เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร พรรค พท. จึงจะมีการนัดประชุม ส.ส. ในวันที่ 13 พฤษภาคม ซึ่งระหว่างนี้เราได้ให้ทีมงานพรรคและทีมอคาเดมีเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณด้านต่างๆ เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา ด้านต่างประเทศ ต่างๆ เพื่อที่วันที่ 13 พฤษภาคม จะได้ให้ ส.ส.ลงชื่อว่าสนใจด้านไหนและรับข้อมูลเชิงลึกในแต่ละกระทรวงนั้นๆ ไปศึกษา เบื้องต้นวันที่ 13พฤษภาคม จะเป็นการพูดคุยเรื่องการลงชื่อเพื่อเตรียมความพร้อมในการพิจารณางบประมาณเท่านั้น เนื่องจากมี ส.ส.ที่เป็นกรรมาธิการในหลายกรรมาธิการต้องเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศ หลังจากสัปดาห์นั้นอาจจะมีการลงรายละเอียดเชิงลึกมากขึ้น
เมื่อถามว่า เบื้องต้นได้พูดคุยกันแล้วหรือไม่ว่าไทม์ไลน์ที่งบประมาณจะเข้าจะเป็นช่วงใด นายดนุพร กล่าวว่า ตนเห็นกำหนดการที่ทางคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) พูดคุยกันว่าจะเปิดประชุมสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณางบประมาณปี 2569 ช่วงวันที่ 28-30 พฤษภาคม
ฝากความหวังไว้ที่ศาลยุติธรรม
ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม อดีตสมาชิกวุฒิสภา (อดีตสว.) และประธานสถาบันสุจริตไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “หัวใจของปัญหาที่คุณทักษิณอยู่ที่ชั้น 14รพ.ตร.อยู่ที่การบริหารโทษอย่างถูกต้องของกรมราชทัณฑ์ (ไปอยู่ได้อย่างไร อยู่จริงหรือไม่ และอยู่อย่างไร ซึ่งรวมถึงมีการควบคุมการหลบหนีด้วยหรือไม่?)จึงจำเป็นต้องถูกตรวจสอบโดยศาล”สำหรับ กสม.เห็นว่าต้องตรวจสอบการใช้อำนาจบริหารจึงเสนอผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินให้ศาลปกครองตัดสิน ส่วนคุณชาญชัยฯเห็นว่าเป็นปัญหาการบังคับคดีอาญาจึงร้องขอให้ศาลยุติธรรมตรวจสอบ เรื่องทั้งหมดจึงเกิดปัญหาใหญ่ทั้งเรื่องเขตอำนาจศาลรวมกับปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย เมื่อศาลฎีกาเห็นปัญหาใหญ่นี้และรับไต่สวนเพื่อวินิจฉัยในทุกประเด็นแล้ว ทุกคนจึงเฝ้ารอแสงสว่างทั้งแผ่นดินด้วยความเชื่อมั่นในองค์กรสูงสุดของศาลยุติธรรมครับ
แย้ม7หมอช่วยแม้วอาจซวย
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการ “ประเทศไทยต้องมาก่อน” เมื่อวันที่ 3 พ.ค.68 ว่า บ้านเมืองจะถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ โดยให้จับตาดูผลการสอบสวนของแพทยสภาในวันที่ 8 พ.ค.นี้ ซึ่งจะส่งผลถึงการนัดพร้อมหรือไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกาฯ) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในกรณีชั้น14 รพ.ตำรวจ ผลสอบสวนจริยธรรมแพทย์ของคณะอนุกรรมการแพทยสภาในวันที่ 8 พ.ค.นี้ มีรายงานแว่วมาว่าสั่งพักใบอนุญาตแพทย์ รพ.ตำรวจ เบื้องต้น 2 คน และสอบเพิ่มเติมอีก 5 คนทั้งแพทย์ 2 โรงพยาบาล คือ รพ.ตำรวจและราชทัณฑ์ และผลสอบคาดจะออกมาหนักกว่า 2 คนแรกเสียด้วย
อย่างไรก็ตาม ถ้าผลของแพทยสภาออกมา ศาลฎีกาฯ สามารถเรียกผลสอบมาไต่สวนเพิ่มได้ เพราะเป็นความผิดที่ช่วยเหลือผู้กระทำความผิดไม่ให้รับโทษทางอาญา ดังนั้นกรณีนี้จะกลับไปพิจารณาถึงการป่วยจริงหรือป่วยไม่จริง ถ้านายทักษิณ ชินวัตร ไม่ป่วยจริง ย่อมไม่มีสิทธิ์อยู่ รพ.ตำรวจชั้น 14 ซึ่งเป็นห้องพักผู้ป่วยวีไอพี นอกจากนี้ กรณีชั้น14 ยังลามไปถึง ป.ป.ช.ที่ทำการตรวจสอบด้วย ดังนั้นการชี้แจงของผู้เกี่ยวข้องที่ส่งไปทุกองค์กรต้องเหมือนกันในสาระสำคัญ ยิ่งในชั้นคณะอนุกรรมการสอบสวนของ ป.ป.ช. สรุปผลสอบสวนข้าราชการปฏิบัติมิชอบ และส่งให้คณะกรรมการฯ ชุดใหญ่พิจารณา ซึ่งพร้อมจะขยายผู้เกี่ยวข้องออกไปอีก แสดงว่าเรื่องชั้น 14 จบไม่ง่ายเลย
ต้องยึดหลักความถูกต้อง
“บ้านเมืองต้องยึดหลักความถูกต้องให้ได้ เมื่อปฏิบัติกับทุกคนในกฎหมายเดียวกัน แล้วจะละเว้นใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ มิฉะนั้นบ้านเมืองอยู่กันไม่ได้ ดังนั้นไม่รู้ว่า ทักษิณ คิดอะไรในขณะนี้ จะอยู่หรือจะไป แต่โดมิโนชั้น 14 จะลามไปถึงนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ถ้าศาลฎีกาฯ สงสัยผู้มีสิทธิ์เข้าเยี่ยมทักษิณที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ จำนวน 10 รายชื่อนั้น หากเรียกมาไต่สวนแล้วให้การขัดกัน ไม่สอดคล้องกับคำให้การของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ที่ไปยี่ยมแล้วเห็นว่าไม่ป่วยจริง ดังนั้น 10 รายชื่อที่เข้าเยี่ยมจะเข้าข่ายร่วมกันปกปิด ถ้าบ้านเมืองไม่สามารถเอาผู้สารภาพได้ทำความผิดในคดีคอร์รัปชั่นมาลงโทษได้ ก็ไม่สามารถปราบปรามการทุจริตได้เช่นกัน และการทุจริตจากหลายหน่วยงานจะเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วบ้านเมืองจะอยู่กันแบบน้ำเน่ากันแบบนี้เหรอ”
แพทยสภาให้รอผล8พค.
ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี กรรมการแพทยสภา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจ แพทยสภา ที่สอบสวนจริยธรรมแพทย์ รพ.ตำรวจและทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ที่ทำการรักษานายทักษิณ ชินวัตรกล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนว่า ขอให้รอดูผลการประชุมแพทยสภาวันที่ 8 พ.ค.นี้ ขณะนี้ไม่อยากพูดอะไรออกไปก่อน เมื่อถามถึงข่าวที่ออกมาว่า ผลสอบของแพทยสภามีการเสนอให้สั่งพักใบอนุญาตแพทย์ 2 คน และสอบเพิ่มเติมอีก 5 คนรวมเป็น 7คน เป็นอย่างไร นพ.อมรกล่าวว่า คงไม่ยืนยันอะไรทั้งนั้น ต้องรอฟังผลการประชุมแพทยสภา เรื่องข่าวที่ว่ามีการเสนอให้ลงโทษและสอบสวนหมอ 7 คน ก็เพิ่งทราบข่าววันนี้
“มีคนส่งข่าวมาให้ผมดู แต่ผมตอบอะไรไม่ได้ ขอให้ไปรอติดตามผลการประชุมแพทยสภาวันที่ 8 พ.ค.นี้ ข่าวที่ออกมา ผมก็ไม่รู้ว่าคนที่พูดเขาเอาข้อมูลมาจากไหน ก็บอกแค่นี้แล้วกันว่าให้รอฟังผลการประชุมแพทยสภาวันที่ 8 พ.ค.ผมไม่ยืนยันและไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น เอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน ก็ดูวันที่ 8 พ.ค.นี้ว่าเรื่องนี้จะเข้าที่ประชุมแพทยสภาวันที่ 8 พ.ค.นี้ได้ทันหรือไม่ หากเข้าได้ ก็ขอให้รอฟังเนื้อหาที่จะออกมาอีกทีหนึ่งแล้วกัน ไม่อยากพูดรายละเอียดเรื่องนี้ ขอให้รอวันที่ผลสรุปเข้าที่ประชุมแพทยสภาแล้วกัน แล้วเขาก็จะจัดการกันเอง เอาแค่นี้ก่อน เรียบร้อยหรือไม่ ตรงนี้ ก็มีขั้นตอน ต้องไปทีละขั้นตอนทีละขั้นตอน
‘เสธ.หิ’ย้อนไทม์ไลน์‘ปมถุงยังชีพ’
นายหิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เจตนาที่ดีย่อมเป็นกุศลกรรม ว่ากันเรื่องถุงยังชีพที่เป็นข่าวอยู่เวลานี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ผมจำได้ว่าท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีภารกิจลงไปตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจพ่อแม่พี่น้องที่โดนน้ำท่วม ในพื้นที่ภาคใต้โดยมีภารกิจใน 3จังหวัด เริ่มต้นจากจังหวัดชุมพรไปสุราษฎร์ธานีและปิดท้ายที่จังหวัดนครศรีธรรมราชก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ที่จังหวัดชุมพรและสุราษฎร์ธานีผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีเหตุการณ์อะไรให้ตื่นเต้น ซึ่งในการตรวจเยี่ยมพ่อแม่พี่น้องใน 2 จังหวัดขั้นต้น ใช้เวลามากกว่ากำหนดการทำให้เมื่อมาถึงจังหวัดนครศรีธรรมราช ล่าช้ากว่ากำหนดการมาก เมื่อไปถึงพื้นที่ท่านก็ตรงไปทักทายพูดคุยกับชาวบ้านที่มารอรับ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำถุงยังชีพมาให้แจก ตามภาพด้านขวามือที่ท่านได้เห็น เจ้าหน้าที่ส่งถุงยังชีพให้ท่านโดยหันด้านโลโก้ออกหากล้องฝั่งด้านของท่านนั้นจะเป็นด้านหลังถุงยังชีพที่ไม่มีโลโก้อยู่ ครั้งแรกท่านจึงยังไม่ได้สังเกตเห็น แต่หลังจากนั้นท่านจึงได้เห็นว่ามีรูปท่านติดอยู่บนถุงยังชีพ ท่านจึงสั่งการ ให้รีบไปแก้ไขและไม่ได้อยู่แจกต่อ ต่อมาภาพทางขวามือจึงได้ถูกส่งไปร้องเรียนที่ ป.ป.ช. ซึ่งได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาผ่านสื่อต่างๆ อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ได้มีการมาสอบถามหรือไต่สวนจากท่านแต่อย่างไร หนังสือเรียกไปชี้แจงข้อกล่าวหาท่านก็ยังไม่เคยได้รับ แต่กลับปรากฏรายละเอียดอยู่ตามสื่อทั่วไป
ทีมงานหวังดีนำสติ๊กเกอร์มาติดถุง
ข้อเท็จจริงการตรวจเยี่ยมประชาชนครั้งนั้น นอกจากถุงยังชีพปตท.และกฟผ.แล้ว ท่านยังมีข้าวสารที่เหลือจากการจำหน่ายสินค้าราคาถูกในงานรวมไทยสร้างชาติแฟร์ นำไปแจกด้วยโดยการแจกจะแจกคู่กับถุงยังชีพตามภาพด้านซ้าย ซึ่งถุงข้าวสารรวมไทยสร้างชาติแฟร์นี้ ใช้แจกจ่ายในพื้นที่ของจังหวัดชุมพรและสุราษฎร์ธานีจนหมด ดังนั้นในจังหวัดนครศรีธรรมราชจึงได้ใช้วิธีไปซื้อข้าวสารถุงละ5กิโลกรัม จากร้านค้าทั่วไปซึ่งมีอยู่หลายยี่ห้อ หลังจากนั้นท่าน สส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล จึงได้ไปสั่งทำ สติกเกอร์ของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ติดบนถุงข้าวสารเหล่านั้นโดยไม่ได้แจ้งให้ท่านทราบ เหตุการณ์วันนั้นเกิดจากความหวังดีของทีมทำงานท่าน สส.พิมพ์ภัทราฯได้เปิดถุงยังชีพปตท.ออกดูจึงเห็นว่า ถุงปตท.มีข้าวสารอยู่แค่ 2กิโลกรัม จึงคิดว่านำข้าวสาร5กิโลกรัมที่ท่านพีระพันธุ์ฯให้ มาแจก ใส่เพิ่มเข้าไปในถุงยังชีพ เพื่อให้ผู้ที่รับถุงยังชีพถือกลับบ้านได้อย่างสะดวกไม่ต้องถือเป็น 2ถุง คือ ถุงยังชีพ1ถุงและข้าวสารท่านพีระพันธุ์ อีกหนึ่งถุงเหมือนภาพด้านซ้ายมือ หลังจากเอาข้าวสารของท่านพีระพันธุ์ใส่ในถุงแล้ว ด้วยความหวังดีของน้องๆ อาสาสมัครที่มาช่วยงาน เห็นว่าในถุงยังชีพมีข้าวสารของท่านพีระพันธุ์อยู่ด้วย ประกอบกับสติกเกอร์ท่านพีระพันธุ์ ที่ใช้สำหรับแปะถุงข้าวสาร ยังเหลืออยู่ จึงเอาแปะเข้าไปบนถุงยังชีพด้วย
ป้อง‘พีระพันธุ์’ไม่รู้เรื่อง-ย่อมไม่ผิด
สำหรับถุงยังชีพนี้ ทางทีมงานท่าน สส. พิมพ์ภัทรา ฯ ก็เป็นผู้ทำเรื่องขอรับการสนับสนุนจาก ปตท. โดยตรง จะเห็นได้ว่ากระบวนการ ในการจัดเตรียมและแจกถุงยังชีพในครั้งนี้ ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย และไม่ได้มีเจตนาที่แสวงหาประโยชน์จากเรื่องนี้แต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ว่า ในพื้นที่ของจังหวัดชุมพรและจังหวัดสุราษฎร์ธานีซึ่งมีการแจกถุงยังชีพในวันดังกล่าวเหมือนกัน แต่ไม่มีที่ใดมีการแปะสติกเกอร์ของท่านบนถุงยังชีพแม้แต่ถุงเดียว ซึ่งถ้าท่านมีเจตนาจะแสวงหาผลประโยชน์จากกระทำการดังกล่าวแล้ว จะต้องสั่งการให้ทั้งสองที่นั้นทำเหมือนเหมือนกัน เหตุการณ์นี้ ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่องพิภพมัจจุราช ที่เคยดูตอนเด็กๆ มีอยู่ตอนนึงที่มีตัวละคร ในเรื่องไปเหยียบมดหรือแมลงโดยไม่ได้ตั้งใจและเจ้าตัวก็ไม่ทราบเพราะไม่เห็น เจ้ามดหรือแมลงนี้ก็นำความไปฟ้องยมบาล พอท่านได้สืบสาวเรื่องราวต่างๆ ท่านก็ตัดสินว่าตัวละครตัวนั้นไม่มีความผิดเนื่องจากไม่มีเจตนาและไม่ได้ทราบการกระทำนั้น ให้มดหรือแมลงนั้นอโหสิกรรมให้ แต่ในเรื่องถุงยังชีพนี้ยิ่งกว่านั้นอีกครับ คือ คนที่เหยียบมดหรือแมลงนั้น ท่านพีระพันธุ์ ก็ไม่รู้จัก แล้วก็ไม่รู้เรื่องด้วย เรื่องนี้ถ้าให้ยมบาลตัดสิน ท่านคงพ้นผิดและไม่บาปเพราะไม่ใช่การกระทำของท่าน ในทางตรงกันข้ามการนำข้าวสารไปแจก เป็นเจตนาที่ดีย่อมเป็นกุศลกรรมคุ้มครองให้ท่านปลอดภัยจากมารทั้งหลายทั้งปวง ถ้ามาตรฐานจริยธรรมมาจากรากฐานทางคุณธรรมของมนุษย์แล้ว ผมว่าท่านก็ไม่ผิดแน่นอนครับ
‘พิธา’ลั่นอีก9ปีจะเป็นนายกฯที่ดีที่สุด
ที่ จ.ขอนแก่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ลงพื้นที่ปราศรัยช่วยนางสาวเบญจมาภรณ์ ศรีละบุตร ผู้สมัครนายกเทศมนตรีเทศบาลนครขอนแก่น ที่สถานีขนส่งจังหวัดขอนแก่นแห่งเก่า โดยนายพิธา กล่าวว่า คิดฮอตหลายๆ ตนรู้สึกตื่นเต้นเหลือเกินที่ได้มาเยี่ยมพ่อแม่พี่น้องชาวขอนแก่น วันนี้มาแบบรวดเดียวจบ4เหตุผลว่า ทำไมพี่น้องชาวขอนแก่นต้องเลือกผู้สมัครจากพรรคประชาชน ได้แก่ เหตุผลแรก เป็นเพราะตัวผู้สมัครที่เป็นวิศวกรเป็นนายก อดีตการเมือง อดีต สจ.อย่างนู้นอย่างนี้กันมานาน ถึงเวลาที่คนขอนแก่นจะได้บอกว่านายกเป็นวิศวกร ไม่ธรรมดา” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวว่า พอได้คุยกับผู้สมัคร ทำให้รู้เลยว่าดีเอ็นเอเป็นคนทำงาน ลงพื้นที่ตลอด 2 ปี เพราะฉะนั้น ขยันถึกทนแน่นอน พิธาฟันธง พร้อมย้ำว่า มีข้อดีที่เทศบาลนครขอนแก่นจะได้นายกที่มีความรู้ด้านวิศวกรรม เพราะงบประมาณที่เทศบาลได้มากเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ข้าราชการเอามาหลอกให้เซ็นง่ายๆ ไม่ได้ เพราะอ่านแบบเป็น ถือเป็นข้อดีที่เรามีผู้นำเป็นวิศวกร เหตุผลข้อสอง ตนประทับใจนโยบายที่ชัดเจน ตนอยากบอกว่า ปัญหาของคนขอนแก่นสามารถแก้ด้วยคนขอนแก่นได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องซ่อมถนน บริหารขยะ บำบัดน้ำ การสร้างมันสมองของคนให้เข้ามา เรื่องพวกนี้สามารถทำได้แน่นอน
นายพิธา ระบุว่า เหตุผลที่สาม เป็นเหตุผลที่พรรคอื่นไม่มี คือถ้าเลือกพรรคประชาชน จะได้ สส.อีก 3 คน มาช่วยทำงานด้วย คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะทำงานกันอย่างไร้รอยต่อ ระหว่างนายกเทศบาลกับ สส.ส่วนเหตุผลสุดท้ายคือ หากเลือกพรรคประชาชนจะได้พรรคอันดับหนึ่งของประเทศไทยในตอนนี้ แม้จะถูกตัดสิทธิ พรรคประชาชนก็ยังมี สส.เป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยอยู่ดี จะได้คนเก่งๆ จากทั่วประเทศไทยมาจัดการ ตนเชื่อว่าคนขอนแก่นมีศักดิ์ศรี ซื้อไม่ได้ แล้วกลับมาฉลองกัน ตนเดินทางหาความรู้ทั่วประเทศ อีก 9 ปี กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดของประเทศไทย
เลขาฯสภาแจงของบเหมาะสมแล้ว
ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ สส.พรรคประชาชน ออกมาแฉ สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 เพื่อสร้างและปรับปรุงโครงการที่ไม่จำเป็นหลายโครงการ มูลค่าแต่ละโครงการไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทว่า ที่มาของโครงการของบฯเหล่านี้เกิดจากการประชุมกันระหว่างประธานสภาฯ รองประธานสภาฯ และคณะผู้บริหาร รวมถึงประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญกิจการสภาผู้แทนราฎร ซึ่งดูแลบางส่วนเกี่ยวกับอาคารสถานที่ภายหลังมีการตรวจรับอาคารแล้ว โดยคิดว่าบางส่วนควรมีการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมขึ้น จึงเป็นที่มาว่าอาจจะมีการปรับปรุงในพื้นที่ต่างๆ ตามที่สำนักงานและของบประมาณไปดำเนินการ
เมื่อถามว่ามีข้อวิจารณ์ถึงความเหมาะสมเพราะบางสถานที่ ยังไม่ได้ใช้เลย เช่น ศาลาแก้ว ว่าที่ร.ต.ต.อาพัทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ได้ผ่านการหารือในที่ประชุมอย่างที่ตนบอกแล้ว ซึ่งสำนักงานได้ศึกษาเบื้องต้นแล้วจึงได้ของบประมาณไป เมื่อถามถึงการสร้างโรงหนัง 4D ที่ สส.พรรคประชาชนออกมาแฉและวิจารณ์นั้น เลขาธิการสภาฯ กล่าวว่า ห้องดังกล่าว เป็นเหมือนกับห้องสารสนเทศ เวลามาเยี่ยมชมแล้วก็จะฉายข้อมูล มีห้องฉายข้อมูล ซึ่งอาคารรัฐสภาหลังเก่าที่อู่ทองในก็มี เป็นห้องที่ทำเป็นทางต่างระดับ มีจอ เวทีสำหรับนำเยี่ยมชม
“เขาไปดูงานต่างประเทศ ก็เห็นว่าควรจะมีห้องในลักษณะให้ผู้ชมได้ดูเกี่ยวกับข้อมูลของสำนักงาน จึงออกแบบมาในลักษณะนั้น ที่ผมทราบเบื้องต้นนะครับ เวลาผู้เข้าเยี่ยมชมงาน ก็จะมีพวกผู้คนจำนวนมาก และจะเป็นห้องที่นำเสนอข้อมูลของสำนักงานเป็นห้องเฉพาะครับ” เลขาธิการสภาฯ กล่าว เมื่อถามว่า ของบในลักษณะนี้ สส.หลายคน เตรียมตัดงบแล้ว เลขาธิการสภาฯ กล่าวว่า ก็เป็นกระบวนการตามสิทธิของแต่ละท่าน สำนักงานก็ได้เสนอโครงการเหล่านี้ไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี