'ปราชญ์ สามสี'บทวิเคราะห์จากสนามอุดมการณ์สู่ระบบการศึกษา ไฟใต้ไม่ใช่เรื่องปากท้อง แต่คือสงครามหล่อหลอมเด็ก
วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี โพสต์ข้อความว่า “ไฟใต้ไม่ใช่เรื่องปากท้อง แต่คือสงครามหล่อหลอมเด็ก: บทวิเคราะห์จากสนามอุดมการณ์สู่ระบบการศึกษา”
โดย ปราชญ์ สามสี
ที่ทำให้ข้าพเจ้าสนใจเป็นอย่างมาก ก็เพราะได้อ่านบทสัมภาษณ์เชิงลึกกับ ดร.ซาช่า เฮลบาร์ต (Dr. Sascha Helbardt) นักวิจัยชาวเยอรมัน ผู้ศึกษาโครงสร้างความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งที่ท่านนำเสนอไว้นั้นมีแง่มุมที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเชิงโครงสร้างอุดมการณ์ของกลุ่ม BRN และการประเมินประสิทธิผลของนโยบายรัฐไทยที่เกี่ยวข้อง
บางประเด็นก็ตรงใจข้าพเจ้ามาก เพราะมันทำให้เห็นชัดว่า แนวโน้มของระบบการศึกษา (trend of education) กำลังเปลี่ยนไป และการที่เยาวชนจำนวนไม่น้อยถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่โน้มเอียงไปในทางหัวรุนแรงนั้น...มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
หากท่านมีเวลา ข้าพเจ้าอยากแนะนำให้ลองอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มจากลิงก์ที่แนบไว้ เพราะมันจะทำให้ท่านเข้าใจมากขึ้นว่า “ต้นตอ” ของขบวนการนี้...มันอยู่ใน “ระบบการศึกษา” อย่างที่เราอาจคาดไม่ถึง
---
ความเห็นจากนักวิจัย: ความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องปากท้อง หากคือสงครามทางอุดมการณ์
ดร.ซาช่าชี้ว่า ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา รัฐไทยใช้แนวทางแบบ “รัฐรวมศูนย์” ในการแก้ปัญหาไฟใต้ โดยเชื่อว่า “ความยากจน” และ “ความเหลื่อมล้ำ” คือสาเหตุของความรุนแรง จึงเน้นการกระจายทรัพยากรและพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ถูกมองว่าด้อยโอกาส
แนวคิดนี้สืบเนื่องมาจากยุทธศาสตร์ปราบปรามคอมมิวนิสต์ในอดีต โดยเฉพาะนโยบาย 66/23 ที่เคยยุติความขัดแย้งในยุคนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ในกรณีของ BRN — องค์กรใต้ดินที่มีโครงสร้างแบบปิด และขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์ชาตินิยมปัตตานีผสมแนวคิดญิฮาด — กลับไม่ตอบสนองต่อนโยบายรัฐแบบเดิมๆ เลย
> ดร.ซาช่าเน้นว่า กลุ่ม BRN ไม่ได้คัดเลือกเด็กยากจน แต่เลือกเยาวชนที่ “มีศักยภาพสูง” ทั้งทางปัญญา ทักษะภาษา และความสามารถในการเป็นผู้นำ
และสิ่งที่น่าตกใจคือ การบ่มเพาะแนวคิดเหล่านี้ มักเกิดขึ้นใน “โรงเรียนท้องถิ่น” ที่รัฐเข้าไม่ถึง โดยเฉพาะโรงเรียนศาสนา ที่กลายเป็นพื้นที่ของการสร้างฐานอุดมการณ์อย่างแนบเนียนและต่อเนื่อง
---
เด็กชนชั้นกลาง: จุดเปราะบางของสงครามอุดมการณ์
สิ่งที่ข้าพเจ้าขอขยายความเพิ่มเติม คือการทำความเข้าใจกลุ่ม “เยาวชนชนชั้นกลาง” ซึ่งกำลังกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของทั้งขบวนการใต้ดิน และกลุ่มผู้มีอิทธิพลจากต่างประเทศ
เยาวชนกลุ่มนี้มีต้นทุนชีวิตดี — มีการศึกษา มีช่องทางเข้าถึงทุน ครอบครัวมั่นคง และมีความฝันอยากเปลี่ยนโลก แต่สิ่งที่ขาด คือ “ภูมิคุ้มกันทางอุดมการณ์” และ “การรู้เท่าทันเกมโครงสร้างทางการเมือง”
---
มาสโลว์: ทำไมเด็กชนชั้นกลางจึงตกเป็นเป้าหมาย?
หากอธิบายด้วย ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs) ซึ่งแบ่งความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ขั้น ได้แก่:
1. ความต้องการพื้นฐานทางกายภาพ (อาหาร น้ำ ที่พักอาศัย)
2. ความมั่นคงปลอดภัย (ชีวิตมั่นคง งานมั่นคง)
3. ความรักและความเป็นเจ้าของ (กลุ่ม เพื่อน ครอบครัว)
4. การได้รับการยอมรับ (ชื่อเสียง ความเคารพ)
5. การเติมเต็มตนเอง (ความหมายในชีวิต อุดมการณ์ ความฝัน)
คนยากจนส่วนใหญ่อยู่ในขั้นที่ 1–2 คือแสวงหาแค่ปัจจัยพื้นฐานเพื่อความอยู่รอด แต่ เด็กชนชั้นกลาง ที่พื้นฐานชีวิตดีแล้วนั้น จะเริ่มมองไปยังขั้นที่ 4 และ 5 — พวกเขาอยากเป็นที่ยอมรับ อยากเปลี่ยนแปลงสังคม อยากมีอุดมการณ์ และต้องการ “ความหมายในชีวิต”
และเมื่อพวกเขา “ขาด” ความรู้หรือภูมิคุ้มกันที่เหมาะสม สิ่งที่เติมเต็มความฝันเหล่านี้ได้ก็คือ อุดมการณ์จากภายนอก — โดยเฉพาะอุดมการณ์ที่ท้าทายระบบเดิม
---
BRN เข้าใจเด็กกลุ่มนี้ดี
BRN ไม่ได้เลือกเด็กจากหมู่บ้านที่ขาดแคลนที่สุด แต่เลือกเด็กที่ “มีฝัน มีพลัง และมีศักยภาพเป็นผู้นำ” เพื่อปั้นให้เป็นแกนนำในท้องถิ่น — แกนนำที่สามารถแปรเปลี่ยนทิศทางความคิดของชุมชนทั้งชุมชนได้
---
บทเรียนจากตะวันตก: การปั้นผู้นำผ่าน NGO
ในอีกด้านหนึ่ง ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา องค์กรจากฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ก็ใช้วิธี “ปลูกฝัง” ผู้นำแห่งอนาคตอย่างแนบเนียน ผ่านทุน NGO และโครงการที่ดูดีในนามของ “ประชาธิปไตย” และ “สันติภาพ”
พวกเขาไม่ได้เลือกเด็กที่ลำบาก แต่กลับเลือกเด็กที่มีพื้นฐานดี — ลูกคนรวย ลูกผู้นำทางธุรกิจ — เพราะรู้ว่าเด็กเหล่านี้จะกลายเป็น “เสียงของสังคม” ในอนาคต เป็น opinion leader หรือแม้กระทั่งเป็นนักการเมือง
พวกนี้เปรียบเสมือนเป็นยอดพีระมิด
เมื่อเด็กเหล่านี้ถูกปลูกฝังแนวคิด “กระจายอำนาจ” (decentralize) โดยไม่สนใจรากเหง้าทางประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมของชาติ อีก 30 ปีข้างหน้า สังคมก็จะเปลี่ยนไปในแบบที่ “เขา” ออกแบบไว้หมดแล้ว
---
กลไกการเปลี่ยนแปลงเริ่มจากเด็กที่มีฝัน
การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากผู้หิวโหยอีกต่อไป แต่เริ่มจาก “ผู้มีฝัน” ที่ยังรู้ไม่พอ
เด็กเหล่านี้จะถูกผลักดันเข้าสู่กิจกรรม เช่น:
ทุนฝึกอบรมต่างประเทศ
โครงการแลกเปลี่ยน
เครือข่ายเยาวชนระดับภูมิภาค
กิจกรรม Mock Parliament ที่ให้ลองเป็น “นักการเมือง” ตั้งแต่วัยเรียน
คำถามที่ปลูกฝังผ่านกิจกรรมเหล่านี้คือ:
> “ถ้าคุณเป็นผู้นำ... คุณจะเปลี่ยนประเทศยังไง?”
“คุณกล้าที่จะตั้งคำถามกับระบบเดิมไหม?”
“คุณจะกล้าต้านความเชื่อของพ่อแม่ไหม ถ้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรม?”
คำถามเหล่านี้ปลุก “ความกล้าในแบบเปลือยเปล่า” — ซึ่งหากไม่ได้รับการชี้นำที่ถูกต้อง ก็จะกลายเป็นดาบที่หันมาแทงระบบของชาติเอง
---
ทั้งหมดนี้คือข้อคิดจากบทความของ ดร.ซาช่า เฮลบาร์ต ที่ข้าพเจ้าอยากนำมาแลกเปลี่ยนในมุมมองของตนเอง
ใครสนใจสามารถอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่นี่ครับ:
https://www.isranews.org/.../spe.../137255-saschabrn.html...
ขอบคุณเนื้อหา : ปราชญ์ สามสี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี