เปิดผลสำรวจ “นิด้าโพล” ปชช.ร้อยละ 83 ยอมรับกำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ จี้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือด่วน ทำตามสัญญาแจกเงินหมื่นเฟส 3 และเฟส 4 ด้าน “ซูเปอร์โพล” เผยคนเบื่อการเมืองสุดๆ ประชาชนเหมือนถูกหลอกซ้ำซาก เย้ยทำไม่ได้เหมือนที่พูด มุ่งแย่งชิงผลประโยชน์
เมื่อวันที่ 25พฤษภาคม2568 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น“นิด้าโพล”ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง“วิกฤติเศรษฐกิจกับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส3และเฟส 4” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 7-8พฤษภาคม2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพและรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น1,310หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจกับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต10,000บาท เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนี้ พบว่า ร้อยละ83.66 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน ร้อยละ9.70 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องหาทางแก้ไข แต่ไม่เร่งด่วน ร้อยละ4.20 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ไม่น่าวิตกกังวลใด ๆ ร้อยละ2.44 ระบุว่า ไม่ได้เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ
สำหรับการเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจของประชาชนในขณะนี้ พบว่า ร้อยละ 47.17 ระบุว่า เผชิญกับ วิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเร่งด่วน ร้อยละ 29.47 ระบุว่า เผชิญกับ วิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่สามารถรับมือได้ด้วยตนเอง ร้อยละ15.80 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ไม่เร่งด่วน ร้อยละ7.56 ระบุว่า ไม่ได้เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจใดๆ ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต10,000บาท เฟส 3 ของรัฐบาลให้กับประชาชนกลุ่มอายุ 16-20ปี ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน พบว่า ร้อยละ 57.25 ระบุว่า ดำเนินนโยบายต่อไปในปีนี้ ตามที่ได้ประกาศไว้ ร้อยละ 33.90 ระบุว่า ควรหยุดการดำเนินการในนโยบายนี้ได้แล้ว ร้อยละ7.63 ระบุว่า เลื่อนการดำเนินนโยบายไปในปี2569 ร้อยละ 1.22 ระบุว่า เลื่อนการดำเนินนโยบายไปในปี2570
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส4 ของรัฐบาลให้กับประชาชนกลุ่มอายุ21-59 ปี ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน พบว่า ร้อยละ 62.98 ระบุว่าดำเนินนโยบายต่อไปในปีนี้ ตามที่ได้ประกาศไว้ ร้อยละ26.95 ระบุว่า ควรหยุดการดำเนินการในนโยบายนี้ได้แล้ว ร้อยละ8.47ระบุว่า เลื่อนการดำเนินนโยบายไปในปี2569 ร้อยละ1.60 ระบุว่า เลื่อนการดำเนินนโยบายไปในปี2570 ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนหากนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ตัดสินใจยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000บาท พบว่า ร้อยละ54.12ระบุว่า ไม่โกรธเลย ร้อยละ 17.41 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 15.27 ระบุว่า โกรธมาก ร้อยละ 13.05 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ ร้อยละ0.15 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “เบื่อการเมือง เหมือนถูกหลอก” ที่จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 20-24พฤษภาคม2568 โดยใช้ทั้งวิธีวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น1,024 ตัวอย่าง พบว่า ส่วนใหญ่หรือประชาชนร้อยละ 81.9 ระบุว่ารู้สึกเบื่อการเมือง ชี้ให้เห็นถึงภาวะ “วิกฤตศรัทธาทางการเมือง” (Political Disillusionment) ซึ่งเกิดจากการรับรู้ซ้ำซากถึงพฤติกรรมของนักการเมืองที่ไม่ต่างจากอดีต ซึ่งสะท้อนสภาวะ การหมดศรัทธา (Cynicism) ต่อระบบการเมืองในระดับสูงที่สุดในรอบหลายปี นอกจากนี้ ประชาชนยังรู้สึกว่า “เหมือนถูกหลอกซ้ำซาก” ร้อยละ75.4และ“การเลือกตั้งไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร” ร้อยละ 68.8% สามารถอธิบายได้ผ่านกรอบแนวคิดสะท้อนความป่วยอ่อนล้าประชาธิปไตย (Democratic Fatigue Syndrome) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อประชาชนเข้าใจว่าการเมืองเป็นเครื่องมือที่ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้อีกต่อไป
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า ที่น่าพิจารณาคือ คำตอบที่ว่าการเมืองคือ “เกมแย่งชิงผลประโยชน์” ร้อยละ 63.7 และ “รู้สึกถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมือง” ร้อยละ 62.2 นอกจากนี้ระบุ “ไม่เห็นอนาคตใหม่ที่ดีทางการเมือง” ร้อยละ 54.7 ชี้ให้เห็นถึงการรับรู้ว่าการเมืองถูกผูกขาดโดยชนชั้นนำ (Elite Capture) และประชาชนเป็นเพียงผู้ถูกใช้ในการเลือกตั้ง ไม่ใช่ผู้มีบทบาทในการตัดสินนโยบายอย่างแท้จริง ที่น่าสนใจคือ ข้อเสนอแนะจากประชาชนต่อการเมืองสะท้อนถึงความคาดหวังของประชาชนต่อ “การเมืองคุณธรรม” (Ethical Politics) โดยประชาชนร้อยละ 82.7 ต้องการให้นักการเมือง “ทำให้ได้ตามที่พูด” ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของ Accountability หรือความรับผิดชอบต่อคำมั่นสัญญาทางการเมือง
ผลโพลยังแสดงว่าประชาชนร้อยละ 80.6 ต้องการ “ผลงานที่จับต้องได้” ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิด Result-Oriented Governance หรือการบริหารที่เน้นผลลัพธ์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์หรือการสร้างข่าวประชาสัมพันธ์ ร้อยละ 74.1 ระบุ “โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่โกง” ร้อยละ 59.1 ระบุ “จริงใจกับประชาชนให้มากขึ้น” และร้อยละ 54.8 ระบุ “เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ ประชาชนร่วมแก้ปัญหา”
อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังต่อ “ความโปร่งใส” (Transparency) และ “ความจริงใจ” ยังเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สำคัญในการสร้าง ความชอบธรรมของรัฐบาล (Legitimacy) และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองกับประชาชนรากหญ้า ข้อเสนอแนะให้ “เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วม” ร้อยละ 54.8 คือการส่งสัญญาณว่าประชาชนกำลังแสวงหา การเปลี่ยนผ่านเชิงรุ่น (Generational Political Shift) และระบบที่เปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมของเยาวชนและสังคมพลเมือง การที่ร้อยละ42.8 เห็นว่า นักการเมืองและข้าราชการ “พอ ๆ กัน” สะท้อนให้เห็นถึงภาวะที่เรียกว่า Neutralized Trust Deficit หรือช่องว่างแห่งความไม่ไว้วางใจที่เท่าเทียมกันระหว่างสองฝ่าย ร้อยละ 17.9 ระบุ “ข้าราชการดีกว่า” ร้อยละ 15.6 ระบุ “นักการเมืองดีกว่า” ขณะเดียวกัน ยังมีถึงร้อยละ 23.7 ที่ไม่มีความเห็นใดๆ ซึ่งอาจตีความได้ว่าเกิด ภาวะเฉยเมยทางการเมือง (Political Apathy) หรือไม่เห็นประโยชน์ในการให้ความเห็นเพราะไม่มีความแตกต่าง
‘ผลโพลนี้อาจสะท้อนภาพรวมของระบบราชการและระบบการเมืองไทยที่ยังไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือในฐานะ “ตัวแทนประชาชนที่แท้จริง” และยังไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานของสาธารณชนได้อย่างเป็นรูปธรรม การสำรวจครั้งนี้ตอกย้ำความจำเป็นในการ “ปฏิรูปการเมืองเชิงโครงสร้าง”และ“ฟื้นฟูศรัทธาในระบบประชาธิปไตย”ผ่านการสร้างกลไกใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งความโปร่งใส ประสิทธิภาพ และการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกระดับ ผลโพลนี้จึงไม่ใช่เพียงการสะท้อน “ความเบื่อหน่าย” แต่คือ “ข้อเรียกร้อง”ที่มีฐานมาจากความรู้สึกที่ลึกซึ้งของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย”ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี