"สภาฯ"ไฟเขียว 3 วาระรวด เปลี่ยนชื่อ"สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์"เป็น"สำนักงานพระคลังข้างที่" ด้าน"ปชน."ข้องใจ"ครม."เร่งรัดผิดปกติ-ใช้วิธีพิเศษ แนะควรรอบคอบ เจอ"จุติ"งัดข้อมูลโต้ยิบ ไร้เคลือบแคลงสงสัย กม.ฉบับนี้ ยัน"สถาบัน"ทำเพื่อประเทศ ประชาชนได้ประโยชน์ ลั่นเชื่อ-เคารพ"ชาติ ศาสน์ กษัตริย์"
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... โดย นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นเสนอหลักการว่า เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2561 เพื่อเปลี่ยนชื่อสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็น สำนักงานพระคลังข้างที่ และโอนกิจการของสำนักพระราชวังเฉพาะส่วนของพระคลังข้างที่ไปเป็นส่วนของสำนักงานพระคลังข้างที่ โดยที่พระคลังข้างที่เป็นหน่วยงานที่มีภาระหน้าที่ดูแลพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่โบราณกาล ซึ่งต่อมามีการจัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เพื่อทำหน้าที่แทน เพื่อเป็นการสืบทอดความเป็นมาให้สอดคล้องกับโบราณราชประเพณี จึงสมควรเปลี่ยนชื่อสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นสำนักงานพระคลังข้างที่และสมควรรวมกิจการสำนักพระราชวังเฉพาะ ในส่วนที่เกี่ยวกับพระคลังข้างที่เดิมเข้ามาบริหารจัดการในส่วนของพระคลังข้างที่ตาม พ.ร.บ.นี้ และเพื่อให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงมีมติให้แจ้งสภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณาด้วยคณะกรรมาธิการเต็มสภาฯ
ด้าน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า เมื่อตนทราบว่า ครม.จะเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ตนให้ความสนใจเป็นพิเศษเนื่องจากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไปเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของแผ่นดินและเป็นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้วมีการประเมินกันไว้ว่าทรัพย์สินในส่วนนี้มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านบาท ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ที่บัญญัติขึ้นตั้งแต่ยุครัฐบาล คสช.ปี 2561 ส่งผลให้การบริหารจัดการและดูแลพระราชทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ชื่อเรียก Crown Property หรือทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เคยเรียกกันว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในรัชสมัยก่อนหน้านี้ ก็ได้เปลี่ยนเป็นทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ และทรัพย์สินส่วนพระองค์ ก็เปลี่ยนเป็นคำว่าทรัพย์สินในพระองค์ รวมถึงการดูแลพระราชทรัพย์ทั้ง 2 ส่วนก็เปลี่ยนไปด้วย คือ ในรัชสมัยก่อนหน้านี้ การดูแลทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จะแยกกันกำกับดูแลจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ คือแยกกันดู การดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์จะเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
"แต่การดูแลทรัพย์สินของสถาบันฯ นั้น จะดูแลโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ผลของกฎหมายยุค คสช.ทำให้เส้นแบ่งนี้เลือนลงไป โดยเปลี่ยนเป็นสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยดูแลและบริหารพระราชทรัพย์ทั้ง 2 ส่วน ไม่ว่าทรัพย์สินส่วนพระองค์ หรือทรัพย์สินที่เป็นส่วนของสถาบันฯ ล้วนแต่ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย พระองค์จะทรงมอบหมายให้สำนักงานฯ บุคคลใด หน่วยงานใด เป็นผู้จัดการพระราชทรัพย์ทั้ง 2 ส่วนก็ได้" นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับพระราชทรัพย์ในส่วนของสถาบันฯ นั้น เราจะมีวิธีบริหารจัดการดูแลอย่างไร ให้สถาพรที่สุดเพื่อธำรงไว้ซึ่งพระเกียรติยศและพระราชสถานะ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ไม่ใช่ประเด็นที่จะมาถกเถียงกันในวันนี้ เพราะร่างกฎหมายที่รัฐบาลเสนอมาวันนี้ไม่ได้มีเนื้อหาที่จะกระทบ กับการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการพระราชทรัพย์ทั้ง 2 ส่วน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญที่ตนได้กล่าวมานี้นั้น ได้ทำไปเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่ยุครัฐบาล คสช. ซึ่งสาระสำคัญจริงๆ ของกฎหมายฉบับนี้เป็นเพียง การเปลี่ยนชื่อจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ตามกฎหมายปี 2561 ไปเป็นสำนักงานพระคลังข้างที่แต่เพียงเท่านั้น
"ด้วยเหตุนี้ พวกผมไม่ได้มีประเด็นอะไรที่จะคัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ ที่รัฐบาลเสนอมา แต่ในฐานะผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง อยากให้การเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นไปตามกระบวนการนิติบัญญัติปกติ ไม่อยากให้เสนอกฎหมายฉบับนี้ด้วยกระบวนการพิเศษ เช่น การพิจารณา 3 วาระรวดผ่านกรรมาธิการเต็มสภา ให้จบเพียงแค่ 1 วัน ที่ ครม.เสนอมา เพราะถ้ายิ่งเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันที่เป็นพระประมุขของชาติ สภาของเรายิ่งต้องควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย หรือการตั้งคำถามในหมู่พี่น้องประชาชน ยืนยันว่าผู้แทนราษฎรของพรรคประชาชน จะทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เราจะระมัดระวังไม่ให้กฎหมายใดถูกติฉินนินทา หรือมีข้อครหาได้ว่า มีใครที่มีความพยายามทำให้หลุดพ้น ไปจากกรอบที่ว่านี้ ที่พระมหากษัตริย์ต้องทรงปกเกล้า แต่ไม่ปกครอง อันเป็นการรักษาพระราชสถานะของประมุข ให้ปราศจากจากการเมืองอย่างแท้จริง ถึงแม้พวกผมจะสามารถรับหลักการในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้ แต่ก็ไม่อาจเห็นด้วยกับกระบวนการที่ ครม.เสนอให้มีการใช้คณะกรรมาธิการเต็มสภา เพื่อเร่งรัดกระบวนการในการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ ผมขอเสนอประธานสภาฯ ตามข้อบังคับการประชุมที่ 120 วรรค 2 อาจจะมีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรที่วรรคตอนไม่ชัดเจน ที่เขียนไว้ว่าเมื่อ ครม.ร้องขอ หรือ สส.20 คนเสนอญัตติ และที่ประชุมอนุมัติ อยากเสนอให้ประธานทำหน้าที่วินิจฉัยให้เด็ดขาด ว่าคำว่าและที่ประชุมอนุมัตินี้ บังคับใช้กับกรณีที่ ครม.เสนอมาด้วยหรือไม่ ต้องเกิดความชัดเจนในเรื่องนี้ เพื่อให้การผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้มีความรอบคอบและรัดกุม" นายณัฐพงษ์ กล่าว
ด้าน นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อภิปรายว่า ตนเคารพความเห็นของผู้นำฝ่ายค้าน แต่ตนโตมาในระบบที่เชื่อ และเคารพในอุดมการณ์ ชาติ ศาสน์กษัตริย์ สำคัญต่อระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างยิ่ง ตนไม่เคลือบแคลงใน พ.ร.บ.ฉบับนี้แม้แต่น้อย ซึ่งเนื้อหากฎหมายฉบับนี้หลายคนอาจจะเห็นว่าเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ทั้งหมดเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาติ และประชาชน คำที่ว่าบริหารทรัพย์สินตามพระราชอัธยาศัย
"ประวัติศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า คนไทยทั้งประเทศได้ประโยชน์ เนื่องจากรัฐบาลอาจจะมีงบประมาณไม่เพียงพอ ดูแลไม่ทั่วถึง โดยยกตัวอย่างเด็กชาติพันธุ์ตามตะเข็บชายแดน จำนวน 37,000 คน พระมหากษัตริย์ก็ดูผ่านมูลนิธิ และพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์" นายจุติ กล่าว
นายจุติ กล่าวต่อว่า ส่วนเครื่องพิสูจน์ว่าการบริหารงานนั้นโปร่งใสหรือไม่นั้น จะเห็นได้จากกรณีที่โรงพยาบาลสมเด็จยุพราชเดชอุดมเกิดเหตุไฟไหม้ รัฐบาลยังไม่ได้ส่งอะไรไปช่วย แต่ท่านได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ไปช่วยเหลือแล้ว 20 กว่าล้าน เพื่อให้โรงพยาบาลกลับมาเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและอำเภอใกล้เคียง นอกจากนี้ การบริหารตามพระราชอัธยาศัย มีบันทึกไว้ของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขว่า โรงพยาบาลและสถานราชทัณฑ์ 44 แห่งได้รับพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ 2,852 ล้านบาท และสิ่งที่พระองค์ไม่ประสงค์ให้คนไทยรู้คือ รถตรวจเชื้อและวิเคราะห์ผลโควิด กว่ากระทรวงสาธารณสุขจะประกาศทีโออาร์ คนไทยคงติดเชื้อตายกันเป็นเบือ ท่านทอดพระเนตรเห็นว่าเหตุการณ์เช่นนั้นจะเกิดขึ้นหากไม่เข้ามาช่วยเหลือ ประเทศมหาอำนาจที่ผลิตวัคซีนและยาแก้โรคติดต่อมีคนเสียชีวิตมากกว่าคนไทย 25 เท่า มีคนติดเชื้อโควิด มากกว่าประเทศไทย 35 เท่า ต้องขอบคุณกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุข แพทย์ พยาบาล ทหารที่ช่วยให้วิกฤตดับลงไปได้
"มีใครทราบหรือไม่ว่า รถเก็บเชื้อโควิด สามารถเก็บเชื้อจากคนไทยได้ 313,000 คน ซึ่งมีรถพระราชทาน 20 คัน มีรถขนด่วนภายใน 3 ชั่วโมง ช่วยจำกัดการกระจายของโรคได้อย่างรวดเร็ว เงินกี่พันล้านที่รักษาประโยชน์ของคนไทยไว้ได้ พ.ร.บ.นี้ ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อเฉยๆ แต่ธำรงไว้ซึ่งความที่ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข พิสูจน์แล้วว่า ไม่สงสัยเคลือบแคลงในกฎหมายฉบับนี้ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนแน่นอน" นายจุติ กล่าว
จากนั้นที่ประชุมลงมติ เห็นชอบให้ตั้งกรรมาธิการเต็มสภาฯ ด้วยคะแนนเสียง 451 เสียง งดออกเสียง 2 และลงมติให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวในวาระ 2 และ 3 ต่อเนื่อง ด้วยคะแนนเสียง 454 คน งดออกเสียง 2 คน โดยไม่มีกาาลงคะแนนเสียงไม่เห็นชอบ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี