9 มิ.ย. 2568 นายภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Phil Saengkrai” เนื้อหาดังนี้
อาจารย์พวงทองตั้งคำถามว่ากัมพูชามีไม้เด็ดอะไรในทางกฎหมาย ทำไมถึงจะกลับไปศาลโลก
เป็นการตั้งประเด็นที่ตรงเป๊ะ และเป็นคำถามที่ผมคิดมาตลอดสัปดาห์
ลองคิดง่ายๆ ในเชิงยุทธศาสตร์ กัมพูชาท้าไทยไปศาลโลก ถ้าเขาไม่ประเมินแล้วว่ามีโอกาส "ชนะ" อยู่บ้าง เขาก็คงไม่กล้าทำ หากข้อต่อสู้ของไทยน่าจะชนะขาดลอยแน่ๆ ไทยก็แค่ตอบตกลงจะไปศาล ไปเพื่อให้กัมพูชาแพ้แบบขาดลอย ซึ่งก็คงไม่ดีต่อรัฐบาลกัมพูชาหรือให้นายกฮุน มาเน็ต ไม่ใช่แค่ความนิยมจะลด แต่กระแสในประเทศอาจจะตีกลับด้วยซ้ำ
หรือตัวเลขของพื้นที่พิพาทที่กัมพูชาจะไปฟ้องศาลก็ดูเหมือนคิดวางแผนมาอย่างดี คือ 3 ปราสาท บวก พื้นที่ช่องบก ชวนให้คิดว่า กัมพูชาอาจจะประเมินแล้วว่า อย่างน้อยที่สุด เขาน่าจะชนะ 2 ใน 4 หรือ 1 ใน 4 ซึ่งแค่นี้ก็สมประโยชน์แล้ว นำไปสร้างผลทางการเมืองภายในประเทศ สร้างความนิยมต่อได้แล้ว
ผมจึงสันนิษฐานว่ากัมพุชาวางแผนทางกฎหมายมาอย่างดีและยาวนาน อาจจะมีการปรึกษาทนายต่างประเทศที่เชี่ยวชาญการฟ้องคดีในศาลโลกด้วย ซึ่งอาจจะเป็นทีมทนายชุดเดิมที่ให้คำปรึกษาในคดีพระวิหาร มีอาจารย์ชาวฝรั่งเศส ทนายชาวอังกฤษ และทนายชาวอเมริกัน เพราะคุ้นเคยกับหลักฐานดีอยู่แล้ว ผมลองไปค้นข้อมูลพบว่า รัฐมนตรีคนหนึ่งของกัมพูชาในคณะรัฐมนตรีเคยทำปริญญาเอกกฎหมายระหว่างประเทศกับอาจารย์ชาวฝรั่งเศสในทีม (Sorel) และพบว่า หลังคดีพระวิหาร ได้มีการพระราชทานเครื่องราชฯ ให้ทนายชาวอเมริกัน (Bundy) ซึ่งปัจจุบันอยู่สิงคโปร์ด้วย ซึ่งทั้งสองท่านนี้ มีประสบการณ์ในการฟ้องคดีในศาลระดับระหว่างประเทศมาอย่างยาวนาน
หากจะถามว่ากัมพูชามีไม้เด็ดอะไร คำตอบในวันนี้ ไม่ง่ายเลย เพราะในคดีเกี่ยวกับดินแดนหรือเขตแดนในศาลโลก ปัจจัยชี้ขาดแพ้ชนะมักจะอยู่ที่พยานหลักฐานเป็นสำคัญ แม้จะมีสนธิสัญญาที่ปักปันเขตแดนไว้แล้ว ก็จะต้องตีความ ซึ่งก็ต้องอาศัยพยานหลักฐานตั้งแต่ชั้นการยกร่าง เอกสารต่างๆ ขณะที่ลงนาม เรื่อยมาจนถึงทางปฏิบัติของรัฐภาคีที่เกิดขึ้นหลังจากสนธิสัญญาเริ่มมีผลใช้บังคับ เหล่านี้ต้องนำมาเป็นเครื่องมือตีความทั้งสิ้น เพื่อโน้มน้าวให้ศาลเชื่อว่าการตีความนั้นถูกต้องเหมาะสม ในการตัดสินคดีของศาลโลก ศาลมีแนวโน้มที่จะเปรียบเทียบว่าข้อต่อสู้หรือพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์หรือจำเลยมีน้ำหนักมากกว่ากัน และพิจารณาเป็นกรณีๆ ดังนั้น ใครหาหลักฐานได้มากกว่า คุณภาพดีกว่า สามารถเข้าถึงเอกสารโบราณ จดหมายเหตุได้มากกว่า ก็มีโอกาส "ชนะ" คดีมากกว่า
อาจารย์กฎหมายระหว่างประเทศของผม ซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานศาลโลก ก็อธิบายไว้แบบนี้ในตำราภาษาญี่ปุ่นปี 2023 (ในภาพ) หากคดีไปสู่ศาลในช่วงนี้ ศาลก็อาจจะใช้แนวทางนี้ในการวินิจฉัย (บทบาทของประธานศาลในกระบวนพิจารณาและการทำคำพิพากษา เดี๋ยวจะเล่าในครั้งหน้า)
ดังนั้น ตราบใดที่กัมพูชายังไม่ยื่นฟ้องจริงๆ เราไม่อาจรู้เลยว่าเขาไปได้หลักฐานเด็ดอะไรมา
แต่สิ่งที่พูดได้แน่ๆ คือ นักการเมืองระดับสูงของไทยอาจจะต้องระมัดระวังเรื่องการพูดเกี่ยวกับเขตแดนไทยกัมพูชามากยิ่งขึ้น ต้องไม่พูดอะไรในทำนองที่จะทำให้ไทยเสียเปรียบในทางกฎหมาย เพราะคำพูดต่อสาธารณะก็ดี คำพูดกับทางกัมพูชาโดยตรงก็ดี อาจจะมีผลผูกพันประเทศไทย หรืออาจจะถูกนำไปใช้ต่อได้ ต้องระวังไม่ให้คำพูดเหล่านี้กลายเป็นหลักฐานเด็ดของฝ่ายกัมพูชา
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.facebook.com/photo?fbid=10165100840204989&set=a.143967509988
043...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี