‘กมธ.การทหารฯ สว.’จัดเสวนาเราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร ‘คำนูณ’ฉะ ICJ เป็นฆาตกรฆ่าคนกว่าครึ่งศตวรรษ พิพากษาเพี้ยนปิดปากไทย ยันต้องไม่ไปศาลโลกเด็ดขาด โอกาสชนะมีน้อย บอกรัฐบาล ทหารในพื้นที่เจ็บปวด 2 พ่อลูก‘ฮุน’พูดทุกวัน แนะ‘นายกรัฐมนตรี’ไม่อยากเห็นท่าทีผู้นำอ่อนเกินไป ด้าน‘ดุลยภาค’ชี้ช่อง ต้องทำให้คนทั้งโลกเห็น แนวคิด‘ฮุน เซน-ฮุน มาเนต’อันตราย ตกขอบโลก ก่อให้เกิดสงคราม แนะรัฐบาลตอบโต้ทุกมิติ
13 มิถุนายน 2568 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.)การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา จัดเสวนาในหัวข้อ “การถกแถลงเพื่อรักษาแผ่นดินไทย : เราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร” โดยเชิญวิทยากรคือ 1.นายวีพันธุ์ มาไลยพันธุ์ อดีตคณะบดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้เชี่ยวชาญด้านปราสาทต่างๆ 2.นายคำนณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา 3.นายดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ด้านเอเชียตะวันออกเชียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ 4.นายวันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มาแลกเปลี่ยนความเห็นถึงทางออกของสถานการณ์ขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. ในฐานะประธาน กมธ. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่าหลัง กมธ.การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ประณามกัมพูชาที่ไร้ความจริงใจในฐานะเพื่อนบ้าน และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องอธิปไตยและ บูรณภาพแห่งดินแดนไทย พร้อมลงพื้นที่ในวันที่ 9-10 มิ.ย. ให้กำลังใจแก่ทหารหาญกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานีที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง อดทน เพราะมีประเด็นสะสมความตึงเครียดซับซ้อนมายาวนาน จะดำเนินการใดๆต้องความรอบคอบ รัดกุม
จากนั้น นายคำนูณ กล่าวว่า ช่วงท้ายสมัยที่ตนเป็น สว. ได้ขอเปิดอภิปรายเรื่องข้อพิพาททางทะเลเพื่อบันทึกไว้ว่า สว.เคยอภิปรายในเรื่องนี้ ผ่านไปไม่เท่าไหร่ ก็เกิดเรื่องทางบกขึ้นมาอีกแล้ว ในคณะรัฐมนตรี (ครม.)สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี เคยมีมติกำชับให้ทุกหน่วยงาน เวลาติดต่อเรื่องต่างๆ ให้ทำบันทึกสงวนความเห็นไว้ว่าประเทศไทยไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เหตุการณ์เมื่อ 28 พ.ค.2568 ตนเชื่อว่าเป็นมุกเดิมของกัมพูชาที่เขาทำมาตลอด คือการโต้แย้งเรื่องเขตแดนกับไทย แล้วเกิดเป็นเหตุกระทบกระทั่งกัน จะเป็นเหตุธรรมชาติ หรือไม่ธรรมชาติก็แล้วแต่ สุดท้ายคุยกันไม่รู้เรื่อง กัมพูชาก็พาไปศาล ICJ
ทั้งนี้ ประเทศไทย มีบทเรียน แต่ไม่ค่อยเรียนรู้ และไม่เคยจดจำอาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดซ้ำซากขึ้นมา ตนพยายามเตือนความทรงจำว่า ไทยไม่รับอำนาจศาล ICJ ถือเป็นเรื่องตลกร้ายมากที่ประเทศไทยไม่เคยได้รับอำนาจศาล ICJ นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 2489 แล้วทำไมเราต้องแพ้ถึง 2 ครั้ง โดยก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มีองค์การสันนิบาตชาติ หรือศาลโลกเก่า (PCIJ) ประเทศไทยประกาศรับอำนาจศาลโลกเก่านี้ โดยการรับอำนาจจะทำได้คราวละ 10 ปี และต่ออายุ ประเทศไทยต่ออายุไป 2 ครั้ง ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง
ศาลโลกเก่าก็หายไปและเกิดศาล ICJ ขึ้น ซึ่งมันเกิดความพิสดารมากในปี 2493 รัฐบาลไทยขณะนั้นประกาศทำหนังสือไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติว่าต่ออายุศาลโลกเก่า PCIJ อีก จากนั้น 11 ปีต่อมา จึงนำความเจ็บปวดมาสู่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2502 กัมพูชาฟ้องไทยต่อศาล ICJ ในประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร จากนั้นศาลก็พิจารณาในปี 2504 ว่าถึงประเทศไทยจะบอกว่า รับอำนาจศาล PCIJ แต่ไม่ได้รับศาล ICJ แต่เขาก็เขียนไว้เจ็บปวด ว่า ในขณะนั้นไม่มีศาล PCIJ แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลไทยจะไม่รู้ จึงเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องการยอมรับอำนาจศาลนี้ ไปหมดลงปี 2503 แต่กัมพูชาฟ้องเราก่อนที่จะหมดอายุ 7 เดือน จากนั้น ไทยกับศาลโลกขาดจากกัน
เมื่อเกิดเหตุการณ์ปะทะกันเมื่อปี 2554 กัมพูชาก็ยื่นคำร้องให้ศาล ICJ ตีความอีกครั้ง เหตุการณ์นี้จะพูดว่า แพ้ก็ไม่ตรงความจริงนัก แต่เอาเป็นว่า ไม่ชนะก็แล้วกัน และกัมพูชาก็ไม่ชนะ แต่เราเสียดินแดนเพิ่มขึ้น จึงเป็น 2 เหตุการณ์ที่เราไม่สามารถไปศาล ICJ ได้ ถ้าไปอีกตนก็เชื่อมั่นว่า โอกาสชนะมีน้อย ผมข้อสังเกตอยู่ 5 ข้อคือ
1.ศาล ICJ ใช้หลักกฎหมายปิดปากไทยใน 2กรณี คือระบุว่า ไทยยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำขึ้น และกรณีที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ชักธงชาติฝรั่งเศสขึ้นบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร
2.ศาล ICJ ให้ถือว่าการแสดงเจตนารมณ์ของไทยในฐานะคู่สัญญาสำคัญกว่าเนื้อหาหลักของสนธิสัญญา มันชัดเจนว่าแผนที่ระหว่างระวางพนมดงรัก ไม่สัมพันธ์กับสันปันน้ำเลย แต่ศาลถือว่าการแสดงออกของไทยเราสำคัญกว่าเนื้อหาหลัก
3.การที่ศาล ICJ พิพากษาให้ไทยต้องสูญเสียอธิปไตยในพื้นที่พิพาท ถ้าเราบกพร่องจริงแต่โทษที่เราได้รับต้องสูญเสียอธิปไตย ในทางกฎหมายต้องตั้งคำถามว่าให้สัดส่วนกันหรือไม่
4.ศาล ICJ เลือกให้น้ำหนักกับปัจจัยอื่นมากกว่าเนื้อหาหลัก โดยเฉพาะที่เป็นโทษกับประเทศไทยด้านเดียว โดยไม่ได้ชั่งน้ำหนักให้ปัจจัยอื่น ที่อาจจะเป็นคุณกับฝ่ายไทย
5.ตลอดเวลาที่ผ่านมาพิสูจน์ให้แล้วว่าคำพิพากษาของศาล ICJ ไม่ส่งผลดีกับใครเลย
“ถ้าผมจะพูดว่าคำวินิจฉัยศาล ICJ เปรียบเสมือนฆาตกรที่ฆ่าคนมาอย่างเลือดเย็นเกือบครึ่งศตวรรษ” นายคำนูณ กล่าว
ด้านนายดุลยภาค กล่าวว่า กัมพูชาเตรียมการมานาน ใช้ยุทธศาสตร์หลายขา กดดันประเทศไทยหลายมิติ ทั้งเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ การเคลมมรดกทางวัฒนธรรม และใช้การเมืองภายในประเทศ สัมพันธ์กับการเมืองระหว่างประเทศสร้างความได้เปรียบในระบอบฮุน มาเนต มีเป้าหมายสูงสุดคือทำทุกวิถีทางเพื่อให้กัมพูชามีอาณาเขตเพิ่ม มาดูวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ เล่ห์กล ลักษณะนโยบายต่างประเทศของกัมพูชา เช่น ในวันที่ 29 พ.ค. นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต โพสต์เฟซบุ๊ค ว่า"กัมพูชาขอสงวนสิทธิ์ในการปกป้องอัตลักษณ์อาณาเขต และสามารถใช้กองกำลังเข้าไปพิทักษ์อัตลักษณ์เชิงพื้นที่ของกัมพูชาด้วย" คำนี้เป็นดาบสองคม และเป็นอันตรายต่อ มวลมนุษยชาติ คำว่า"อัตลักษณ์เชิงอาณาเขต" หมายถึงการขยายอาณาเขตโดยการเอาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมใส่เข้าไป คือ ถ้ารู้สึกว่า มีดินแดนหนึ่งน่าจะเป็นของเขา จะใส่อารมณ์ความรู้สึก ใส่อัตลักษณ์ที่คิดว่าเป็นของเขาเข้าไปผูกติดพันธนาการกับพื้นที่นั้น
“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เช่นกระแสเคลมโบเดีย ที่คนเขมรอ้างมรดกทางวัฒนธรรมเป็นของตนฝ่ายเดียว ทั้งกรณีชุดไทย หรือเล่นโขน คนเขมรเคลมว่า ประเทศไทยขโมยมรดกทางวัฒนธรรมของเขา กัมพูชาได้ประโยชน์กับชาตินิยมประเภทนี้มาก แต่ข้อเสียคือ นำไปสู่ความเกลียดชังในหมู่ชนชาติต่างๆ จะทำให้เกิดลัทธิเกลียดชังระแวงชาวต่างชาติทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ แนวคิดแบบนี้ ไม่เป็นผลดีต่อการบูรณาการอาเซียน หรือขัดต่อหลักการอยู่ร่วมกันโดยสันติของเพื่อนบ้าน เราต้องโน้มน้าวอาเซียนให้เห็นอันตรายตรงนี้ ทุกครั้งที่เกิดปัญหาที่บริเวณเขตแดนแล้วมีความตึงเครียดระหว่างประเทศฮุน เซนจะออกโรงมาอย่างชัดเจน ใช้เกมยั่วยุ และมีการนำชาตินิยมที่มองเพื่อนบ้านเป็นศัตรู ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างไทยกัมพูชา มาเป็นผลดีต่อคะแนนนิยมของระบอบตนเอง” นายดุลยภาค กล่าว
นายดุลยภาค กล่าวอีกว่า อาเซียน เรามีกลไกที่จะยับยั้งความขัดแย้งได้โดยไม่ต้องเร่งรัดไปถึงศาลโลก แต่สิ่งที่กัมพูชาทำคือให้น้ำหนักเบากับอาเซียนและไปสู่ศาลโลกเลยหรือไปหาฝรั่งเศส ดังนั้น ประเทศไทยน่าจะลากกัมพูชามาพูดกันก่อนว่า MOU 43 ที่กัมพูชาเข้าไปขุดคูเลต และฝังกลบเรียบร้อยแล้วการพูดคุยใน JBC หรือในเวทีอื่น เพื่อวางการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เกิด การเผชิญหน้าทางทหารและเคารพกรอบ MOU 43 ภาพที่กัมพูชาเข้าไปขุดคูเลตและฝังกลบเป็นภาพฟ้องอยู่แล้ว ว่ากัมพูชามีอะไรบางอย่างที่ละเมิดหลักข้อตกลง ตนแนะนำว่า ให้นำเรื่องของ อัตลักษณ์เชิงอาณาเขต เข้าไปพูดคุยในชุมชนระหว่างประเทศและประณามกัมพูชา ว่าคิดแบบนี้อันตรายเพราะในโลกทุกวันนี้ไม่มีประเทศไหนคิดแบบนี้กันแล้ว ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชากำลังตกขอบโลกในมุมคิดของระเบียบสากล
“สุดท้าย ตนขอฝากรัฐบาล วุฒิสภาว่า เราจะต้องร่วมมือกันตอบโต้กัมพูชา วุฒิสภาต้องมีวุฒิสภาการทูตที่จะตอบโต้กับวุฒิสภาของกัมพูชาด้วย เพื่อให้ต่างประเทศเข้าใจและทบทวนพฤติกรรมของกัมพูชา แต่เหนือสิ่งอื่นใดรัฐบาลควรต้องมีคณะกรรมการเฉพาะกิจว่าด้วยการวางยุทธศาสตร์ไทยกับกัมพูชาได้แล้ว และแยกเป็นหลายด้าน” นายดุลยภาค กล่าว
ช่วงท้าย นายคำนูณ กล่าวเสริมถึงความสัมพันธ์ของ 2 ครอบครัวชินวัตรและตระกูลฮุน ว่า การเมืองภายในประเทศและการเมืองระหว่างประเทศในตอนนี้แทบไม่เหลื่อมกันแล้ว และเชื่อว่ารัฐบาลดำเนินนโยบายด้วยความยากลำบาก เพราะต้องยอมรับว่าประชาชนส่วนหนึ่งไม่เชื่อรัฐบาล เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำรัฐบาลด้วยกัน มองในข้อดีก็มี ถ้ามองในข้อเสียก็มี และท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาและไทยต่างกันตั้งแต่ต้น จนตอนนี้ รัฐบาลกัมพูชา
“พ่อลูกฮุน พูดแรงทุกวันจนถึงวันนี้ แต่ของเรารัฐบาลพูดน้อยมาก บอกว่าพูดมากไปไม่ดี แต่คนนอกรัฐบาลที่ออกมาพูด บางทีก็ทำให้ดูแย่ ผมเชื่อว่าทหารในพื้นที่เจ็บปวดที่มาบอกว่าเอาพื้นที่ตรงนั้นมาทำสนามตะกร้อ แต่ยังมีทหารเสียชีวิต ผมว่าไม่ค่อยเหมาะ ล่าสุด ที่ทางการกัมพูชาบอกว่า ไม่ต้องพึ่งพาไฟและอินเตอร์เน็ตจากไทย เพราะมีพร้อมแล้ว เขาทำก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมชายแดนไทย-กัมพูชา (JBC) เราจะเดินอย่างไรต่อ เข้าใจว่าเขาพยายามยั่วยุ เราไม่อยากเห็นท่าทีของผู้นำประเทศอ่อนเกินไป แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้เป็นชนวนทำให้เกิดการปะทะให้เสียเลือดเสียเนื้อขึ้นมา เพราะจะเป็นสิ่งที่เขาจะลากเอาศาลโลกหรือสหประชาชาติเข้ามา เพราะกระแสชาตินิยมขึ้นแล้วลงยาก ขอชื่นชมกองทัพยุคนี้ที่มีวุฒิภาวะสูง มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถหน้างาน” นายคำนูญ กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี