วันเสาร์ ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / การเมือง
เทพมนตรี ลิมปพยอม อ่านเกม-รู้ทันเหลี่ยม‘กัมพูชา’ แก้อย่างไร‘ไทย’ไม่เพลี่ยงพล้ำ

เทพมนตรี ลิมปพยอม อ่านเกม-รู้ทันเหลี่ยม‘กัมพูชา’ แก้อย่างไร‘ไทย’ไม่เพลี่ยงพล้ำ

วันเสาร์ ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 06.45 น.
Tag : เทพมนตรีลิมปพยอม พิพาทไทยกัมพูชา
  •  

รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2568 พูดคุยกับ เทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ในประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ ซึ่งครั้งล่าสุดเริ่มต้นเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 จากการปะทะกันระหว่างทหารของทั้ง 2 ฝ่าย ในบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี และสถานการณ์ยังคงดำเนินมาอย่างตึงเครียดถึงปัจจุบัน

อาจารย์เทพมนตรี เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึง ฮุน มาเนต ที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แทน ฮุน เซน ผู้เป็นบิดา ซึ่งนับตั้งแต่รับตำแหน่ง ฮุน มาเนต ต้องเผชิญสถานการณ์ที่ร้อนแรง ทั้งเศรษฐกิจตกต่ำ นักท่องเที่ยวลดลง และการเมืองภายในที่ฮุน มาเนต รายล้อมไปด้วยผู้ใหญ่รุ่นที่เติบโตมาพร้อมกับฮุน เซน ซึ่งอาจไม่ยอมรับความรู้ความสามารถ ดังนั้น ฮุน มาเนต ก็ต้องพยายามแสดงศักยภาพของตนเอง โดยมี ฮุน เซน คอยสนับสนุน


“สิ่งที่เขาอยากจะต้องได้ก็คือดินแดนทั้งหมดที่เคยค้างคากันไว้ในการปักปันเขตแดน ซึ่งมันปักหลักเสร็จหมดแล้วแต่หลักเขตมันสูญหายตอนสงครามกลางเมืองเขา เขาก็จะต้องเข้ามาจัดการให้จบให้ได้ก่อนที่เขาจะลงจากนายกรัฐมนตรี จะทำได้อย่างไร? เขาก็จะต้องมาเริ่มต้นจากเส้นทางของเส้นเขตแดนก่อน ถ้าเราจำได้เมื่อปลายปีที่แล้ว (2567) มีปัญหาเรื่องเกาะกูด นั่นคือหลักเขตสุดท้ายทางบก ก็คือบริเวณ (หลักเขต) 73 ส่วนเขมร (กัมพูชา) จะลากเส้นลงไปผ่าเกาะกูดหรืออ้อมเกาะกูดก็แล้วแต่ แต่เขมรนั้นใช้เหตุจากหลักเขตที่ 73

ส่วนหลักเขตแดนทางบกกับหลักเขตแดนทางทะเลนั้นมันเกี่ยวเนื่องกันไหม? เราอาจมองว่าไม่เกี่ยว แต่เขมรบอกว่าเกี่ยว อันนี้ต้องชัดเจนก่อน เพราะเวลานักวิชาการทั้งหลายบอก มักจะไปว่าคนที่บอกว่าหลักเขตแดนทางบกมันไม่เกี่ยวกับทะเล คือมันไม่เกี่ยวแต่เขมรเกี่ยว เพราะเราดันเป็นคู่ภาคี ทีนี้หลังจากนั้นก็เลยมาที่ (ปราสาท) ตาเมือนธม ซึ่งมันอยู่ตรงกึ่งกลางพอดีระหว่างแนวทั้งหมด 798 กิโลเมตร (ชายแดนไทย – กัมพูชา)”

เมื่อดูความเคลื่อนไหวของกัมพูชา ไล่ตั้งแต่เกาะกูด ตามด้วยปราสาทตาเมือนธม ต่อด้วยช่องบก โดย “ความสำคัญของช่องบก” คือการเป็น “หัวเขตแดน” ระหว่าง 3 ประเทศ คือไทย กัมพูชาและลาว ซึ่งหากย้อนมองประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่ 5 ที่สยาม (หรือไทย) เสียดินแดนที่ปัจจุบันคือลาวและกัมพูชาไปให้กับฝรั่งเศส มีแผนที่ที่เป็นปัญหา โดยแผนที่จากคณะกรรมการในการทำสนธิสัญญาสยาม – ฝรั่งเศส ฉบับปี 1904 (2447) มี 11 ระวาง

และต่อมามีสนธิสัญญาสยาม – ฝรั่งเศส อีกฉบับในปี 1907 (2450) ที่จะต้องปักหลักเขตจากช่องสะงำ (ศรีสะเกษ) ไปจนถึงตราด มี 5 ระวาง รวมแล้วจึงเป็นแผนที่ 16 ระวาง แต่ระวางที่อยู่ในฝั่งกัมพูชาจะมีเพียง 2 ระวาง เพราะทับซ้อนกับ 5 ระวางของไทย โดยสรุปแล้วแผนที่นี้ไทยใช้กับลาว 6 ระวาง และกับกัมพูชา 7 ระวาง ทั้งนี้ การวาดแผนที่ใหม่ของกัมพูชามีความพยายามจะทำให้ได้เปรียบไทย อีกทั้งยังไม่ตรงกับรัฐธรรมนูญของกัมพูชาเองด้วย ที่กำหนดให้การใช้แผนที่เทียบกับไทย ใช้แผนที่มาตราส่วน 1 : 100,000

แต่กัมพูชากลับเลือกใช้แผนที่ที่ได้รับมรดกมาด้วย คือแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 เพื่อให้ได้เปรียบ ดังตัวอย่างแผนที่ระวางแดงเร็ก (Dangrek – ดงรัก) ในกรณีปราสาทพระวิหาร หรืออย่างกรณีช่องบก กัมพูชาใช้แผนที่ระวางโขง แล้วอ้างว่าไทยเป็นฝ่ายรุกล้ำเขตแดน โดยเป้าหมายของฮุน มาเนต คือกัมพูชาต้องได้ปราสาท 3 แห่ง และช่องบก ตามแผนที่ 2 ระวาง คือระวางหมายเลข 5 กับระวางโขง  

ส่วนคำถามว่า “กรณีปราสาท 3 หลัง (ตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ดและตาเมือน) และช่องบก จะซ้ำรอยกรณีปราสาทพระวิหารหรือไม่?” ก็ต้องบอกว่า “มีความเป็นไปได้” เพราะกัมพูชายื่นเรื่องเข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลกแล้ว ซึ่งแม้ฝ่ายไทยจะยืนยันไม่รับอำนาจของศาลโลก แต่เมื่อไทยเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ (UN) ก็ต้องไปดูว่ามีสนธิสัญญาอะไรบ้างที่ผูกพันระหว่างสมาชิกด้วยกัน

“มันก็จะเข้าไปที่สนธิสัญญาเวียนนา คู่ภาคี 2 แห่งที่เคยทำสนธิสัญญากัน ก็คือแต่เดิมเราทำกับอินโดจีนฝรั่งเศส ในสนธิสัญญา 1904 และ 1907 ต่อมาฝรั่งเศสคืนการสืบสิทธิ์นี้ให้กับกัมพูชา กัมพูชาจึงกลายเป็นคู่ภาคีกับไทย แล้วเมื่อเราไปทำ MOU (บันทึกความเข้าใจร่วม) 43 และ 44 เราจึงเป็นคู่ภาคีต่อเนื่องในสนธิสัญญา เพราะสนธิสัญญา 1904 , 1907 ว่าด้วยเรื่องเขตแดน

คือเราจะไปหรือไม่ไปก็ได้ มันเป็นสิทธิ์ของเรา แต่เราไม่ควรจะไป (ศาลโลก) แต่สิ่งที่เราจะต้องไปคือเราควรจะไปฟ้องเลขาธิการสหประชาชาติว่ากัมพูชาผิดข้อตกลงในทวิภาคีของเรา ข้อ 5 และข้อ 8 ใน MOU43 แต่ถ้าเกิดเราไม่อยากใช้ MOU43 เราใช้พฤติการณ์ของกัมพูชาก็ได้ว่าละเมิดดินแดนของเรา อธิปไตยของเรา แล้วก่อให้เกิดสถานการณ์การปะทะกัน”

และหากอยากทำให้เรื่องนี้ยุติลงโดยเร็ว รัฐบาลต้องระดมสมอง ซึ่งไม่เฉพาะข้าราชการประจำ แต่ต้องรวมถึงภาคประชาชนที่ศึกษาประเด็นนี้มาอย่างยาวนานด้วย โดยสำหรับมุมมองของตน 1.ควรยกเลิก MOU43 และ MOU44 เพื่อให้สิ้นสุดสภาพความต่อเนื่องกับสนธิสัญญาเวียนนาที่อาจทำให้ศาลโลกมาบังคับไทยได้ โดยรัฐบาลสามารถเสนอเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา อ้างว่ากัมพูชาในฐานะรัฐภาคีด้วยกันละเมิดข้อตกลง ตามที่มีรายงานว่ากัมพูชาละเมิดมาแล้วหลายร้อยครั้งก็ได้

หรือจะส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความก็ได้ ว่า MOU43 และ 44 ขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ที่ใช้อยู่ในขณะนั้น เนื่องจากดำเนินการโดยไม่ผ่านรัฐสภา 2.แจ้ง UN เพื่อใช้สิทธิ์เรียกคืนปราสาทพระวิหาร เพราะคำตัดสินของศาลโลกในปี 2505 รัฐบาลไทยขณะนั้นได้ตั้งข้อสงวนสิทธิ์ในการเรียกคืนตัวปราสาท และปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีในการพิสูจน์ทราบหลักสันปันน้ำตามสนธิสัญญาสยาม – ฝรั่งเศสแล้ว เช่น ดาวเทียม เพียงแต่ ณ ช่วงที่มีคำตัดสินนั้นศาลโลกเข้าใจผิด 3.ต้องกดดันกัมพูชาทุกทาง เพื่อไม่ให้กัมพูชาประสบความสำเร็จในการดำเนินนโยบายเรื่องเขตแดน    

ทั้งนี้ ในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 ไทยไม่เคยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 และมีองค์คณะผู้พิพากษาศาลโลก 3 ท่านที่เห็นว่าแผนที่ดังกล่าวไม่มีผลผูกพันกับสนธิสัญญา และไม่ใช่ผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดน แต่ศาลโลกเวลานั้นไปมองจุดเล็กๆ บนแผนที่ระวางแดงเร็ก ศาลจึงให้เฉพาะตัวปราสาท แต่หากศาลมองว่าแผนที่ถูกต้อง ก็จะต้องให้ตามเส้นเขตแดน

“แต่ที่ศาลมาวินิจฉัยในระยะหลัง ตอนปี 2556 เพราะตอนปี 2543 เพราะไปผูกพันกับ MOU43 แล้วในนั้นเราไปยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 จากหนังสือลงวันที่ 9 มิ.ย. 2543 และบันทึกข้อความวันที่ 12 มิ.ย. 2543 อันนี้เป็นหลักฐานยืนยันชัดว่าเราใช้แผนที่ 1 : 200,000 เป็นพื้นฐานในทางกฎหมายระหว่างประเทศ เห็นไหมว่ากระทรวงต่างประเทศไม่ยอมรับเรื่องนี้ ไม่กล้าพูดฟันธงว่าเราไม่ยอมรับแผนที่ 1 : 200,000 เพราะเราไปผูกพันใน MOU43

และ TOR46 (แผนแม่บท 2546) ที่พูดกันมากโดยเฉพาะหัวหน้าคณะ JBC (คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม) ที่ไปเจรจากลับมา TOR46 ซึ่งใช้สำหรับในการปฏิบัติการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ก็ระบุหลายครั้งว่าเวลาที่เราไปลงสำรวจจริงๆ เราต้องใช้แผนที่ 1 : 200,000 ในการพิจารณาร่วมกับสนธิสัญญาด้วย”

4.ต้องประกาศว่าสนธิสัญญาสยาม – ฝรั่งเศส 1904 และ 1907 อยู่เหนือแผนที่และบันทึกวาจาทั้งปวง โดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนตามสนธิสัญญา 1904 ปักปันโดยใช้สันปันน้ำเป็นหลัก แต่เมื่อมาถึงสนธิสัญญา 1907 ที่สยามเสียดินแดนเสียมเรียบ พระตะบองและศรีโสภณ จึงต้องไปปักหลักเขตในท้องที่ที่ไม่มีสันปันน้ำ ตั้งแต่บริเวณช่องสะงำไปถึงตราด ส่วนที่บริเวณช่องสะงำไปถึงช่องบกไม่มีหลักเขต เพราะเป็นสันปันน้ำตลอดแนว มองเห็นสันปันน้ำที่ขอบหน้าผาชัดเจน

โดยเมื่อสยามเสียดินแดนเสียมเรียบ พระตะบองและศรีโสภณไป ซึ่งมีพื้นที่ราบลุ่ม ร่องน้ำและสันปันน้ำ จึงต้องมาคิดกันในคณะกรรมการว่าต้องปักหลักเขต ช่วงแรกใช้หลักไม้และภายหลังปรับปรุงเป็นหลักปูน แต่เพราะเวลาต่อมาหลักเขตสูญหายไป นำมาสู่การเกิดขึ้นของ MOU43 อย่างไรก็ตาม การปักปันหลักเขตต้องมีการทำสัญลักษณ์ ซึ่งเมื่อ 100 ปีก่อนจะใช้แผนที่โครงวาด หรือแผนที่โครงร่างคร่าวๆ ตั้งแต่มาตราส่วน 1 : 1,000 ไปจนถึง 1 : 10,000 ประกอบบันทึกวาจากำกับหลักเขตแต่ละหลัก

ซึ่ง “ตาเมือนธมเป็นจุดที่น่าห่วง” เพราะคณะทำงานที่ฮุน มาเนต แต่งตั้งเป็นตัวแทนฝ่ายกัมพูชาไปศาลโลก มีชื่อของ ลำ เจีย ประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชาอยู่ด้วย และลำ เจีย เป็นคนที่ศึกษาเรื่องนี้มานาน บอกว่าปราสาทตาเมือนธม ซึ่งตั้งอยู่บนเส้นทางราชมังคลา อันเป็นเส้นทางที่กษัตริย์เขมรใช้เสด็จฯ ไปที่พิมาย โดยตาเมือนธมอยู่ตรงกลาง เส้นทางจะนับจากเมืองเสียมเรียบ ผ่านตาเมือนธมแล้วไปพิมาย และกัมพูชาต้องการพัฒนาเส้นทางนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว อีกทั้งทางการกัมพูชายังขึ้นทะเบียนกลุ่มปราสาท 3 หลังเป็นมรดกของชาติแล้วด้วย

และแม้ประเทศไทยจะขึ้นทะเบียนปราสาทนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2478 ก่อนหน้ากัมพูชา แต่กัมพูชามีการดำเนินการอย่างเป็นระบบโดยอ้างว่าเป็นเส้นราชมังคลา โดยเมื่อ JBC ตั้งคณะกรรมการสำรวจแล้วไปใช้แผนที่ 1 : 200,000 หรือแผนที่ 1 : 50,000 หรือใช้สันปันน้ำ รายงานการประชุม บันทึกวาจา จะเห็นมี 2 เส้นเกิดขึ้น ในอดีตมีการทำหลักเขตไม้ไว้บริเวณปราสาทตาเมือนธม ชาวกัมพูชาไม่ว่าทหารหรือพลเรือนจะเข้ามาต้องขออนุญาตและมีเวลาเปิด – ปิด

แต่เมื่อมี JBC เกิดขึ้นจาก MOU43 พอมาทำพื้นที่ตอนนี้ ค้นหาหลักเขต 22B และ 23 บริเวณปราสาทตาเมือนธม จึงมี 2 หลักเขต โดยฝ่ายไทยกับฝ่ายกัมพูชาทำกันไว้คนละหลักเขต เป็นที่มาของการที่กัมพูชารื้อรั้วและขึ้นมายืนยันได้ว่าพื้นที่ของตนเองอยู่จุดนั้น หรืออย่างที่ปราสาทตาควาย MOU43 ทำให้เกิดเส้นสมมติ 2 เส้นที่ยังต้องพิจารณาก่อน แต่กัมพูชาใช้บันทึกวาจาระหว่างผู้แทนไทยกับฝรั่งเศส (ซึงกัมพูชาได้สืบสิทธิ์) ของหลักเขตที่ 23 บริเวณปราสาทตาเมือน ซึ่งบันทึกฉบับนี้อันตรายต่อไทย เพราะปราสาทตาเมือนธมและตาเมือนโต๊ดอยู่ในฝั่งกัมพูชา

“ผมอยากจะบอกว่า สนธิสัญญา 2 ฉบับนั้นที่เราทำเมื่อ 100 ปี เราถือในทางประวัติศาสตร์บอกว่ามันเป็นหลักฐานชั้นต้น ส่วนรายงานการประชุมที่เกิดจากกรรมการมาจากสนธิสัญญานั้นเป็นหลักฐานชั้นรอง หลักฐานชั้นรองในรายงานการประชุมบอกว่าสันปันน้ำที่อยู่ขอบหน้าผาคือเส้นเขตแดน ซึ่งตรงกับข้อบทในสนธิสัญญา เราถือว่าเป็นหลักฐานที่ครบถ้วน แต่พอทำแผนที่ แผนที่เป็นหลักฐานชั้น 3 มันเกิดจากการทำรายงานแล้วไปอ้างข้อบท

ดังนั้นแผนที่หรือบันทึกวาจาทั้งหลายที่ทำหลังจากมาเดินสำรวจ มันเป็นหลักฐานที่ต้องไปดูข้อบทว่ามันขัดแย้งกันไหม? ซึ่ง ณ วันนี้บันทึกวาจาตรงปราสาทตาเมือนธมมันขัดกับสนธิสัญญา เราจึงไม่กลัว แต่เขมรไปมองว่าบันทึกวาจาศักดิ์สิทธิ์ ก็ไปฟ้องศาลโลก เพียงแต่เราต้องไปแก้จุดนี้ให้ได้ว่า เราต้องยึดว่าสนธิสัญญาสำคัญกว่าบันทึกวาจาและแผนที่ อย่างที่ยกตัวอย่างให้ดู”     

โดยสรุปแล้วในเมื่อกัมพูชาไม่ยอม ก็อยากให้รัฐบาลไทยทำให้เต็มที่ ต้องสู้กันด้วยหลักฐาน แต่อีกจุดที่น่าห่วงคือ “กัมพูชาจะพยายามทำให้เกิดการปะทะกันทางทหารกับไทยก่อนเรื่องเข้าสู่ศาลโลก” เช่น กรณีปราสาทพระวิหาร “เพราะเมื่อเกิดการปะทะ ศาลโลกจะมีมาตรการชั่วคราวคือให้ถอนทหารออกไป” แม้ไทยจะไม่ยอมรับศาลโลก แต่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จะยึดมาตรการดังกล่าว และไทยเป็นสมาชิก UN ซึ่งนี่คืออีกความมั่นใจของฝ่ายกัมพูชา คำถามคือรัฐบาลไทยจะกล้าหักกับ UN เหมือนกับที่มหาอำนาจบางชาติทำหรือไม่? ดังนั้นจึงต้องรีบทำเรื่องขอคืนปราสาทพระวิหารไปที่ UN เพื่อทำให้กัมพูชาเป็นฝ่ายกังวลบ้าง

หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ          

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • กลุ่ม‘รวมพลังแผ่นดิน’นัดชุมนุมใหญ่  ดีเดย์ไล่‘อิงค์’28มิ.ย. กลุ่ม‘รวมพลังแผ่นดิน’นัดชุมนุมใหญ่ ดีเดย์ไล่‘อิงค์’28มิ.ย.
  • ‘เพื่อไทย’แก้เกี้ยว แจ้งเอาผิด‘ฮุนเซน’ ปล่อยคลิปคุย‘อิ๊งค์’ ชี้ชัดภัยมั่นคงชาติ ‘เพื่อไทย’แก้เกี้ยว แจ้งเอาผิด‘ฮุนเซน’ ปล่อยคลิปคุย‘อิ๊งค์’ ชี้ชัดภัยมั่นคงชาติ
  • ‘อ่อนหัด’แต่ไม่ถึงขั้น‘ขายชาติ’! อดีตนายทหารดึงสติคนไทยปม‘คลิปหลุด’ อย่าหลงกล‘สงครามจิตวิทยา’ ‘อ่อนหัด’แต่ไม่ถึงขั้น‘ขายชาติ’! อดีตนายทหารดึงสติคนไทยปม‘คลิปหลุด’ อย่าหลงกล‘สงครามจิตวิทยา’
  • ‘บิ๊กเล็ก’ชี้เหตุ‘คลิปหลุด’ฝ่ายตรงข้ามวางแผนแยบยลหวังผลร้ายต่อ‘ไทย’ ลั่นจะไม่ยอมให้สมหวัง ‘บิ๊กเล็ก’ชี้เหตุ‘คลิปหลุด’ฝ่ายตรงข้ามวางแผนแยบยลหวังผลร้ายต่อ‘ไทย’ ลั่นจะไม่ยอมให้สมหวัง
  • พล.ท.กนก เนตระคเวสนะ ปมขัดแย้งเขตแดน‘กัมพูชา’ แง่มุมที่‘ไทย’ต้องระมัดระวัง พล.ท.กนก เนตระคเวสนะ ปมขัดแย้งเขตแดน‘กัมพูชา’ แง่มุมที่‘ไทย’ต้องระมัดระวัง
  • วิเคราะห์‘กัมพูชา’ทำไมกล้าท้า‘ไทย’สู้ในศาลโลก ห่วงคำพูดฝ่ายการเมืองพลาดเข้าทาง วิเคราะห์‘กัมพูชา’ทำไมกล้าท้า‘ไทย’สู้ในศาลโลก ห่วงคำพูดฝ่ายการเมืองพลาดเข้าทาง
  •  

Breaking News

‘เลขาธิการ กกต.’รับโล่เกียรติยศศิษย์เก่าดีเด่นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปี 2568

ปคม.ลุยชลบุรี ทลายแหล่งซุก‘แรงงานเถื่อน’ ยึดเครื่องกระสุนปืนสงครามกว่า 200 นัด

ตำบลแม่เปาวิกฤติ! น้ำลดแล้วกว่า 80% แต่ชาวบ้านขาดอาหาร-เครื่องมือทำความสะอาด

ยก 3 ข้อสะท้อน‘ฮุน เซน’อ่านเกมขาด ตัดญาติขาดมิตร ฉีกสัมพันธ์‘ฮุน-ชิน’

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved