"ผู้นำฝ่ายค้านฯ"ประเดิมถามกระทู้สด ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน"รมช.กลาโหม"แจงยิบ เปรยมีสัญญาณดี"เขมร"คุยด้วย จ่อดึงถก"จีบีซี"หารือ 2 ประเด็น"ถอนกำลังพล-ลดเข้มงวดมาตรการชายแดน" ย้ำกองทัพทำตามนโยบายรัฐบาล ซัด"อังเคิล"โพสต์คลาดเคลื่อนความจริง
เมื่อเวลา 12.10 น.วันที่ 3 กรกฎาคม 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานที่ประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา เรื่องปัญหาชายแดนไทย - กัมพูชา ของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชนชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ถาม รมว.กลาโหม โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพานิช รมช.กลาโหม รักษาการ รมว.กลาโหม เป็นผู้ชี้แจง
โดย นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เชื่อว่าสถานการณ์วิกฤติไทย - กัมพูชาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สิ่งที่คนไทยทั้งประเทศต้องการคือต้องการรัฐบาลที่มีความเข้มแข็ง แต่ในขณะเดียวกันต้องมีการเตรียมการสถานการณ์อย่างมีวุฒิภาวะ รอบคอบและได้รับการยอมรับจากนานาประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนบ้านให้ความเกรงอกเกรงใจรัฐบาล ซึ่งการที่รัฐบาลจะสามารถดำเนินมาตรการต่างๆ เหล่านี้อย่างเข้มแข็ง และอย่างมีวุฒิภาวะเหมาะสมได้ มีมาตรการหลายส่วน ทั้งมาตรการทางด้านทหาร กดดันทางเศรษฐกิจ และมาตรการพุ่งเป้าไปยังเครือข่ายกลุ่มอิทธิพลของผู้นำกัมพูชา ที่วันนี้เราได้เห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น คลิปเสียงหลุดนั้นล้วนเกิดจากการบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด ที่ตัวผู้นำประเทศใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำสองประเทศจนนำไปสู่วิกฤตในครั้งนี้ที่คลี่คลายยากยิ่งขึ้น
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า รมช.กลาโหม เป็นผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา (ศบ.ทก.) ท่านเพิ่งให้สัมภาษณ์ว่าตอนนี้ถึงแม้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่รอระหว่างการโปรดเกล้าฯ รอระหว่างการถวายสัตย์ปฏิญาณ ยังไม่มีสุญญากาศใดๆ เพราะท่านในฐานะ รมช.ยังบริหารราชการแผ่นดินในส่วนนี้ทดแทนอยู่ และตามที่นายกฯ เคยวางแนวปฏิบัติไว้ก่อนหน้านี้ ว่ามาตรการต่างๆ ซึ่งนายกฯ เคยสื่อสารว่ามาตรการทางเศรษฐกิจที่ในบางกรณีหรือหลายกรณีนั้นส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง ต้องใช้ไปเพื่อการสร้างแรงกดดันเพื่อป้องกันผลกระทบจากการ เคลื่อนไหวของกำลังทหาร และการใช้อาวุธที่ใช้ปฏิบัติการในระยะไกลของฝ่ายกัมพูชาซึ่งมาตรการอื่นๆ เช่น มาตรการทางเศรษฐกิจนี้ สามารถเปลี่ยนแปลงได้หากสถานการณ์ปรับเปลี่ยนในทิศทางที่ดีขึ้น
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.68 เป็นต้นมา มีรายงานข่าวที่สอดคล้องกันทั้ง 2 ประเทศระหว่างไทยและกัมพูชา ว่ากัมพูชาได้ปรับกำลังถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาทแล้ว แต่พวกเราทราบกันดีว่าในขณะนี้เรื่องของการควบคุมด่านชายแดน ที่รัฐมนตรีอาจจะใช้คำว่าเป็นการเปิดด่านแบบจำกัดเวลา พวกเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นมาตรการกดดันทางด้านเศรษฐกิจที่ด้านหนึ่งอาจจะมีประสิทธิภาพ แต่อีกด้านหนึ่งก็ส่งผลกระทบกับประชาชนคนไทยเป็นวงกว้างด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งตนอยากเน้นย้ำว่ารัฐบาลต้องแสดงความเข้มแข็ง พวกเราไม่ได้เห็นต่างในเรื่องการใช้มาตรการกดดันทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งหลายครั้งที่พรรคประชาชนได้เสนอข้อเสนอนี้ไปแล้ว แต่จะใช้อย่างไรให้เหมาะสม ใช้อย่างไรเพื่อแสดงออกว่ารัฐบาลบริหารสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบ มีวุฒิภาวะ ไม่ดำเนินสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเกินความจำเป็น โดยสิ่งที่ตนอยากถามคือ ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาตามแนวชายแดนยังมีความตึงเครียด ความกดดันทางด้านทางทหารที่กัมพูชาดำเนินการอยู่ใช่หรือไม่ ถ้ามีมีอย่างไร
ด้าน พล.อ.ณัฐพล ชี้แจงว่า ภาพรวมว่าสถานการณ์ปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย.ที่มีการเคลื่อนย้ายกำลังกลับจากจุดที่เผชิญหน้ากันอยู่ ในครั้งนั้นที่เราพยายามเจรจาฝ่ายกัมพูชาคือมีกำลังที่เผชิญหน้ามาอยู่ในระยะใกล้ มีความเสี่ยงที่จะเกิดการใช้อาวุธได้ ถ้ามีการเริ่มใช้อาวุธจะทำให้เหตุการตรึงเครียดและสถานการณ์อาจจะบานปลายได้ ถึงแม้กำลังที่ประเชิญหน้าจะเคลื่อนย้ายกลับไปแล้ว แต่กำลังส่วนที่เหลือที่มีจำนวนมากมีทั้งอาวุธหนัก รถถังและปืนใหญ่ยังเป็นกำลังละลอกสองที่ยังคงอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ยังมีความเสี่ยงที่วันใดวันหนึ่งเกิดความไม่เข้าใจกันแล้วอาจจะทำให้สถานการณ์บานปลายถึงขั้นที่ใช้อาวุธหนัก
พล.อ.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ตนมีประสบการณ์ในปี 2554 ที่เขาพระวิหาร ในครั้งนั้นอาวุธที่ทั้งสองฝ่ายมียังไม่ร้ายแรงเท่าครั้งนี้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลมีความห่วงใยความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนจึงมีแนวทางในการดำเนินการคลี่คลายความตึงเครียดในบริเวณชายแดน โดยประการที่ 1 รัฐบาลได้ตั้ง ศบ.ทก.ทำงานภายใต้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้กำหนดแนวทางไว้อย่างชัดเจนบนพื้นฐานของสันติวิธีและการยึดถือศักดิ์ศรีความเป็นรัฐของทั้งสองฝ่าย
"ด้วยประสบการณ์ที่ผมเคยเป็นเลขาฯ สมช.เวลาประเทศมหาอำนาจใหญ่ใหญ่มาพูดคุยกับเรา ประเทศใหญ่เรานั้นไม่เคยแสดงความเป็นประเทศใหญ่เลยไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ จีน รัสเซีย เค้ามาเจรจากับเราเขายึดถือว่าเราก็เป็นประเทศหนึ่ง มหาอำนาจก็เป็นประเทศหนึ่งเพราะฉะนั้นเราก็จะยึดถือในลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้ การเจรจามุ่งเน้นการเจรจาแบบทวิภาคีกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โดยสันติและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ลุกลามบานปลาย ซึ่งคำว่าลุกลามบานปลายมีสองอย่างคือ บานปลายทางด้านการใช้อาวุธ และบานปลายทางเศรษฐกิจที่กระทบต่อความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้นศบทก.จะพยายามบูรณาการและขับเคลื่อนไม่ให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นบานปลายออกไป" พล.อ.ณัฐพล กล่าว
พล.อ.ณัฐพล กล่าวอีกว่า ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ ศบ.ทก.และรัฐบาลหนักใจมาก ปัจจุบันในประเทศไทยมีสองกระแสคือเพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนเรียกร้องให้รัฐบาลคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็ว ไม่อยากให้ใช้ความรุนแรง และขอความเห็นใจว่าเขาประสบความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทั้งความปลอดภัย และเศรษฐกิจ และพี่น้องส่วนกลางใน กทม.บอกว่าต้องยึดศักดิ์ศรีของเราเป็นหลักไม่อยากให้รัฐบาลอ่อนข้อ อยากให้ใช้มาตรการที่เข้งแข็ง ซึ่งปัจจุบันสังคมมีลักษณะอย่างนี้ จึงขอความเห็นใจทุกภาคส่วนในประเทศไทยว่าปัจจุบันคนมีความคิดกันอยู่สองกลุ่มอย่างนี้ ทำให้การตัดสินใจของรัฐบาล และ ศบ.ทก.แต่ละเรื่องต้องใช้ความรอบคอบและชั่งน้ำหนักให้ดี
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ประการที่ 2 รัฐบาลดำเนินการโดยตระหนักว่าความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน อาจมีการชี้นำของนักการเมืองหรือผู้นำบางคน แต่สิ่งที่เราต้องรักษาไว้ให้มากคือความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศซึ่งมีชายแดนติดกัน แม้จะมีความขัดแย้งกันแต่ก็ไปไหนไม่ได้ก็ต้องอยู่กันอย่างนั้น ทุกคนตระหนักตระหนักดีอยู่แล้วว่า ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเกิดจากส่วนบุคคล เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่นำความตึงเครียดนี้ขยายไปสู่ประชาชนโดยทั่วไป ประชาชนจึงควรไม่มาเป็นเหยื่อทางการเมืองระดับรัฐ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่จะต้องดำเนินการทุกอย่างอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนทั้งสองฝ่าย
พล.อ.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ประการที่ 3 รัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องดำเนินมาตรการควบคุมที่เข้มงวดบริเวณชายแดนเนื่องจากมีข้อมูลที่ชัดเจนว่าทางการกัมพูชาได้มีการสั่งกำลังเคลื่อนย้ายเข้ามาในพื้นที่ชายแดน และฝ่ายไทยก็มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมกำลังในระดับที่เหมาะสมเพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคง แต่ขอย้ำว่า ทุกการเคลื่อนไหวของไทยอยู่ในกรอบสันติวิธี และหลีกเลี่ยงการประทะโดยเด็ดขาด หากกัมพูชาไม่ล่วงล้ำอธิปไตยด้วยกำลังติดอาวุธ
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ประการที่ 4 ด้านการควบคุมชายแดนรัฐบาล ไทยยังมีความร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC รวมถึงประเทศพันธมิตรในการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะสแกมเมอร์ที่มีข้อมูลว่าแฝงตัวอยู่ในพื้นที่ใกล้แนวชายแดนจำนวนมาก เราจึงมีความจำเป็นต้องตรวจสอบและควบคุมการเข้าออกตามแนวชายแดนอย่างเข้มข้น ทั้งด้านตะวันตกและตะวันออกของประเทศ และประการที่ 5 ในทุกมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการ ศบ.ทก.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถือประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยมุ่งหวังให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่อยู่บริเวณชายแดนกัมพูชากลับคืนสู่สภาพปกติสุขโดยเร็วที่สุด ทั้งด้านความมั่นคงด้านเศรษฐกิจและสังคมจิตวิทยา ยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด
พล.อ.ณัฐพล กล่าวด้วยว่า กรณีที่ว่ากองทัพมีอำนาจหรือไม่ ซึ่งตรงกับที่หลายฝ่ายเข้าใจว่าปัจจุบันทำโดยกองทัพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ลำบากใจ โดยตนเป็นรัฐบาลเป็นการเมือง แต่ด้วยความที่ยังมียศทำให้คนมองว่าตนเป็นทหาร ในความเป็นจริงก่อนที่ผมจะเข้ามารับหน้าที่ในตำแหน่งนี้เป็นฝ่ายบริหาร ผู้ใหญ่มองว่าผมเป็นทหารแล้วมาเป็นรัฐบาล มีข้อดีตรงที่ว่าเวลาไปอยู่รัฐบาลผมก็เป็นการเมือง เวลาผมกลับไปกองทัพตนก็เป็นทหาร แต่ผลที่ผ่านมายังไม่เป็นไปตามที่คิด เวลาตนกลับไปกองทัพเขาก็มองว่าผมเป็นรัฐบาล เวลาผมอยู่ในรัฐบาลเขาก็มองว่าผมเป็นกองทัพ เพราะฉะนั้นปัจจุบันเวลาผมทำงานเป็นรัฐบาลตนก็ทำงานเป็นรัฐบาล โดยตนเป็น ผอ.ศบ.ทก.และการให้อำนาจบางประการกับกองทัพเป็นการชั่วคราวเฉพาะหน้า และอยู่ภายใจ้การกำกับของ ศบ.ทก.เราประชุมกันทุกขั้นตอนไม่ได้ปล่อยให้กองทัพมีอิสระโดยลำพังอย่างที่วิจารณ์กัน
"ณ ปัจจุบันวันนี้ เริ่มมีสัญญาณบวก ทางฝ่ายระดับสูงของกัมพูชาเริ่มมีการคุย ที่ผ่านมาเขาไม่ยอมคุยแต่ 2 - 3 วันนี้เขาเริ่มมาคุยว่า เชิญไปเข้าประชุมทวิภาคี จีบีซี มีเงื่อนไขอย่างไร ปัจจุบันด้วยสถานการณ์ทางด้านโซเชียลทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาทำให้การพูดคุยในเรื่องเงื่อนไขเราก็ยังไม่เป็นที่ตกลงกัน ขอเรียนว่า มีสัญญาณบวกอย่างน้อยเขามาคุยก็ถือว่าบวกแล้ว คุยรู้เรื่องไม่รู้เรื่อง ก็ต้องใช้ความสามารถกันอีกทีหนึ่ง" พล.อ.ณัฐพล กล่าว
นายณัฐพงษ์ ถามอีกว่า ตนอยากได้ข้อเท็จจริงวัตถุประสงค์ชัดๆ ว่าตอนนี้ที่รัฐบาลยังคงมาตรการในการควบคุมด่านอยู่ มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการกดดัน สร้างแรงกดดันเพื่อนำไปสู่อะไร เพราะพวกเราเห็นว่าถ้าใช้อย่างไม่เหมาะสมแทนที่จะเป็นมาตรการในการสร้างแรงกดดัน จะกลายเป็นมาตรการสร้างความตึงเครียด ที่ทำให้การบริหารสถานการณ์เดินไปด้วยความยากลำบากมากยิ่งขึ้น ส่วนมาตรการอื่นๆ นอกเหนือจากมาตรการความมั่นคง และมาตรการทางเศรษฐกิจ คือมาตรการพุ่งเป้าไปที่ตัวผู้นำหรือเครือข่ายผู้มีอิทธิพลในประเทศกัมพูชา นั่นคือการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการดำเนิน คดีลอบสังหารฝ่ายค้านกัมพูชาในประเทศไทย จึงอยากจะถามความคืบหน้าทางรัฐบาลว่าเป็นอย่างไรบ้างในขณะนี้
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนทราบมาว่าทางกองทัพได้มีการประสานงานไปยังคณะที่ปรึกษาการทหารสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย หรือจัสแมกเพื่อประสานขอกำลังบำรุง และเครื่องกระสุนสหรัฐฯ ผ่านกลไกนี้ เพื่อเตรียมประสิทธิภาพของกองทัพไทย เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็ทราบว่าเรื่องนี้ถูกคว่ำลงเนื่องจากฝ่ายการเมืองปัดตกคำขอนี้ ดังนั้น ในฐานะที่ท่านอยู่ฝ่ายการเมือง พวกเราจึงอยากได้เหตุและผลว่าในเมื่อกองทัพขอรับการสนับสนุนเครื่องกระสุนสหรัฐฯ ผ่านกลไกจัสแมก ทำไมฝ่ายการเมืองจึงคว่ำข้อเสนอนี้ของกองทัพมีเหตุและผลอย่างไร เป็นเพราะเกร็งใจตอบประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ที่พวกเราก็รับรู้กันดีว่าประเทศมหาอำนาจนั้นให้การสนับสนุนกัมพูชามีฐานทัพเรือในประเทศกัมพูชาด้วยใช่หรือไม่
พล.อ.ณัฐพล ชี้แจงว่า เรื่องความกดดัน ในห้วงเวลาที่ผ่านมาที่อังเคิลโพสต์มาตลอด ทำให้มีความรู้สึกว่าเราใช้ความกดดันและตึงเครียด ซึ่งมาตรการชายแดนยืนยันว่าไม่ได้กดดันอะไรมาก ไม่ได้ปิดด่าน มีเพียงการจำกัดการเข้าของบุคคลและยานพาหนะออกตามจุดผ่านแดนเท่านั้น แต่การโพสต์ในโซเชียลฯของผู้นำกัมพูชาทำให้รู้สึกว่ามีการกดดัน เช่น จุดผ่านแดนช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ที่ประตูฝั่งไทยเปิด แต่ประตูฝั่งกัมพูชานั้นปิด ดังนั้น สถานการณ์ความตึงเครียดนั้น ผู้นำกัมพูชา อยู่ที่พนมเปญอาจได้รับข่าวคลาดเคลื่อน ไม่เป็นความจริง
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี