ประชุมทีมศก.รับมือ‘ภาษีทรัมป์’
‘แม้ว’ร่วมวง
‘พิชัย’อ้างเชิญมาเพราะมีความรู้
คปท.ซัดรัฐบาลล้มเหลว
ปล่อย‘ทักษิณ’แทรกแซง
กระทุ้งครม.ลาออกยกคณะ
“ทักษิณ”โผล่ร่วมวงประชุมหน่วยงานเศรษฐกิจ “บ้านพิษณุโลก”รับมือสหรัฐ รีดภาษีนำเข้าสินค้าไทย 36% หน้าตาเฉย “พิชัย” ยอมรับเชิญมาเอง ชี้เป็นผู้รู้เรื่องเหล่านี้ดีน่าจะให้ข้อคิดเห็นได้ดี ระบุเตรียมทำการบ้านหนัก เชื่อ เดดไลน์ 1 สิงหาคม ได้ข้อยุติ พร้อมรับซื้อของสหรัฐเพิ่มแต่ต้องไม่กระทบคนไทย ตั้งเป้าภาษีไม่ให้น้อยกว่าคู่แข่ง ลั่นตัวเลข 25% ถ้าเสียเปรียบไม่เอา ด้าน คปท.ออกแถลงการณ์ 3 ข้อ ฉะรัฐบาลล้มเหลว ปล่อย“นักโทษ”แทรกแซง จี้ครม.ลาออกยกคณะ
เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านพิษณุโลก นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง หัวหน้า ทีมไทยแลนด์ ร่วมประชุมหารือเพื่อหารือแนวทางจัดทำข้อเสนอเพิ่มเติมในการเจรจากับสหรัฐอเมริกา หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีหนังสือแจ้งเตือนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 36% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยมีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายจักรภพ เพ็ญแข ได้เดินทางเข้าร่วมหารือที่บ้านพิษณุโลก พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรีได้แก่ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายนายกรัฐมนตรี, นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ เข้าร่วมการประชุม
หน่วยงานศก.ร่วมประชุมพร้อมเพรียง
การประชุมครั้งนี้มีหน่วยงานหลักด้านเศรษฐกิจเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง โดยนายอรรถกร ศิริลัทยากร รมว.เกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า การเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ เนื่องจากสินค้าทางการเกษตรและอาหารหลายรายการที่ส่งออกไปสหรัฐ อาจได้รับผลกระทบจากภาษีดังกล่าว
ขณะที่นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักด้านการค้าระหว่างประเทศเปิดเผยว่าได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์และคณะทำงานเร่งประชุมตั้งแต่ไทยได้รับหนังสือแจ้งภาษี เพื่อเตรียมข้อมูลเชิงลึกในการเจรจา รวมถึงร่างมาตรการช่วยเหลือภาคส่วนต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย
สำหรับภารกิจของทีมไทยแลนด์ในช่วงเวลานี้ถือว่ามีความสำคัญเร่งด่วน เพราะนอกจากจะต้องจัดทำข้อเสนอใหม่ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม ยังต้องวางมาตรการรองรับภายในประเทศเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในวงกว้าง
ถก3ชม./“ทักษิณ”นั่งรถกลับทันที
ภายหลังการประชุมกับทีมไทยแลนด์ และทีมที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เพื่อรับมือกรณีสหรัฐอเมริกาประกาศแจ้งอัตราการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทย 36% ซึ่งใช้ระยะเวลานานเกือบ 3 ชั่วโมง ที่บ้านพิษณุโลก ปรากฏว่า นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมว.เกษตรและสหกรณ์ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ เดินออกมาส่ง นายทักษิณ ในเวลาประมาณ 10.55 น. ที่รถ และได้เดินทางออกจากบ้านพิษณุโลกทันที
“พิชัย”เชื่อ1ส.ค.ได้ข้อยุติ
จากนั้น นายพิชัย แถลงผลประชุมทีมไทยแลนด์ และทีมที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ในการรับมือมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาซึ่งใช้เวลาประชุมนานเกือบ 3 ชั่วโมงว่า วันนี้ตนเชิญหลายหน่วยงาน มีทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก รวมถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาหารือกรณีที่สหรัฐฯ เผยแพร่จดหมายเรียกเก็บภาษีจากไทย 36% ขอย้ำว่าอันนั้นเป็นการเลื่อนเวลาให้เรา ซึ่งเรายังไม่ได้เจรจาถึงที่สุด วันนี้ได้มีการทบทวนกันว่าเรามีเวลาถึงวันที่ 1 ส.ค. เพื่อให้ได้ข้อยุติกับสหรัฐฯ ตนยังเชื่อว่าภายในวันที่ 1 ส.ค. จะได้ข้อยุติระดับกว้างๆ เสร็จแล้วยังต้องคุยกันอีกนาน
เตรียมสรุปข้อมูล14ก.ค.นี้
สำหรับการหารือในวันนี้ เป็นเพราะวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนได้เรียกประชุม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และบริษัทใหญ่ๆว่าหากได้รับผลกระทบในเรื่องใดจะมีมาตรการอย่างไรในการรองรับโดยแยกเป็นหมวดๆไป เรามีข้อมูลเยอะพอสมควรและกลับไปทำการบ้านกันซึ่งคงได้ก่อนวันที่ 14 ก.ค. เพื่อดูผลกระทบของแต่ละส่วนเป็นอย่างไร และเพื่อให้การทำงานระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐเดินไปได้อย่างเรียบร้อย จึงเป็นที่มาของการคุยกันวันนี้
เปิด3แนวทางเจรจาสหรัฐ
สิ่งที่คุยกัน คือ เราได้ให้ข้อมูลทั้งหมดที่ทำงานไปให้รู้ในรายละเอียดว่าทำอะไรไปบ้างและมีท่าทีความคิดเห็นอะไรกันบ้าง เพื่อมาดูกันว่าถ้าเกิดผลกระทบจะแก้ปัญหาอย่างไร โดยพอจะสรุปได้ว่าวิธีที่จะคุยกับสหรัฐฯมองในมุมมองการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯแล้วทั้งหมด ที่เราจะทำข้อที่ 1.ต้องไม่ให้ได้รับผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ ทั้งภาคเกษตรกรและภาคอุตสาหกรรมรายย่อย 2.เราได้แจ้งไปว่าการทำครั้งนี้หลายเรื่องเราอาจต้องรับซื้อสินค้าเข้ามา ซึ่งเรารับซื้อปกติอยู่แล้วก็ได้โอกาสในการปรับตัวเราเอง โดยคุยกันว่าจะมีวิธีการปรับอย่างไรให้สินค้าที่นำเข้ามาได้รับการกำกับดูแลให้ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากที่สุด และเร่งความรวดเร็วเพิ่มประสิทธิภาพทั้งขาเข้าขาออก และ 3.ได้พูดกันว่าเรารองรับมาตรการที่จะช่วยเหลือหลายเรื่อง ซึ่งจะไปทำการบ้านในรายละเอียดหลักการมีแล้วกลุ่มเกษตรจะทำอย่างไร อุตสาหกรรมรายย่อยจะทำอย่างไร กำหนดกว้างๆไว้แล้วว่ามาตรการคืออะไรและจะไปลงรายละเอียดต่อไป
ยืนยันจะทำให้ดีที่สุด
เมื่อถามว่าตัวเลขภาษีที่เวียดนามได้ 20% ทำให้ภาคเอกชนเป็นห่วงว่าหากไทยได้มากกว่า 20% อาจทำให้กระทบต่อสินค้าประเภทเดียวกันเพราะเราเสียภาษีมากกว่าคู่แข่ง จะมีมาตรการอย่างไร นายพิชัย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราคุยกันว่าสิ่งที่เราทำจะทำให้ดีที่สุด เราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทำไปหลายๆ เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องอัตราภาษีอย่างเดียวมีเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วย เราจะชี้แจงให้ชัดเจนและหวังว่าสิ่งที่เราได้ เราน่าจะได้ในส่วนที่ไม่ทำให้เป็นการเสียเปรียบ และทางสหรัฐฯเขาแบ่งสินค้าเป็น 2-3 ประเภทใหญ่ๆ ประเภทที่เป็นสินค้าทั่วไปเริ่มที่ 10% ประเภทไหนตกที่ 20% เช่นเวียดนาม และอีกประเภทคือสินค้าผ่านทางที่นำเข้ามาประกอบแล้วส่งออก เราเชื่อว่าประเทศไทยวันนี้เริ่มเข้มงวดและกวดขันส่วนนี้เราสามารถดูแลได้ดีเมื่อเทียบกับบางประเทศ
พร้อมบินไปสหรัฐหากจำเป็น
เมื่อถามว่าข้อมูลที่ประชุมกันนี้จะสรุปแล้วส่งไปยังสหรัฐฯ เมื่อใด นายพิชัย กล่าวว่า เราส่งข้อเสนอเรื่องมาตรการภาษีไปแล้ววันที่ 6 ก.ค. วันนี้เรามาดูรายละเอียดเป็นรายสินค้า และให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำเพื่อยืนยันว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว จะส่งข้อมูลไปเพิ่มหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างพูดคุยหาโอกาสคุยทางออนไลน์กับผู้ปฏิบัติว่ายังต้องการอะไรอีก ส่วนจะยื่นหรือไม่นั้นหากมีก็อีกเล็กน้อยที่เราจะปรับปรุงในสิ่งที่เราควรปรับปรุงอยู่แล้วอย่างไรก็ต้องทำและถ้าจำเป็นก็พร้อมเดินทาง
เมื่อถามอีกว่าเราวางเป้าไว้หรือไม่ว่าอยากได้ตัวเลขภาษีที่เท่าไหร่ นายพิชัย ตอบว่าการวางเป้าต้องไม่ให้เสียเปรียบคู่แข่งขั้น เมื่อถามว่าหากเป็นตัวเลข 25% จะพอใจหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า “แล้วเสียเปรียบหรือไม่หาก 25% ถ้าเสียเปรียบเราไม่วางเป้าไว้ที่ตัวเลขนี้”
อ้างเชิญ“แม้ว”ร่วมถกเพราะรู้เรื่องนี้ดี
เมื่อถามว่า การที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาร่วมประชุมด้วยนั้นได้ให้ความเห็นอะไรบ้าง นายพิชัย กล่าวว่า ตนได้เชิญทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลกมาร่วมประชุม และเห็นว่านายทักษิณ รู้เรื่องเหล่านี้ดีน่าจะให้ข้อคิดเห็นได้ดีจึงเชิญมาร่วมประชุมด้วย
“เจิมศักดิ์”จี้ถามใครแต่งตั้ง
จากกรณีมีภาพปรากฏของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าร่วมประชุมหารือกับทีมไทยแลนด์ บ้านพิษณุโลก เพื่อรับมือกรณี นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เผยแพร่จดหมายแจ้งอัตราภาษีนำเข้า ซึ่งไทยถูกเก็บที่ 36% นั้น ทาง รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นว่าลูกถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ พ่อปฏิบัติการแทน ใครแต่งตั้ง ใครรับผิดชอบ ใช้ธรรมเนียมประเพณีใด ผู้ถูกห้าม ทำงานการเมืองตลอดชีวิตเข้ากำหนด สั่งการ ครอบงำบ้านเมือง? จะปล่อยให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้?!
สื่ออาวุโสตั้งคำถาม“มีตำแหน่งอะไร”
จากกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมทีมไทยแลนด์ร่วมกับทีมที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เพื่อรับมือ
ล่าสุด นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊ก Suthichai Yoon ถึงเรื่องนี้ว่า คนนี้มีตำแหน่งอะไรในรัฐบาล? กฎหมายฉบับไหนบอกว่าถ้าลูกถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกฯ พ่อก็ขึ้นแทนโดยอัตโนมัติ? ถ้าพ่อทำอะไรเลอะเทอะ ใครรับผิดชอบ? บ้านเมืองเราไม่มีกติกาอะไรกันแล้วหรือ?
คปท.ออกแถลงการณ์ซัดรบ.ล้มเหลว
เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) แถลงการณ์ ระบุว่า รัฐบาลล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน ภายหลังการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และสมเด็จ ฮุน เซน จนนำไปสู่การที่สมาชิกวุฒิสภายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยความชอบด้วยจริยธรรมของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ นางสาวแพองธงธาร ส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว นั้น
สถานการณ์ดังกล่าวได้ถูกใช้เป็นช่องทางให้นายทักษิณ ชินวัตร เข้ามาแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดินโดยปราศจากความยินยอมและฉันทามติจากประชาชน โดยการประกาศบทบาทของตนเองอย่างเปิดเผยผ่านรายการ “ฝ่าทางตันประเทศไทย” เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ทั้งที่นายทักษิณยังคงมีสถานะเป็นจำเลยในคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาและศาลอาญา รวมถึงคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อันเป็นคดีสำคัญ
การแทรกแซงดังกล่าว ยิ่งปรากฏชัด เมื่อมีรายงานว่านายทักษิณได้เข้าร่วมประชุมทีมไทยแลนด์ ณ บ้านพิษณุโลก เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 ทั้งที่มิได้มีสถานะใดในฝ่ายบริหารของรัฐ
พฤติกรรมนี้สะท้อนว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันและคณะรัฐมนตรีได้สูญเสียความสามารถในการรักษาอำนาจอธิปไตยของรัฐ ปล่อยให้บุคคลภายนอกเข้ามาแทรกแซงและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินโดยเปิดเผยซึ่งถือเป็นความล้มเหลวอย่างร้ายแรงต่อหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ในสถานการณ์ที่รัฐบาลไม่อาจรักษาอำนาจอธิปไตยของประชาชน และไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างชอบธรรม
จี้ครม.ลาออกทั้งคณะทันที
เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) ในนามองค์กรประชาชนเพื่อการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ขอเรียกร้องต่อสาธารณชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ให้คณะรัฐมนตรีลาออกทั้งคณะโดยทันที เพื่อเปิดทางให้มีการจัดตั้งรัฐบาลที่มีความชอบธรรมและสามารถบริหารประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริง 2. ให้สมาชิกรัฐสภา ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ใช้กลไกรัฐสภาในการตรวจสอบรัฐบาลและการแทรกแซงของนายทักษิณ ชินวัตร ผ่านการอภิปราย การตั้งกระทู้ถาม การจัดตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริง และการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยสถานะของรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญโดยไม่ชักช้า
ชวนปชช.ร่วมติดตาม-ตรวจสอบ
3. ขอเชิญชวนประชาชนผู้รักชาติและยึดมันในระบอบประชาธิปไตย ร่วมกันติดตาม ตรวจสอบ และแสดงออกเชิงสันติภายใต้กรอบกฎหมาย เพื่อปกป้องอธิปไตย หลักนิติธรรม และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยร่วมกันตรวจสอบการแทรกแซงอำนาจรัฐโดยบุคคลภายนอก เรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาล และร่วมกันธำรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยของประชาชนในในฐานะเจ้าของประเทศ
คปท.จะติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด ณ สะพานชมัยมรุเชฐ พร้อมทั้งเตรียมยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของรัฐบาลชุดนี้โดยทันที รัฐบาลที่ไม่อาจปกป้องอธิปไตยของชาติ และปล่อยให้บุคคลซึ่งไม่มีอำนาจตามกฎหมายเข้ามาแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดิน ย่อมหมดความชอบธรรมที่จะดำรงอยู่ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี