(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)

4.เรื่องที่ 3 ส่วนราชการได้หารือโดยแจ้งข้อเท็จจริงว่า กรมได้สั่งบรรจุและแต่งตั้งให้นายก.ดำรงตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2556 แล้วได้ส่งตัวไปพิมพ์ลายนิ้วมือที่สถานีตำรวจ ผลปรากฏว่า พบประวัติอาชญากร 1 รายการโดยนายก.เคยถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) จำนวน 1 เม็ดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลจังหวัดได้พิพากษาจำคุกมีกำหนด 6 เดือนและปรับ 10,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 2 ปี โดยให้คุมประพฤติจำเลยไว้ และให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติมีกำหนด 3 เดือนต่อครั้งเป็นเวลา 1 ปี และให้ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์จำนวน 24 ชั่วโมง ส่วนราชการจึงหารือว่า นาย ก. เป็นผู้มีคุณสมบัติทั่วไป และมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 36ข.แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 หรือไม่อย่างไรและจะบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนได้หรือไม่นั้น

สำนักงานก.พ.พิจารณาแล้วขอเรียนว่า พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ได้บัญญัติลักษณะต้องห้ามที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนตามมาตรา 36ข.(7) ว่าต้องไม่เป็นผู้เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เพราะกระทำความผิดทางอาญา เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ซึ่งการเป็นผู้เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกนั้น หมายถึง ผู้นั้นต้องถูกจำคุกจริงโดยมิได้มีการรอการลงอาญาไว้ สำหรับกรณีนายก.ศาลจังหวัดได้มีคำพิพากษา ให้จำคุก 6 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และให้คุมความประพฤติจำเลยไว้เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งคดีถึงที่สุด ดังนั้น นาย ก. จึงยังไม่เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือน ตามมาตรา 36ข.(7) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

(อ่านต่ออาทิตย์หน้า)