‘แม้ว’ร่วมวงดินเนอร์พรรคร่วมรบ.

‘พท.’ปัดครอบงำ

อ้างแค่แชร์ประสบการณ์

ว้าก!นักร้องเลิกจ้องจับผิด

แก้ลำปชน.นับองค์ประชุม

ให้ประจานชื่อ-อย่าสั่งปิด

“วิสุทธิ์” ยัน “แม้ว” แจมวงดินเนอร์ พรรคร่วมรัฐบาล 22 กรกฎาคม ไร้ครอบงำ-สั่งการ แค่นำประสบการณ์เป็นประโยชน์มาแนะนำ ดักคอบรรดา“นักร้อง”อย่าเอาแต่จ้องจับผิด ฝ่ายค้าน“นับองค์ประชุม”เรื่องปกติ กร้าวสัปดาห์ต่อไปบอกประธานสภาฯไม่ต้องชิงปิดประชุม ให้ประจานชื่อเลย สส.คนไหนไม่อยู่ทำหน้าที่ ลั่นถ้าเดือนละ8วัน ครั้งหน้าอย่าเลือก ให้อยู่บ้านเถอะ‘ภูมิธรรม’ไม่รู้’ทักษิณงร่วมดินเนอร์พรุ่งนี้หรือไม่ ปกติไม่ให้คนนอกเข้า อย่าถามล่วงหน้างูเห่าโผล่ร่วม‘ศุภชัย’จ่อดำเนินคดี‘สมศักดิ์’ปราศรัยโจมตี’ภท.’ไม่แก้ปัญหายาเสพติด ซัดกลับ ปปส.-ตร.หน่วยงานหลักบกพร่อง สมัยนั่งรมว.ยธ.หนุนปลดล็อกกัญชา

เมื่อวันที่ 21กรกฎาคม2568 นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะร่วมรับประทานอาหารกับพรรคร่วมรัฐบาลในวันที่ 22 ก.ค.นี้ ว่า เบื้องต้นทราบว่าท่านจะไป เป็นเรื่องปกติเพราะตั้งแต่ตั้งรัฐบาลมา 2 ปี สส.พรรคร่วมรัฐบาลไปทานอาหารร่วมกันแค่ครั้งเดียว เพราะแต่ละคนไม่ค่อยมีเวลา แต่ครั้งนี้มีการปรับบางพรรคออกจากการร่วมรัฐบาล ที่เหลือเราจึงต้องมานั่งปรึกษาหารือและทำความเข้าใจกันเพื่อให้เกิดความแน่นแฟ้น ความสามัคคีในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ

พท.ปัด’แม้ว’ครอบงำ-แค่มาชี้แนะ

เมื่อถามว่า มองว่าเป็นการครอบงำหรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า การไปทานอาหารร่วมกันและไปพูดคุยกันนั้น ไม่ถือเป็นการครอบงำ ถ้าตีความการครอบงำจะคือการสั่งการ สั่งให้พรรคนั้นทำเช่นนี้ หรือทำให้ฝ่ายพรรคเพื่อไทยทำเช่นนั้น แต่หากไปให้ความรู้และประสบการณ์การทำงาน เราต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่าตอนที่นายทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี คนไทยวันนั้นมีความสุขมาก ยาเสพติดเกือบหมดไป อะไรก็ดีไปหมด ท่านนำประสบการณ์มาแนะนำถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ ฉะนั้นขออย่าไปจ้องว่าจะมีการครอบงำเช่นนั้นเช่นนี้ คนไทยวันนี้ติดเรื่องหนึ่งคือการจับผิด ไม่รู้ว่าใครจะมาบอกดีหรือบอกร้าย แต่ฟ้องไว้ก่อน กลายเป็นเรื่องปกติที่ร้องรายวัน ทำให้องค์กรอิสระเหนื่อยไม่รู้จะตรวจสอบเช่นไร นักร้องเยอะแยะไปหมด ไม่รู้วงไหนบ้าง มีหลายวง

เมื่อถามว่า ไม่กลัวข้อหานี้ใช่หรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ไม่กลัว เราต้องตีความว่าการครอบงำคือการไปสั่งการให้ทำเช่นนั้นเช่นนี้ พรรคนั้นต้องปฏิบัติเช่นนี้ พรรคนี้ต้องปฏิบัติเช่นนั้น แต่ท่านไปพูดประสบการณ์การทำงาน ตนถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการที่เป็นนักการเมือง ฝ่ายบริหารได้ฟังก็นำไปคิด หากอะไรที่เป็นประโยชน์ก็นำไปทำ สส.รุ่นหลังที่เข้ามาก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้พบท่าน ก็ไปฟัง เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ท่านไปออกรายการต่างๆ หลายคนได้ฟังก็บอกว่าเป็นประโยชน์ว่าท่านจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจฟื้นตัว บ้านเมืองจะเดินอย่างไร ถือเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น ไม่ได้มีการครอบงำอะไร

สภาไม่ต้องปิดประชุม ให้ประจานชื่อ

นายวิสุทธิ์ ยังให้สัมภาษณ์ถึงองค์ประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ล่มแล้วล่มอีก ทำให้ประธานในที่ประชุมต้องชิงปิดประชุมก่อนตลอด ว่า เปิดสมัยนี้มายังไม่เคยล่ม แต่ประธานในที่ประชุมปิดไปก่อน ยังไม่ได้มีการนับองค์ประชุม โดยในสัปดาห์ต่อไปเราจะพยายามเต็มที่ เป็นเรื่องธรรมดาที่เสียงเกินมาประมาณ 10 กว่าเสียง และในวันพฤหัสบดีจะมีการพิจารณาเรื่องรับทราบเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่เรื่องกฎหมายสำคัญอะไร และรัฐมนตรีหลายคนออกไปเราก็ทราบ เพราะท่านต้องไปปฎิบัติหน้าที่ที่กระทรวง ความจริงเราก็อยากให้ท่านอยู่ที่นี่ แต่บางท่านก็บอกว่าติดภารกิจจริงๆ จึงต้องออกจากสภาไปและเป็นโอกาสให้ฝ่ายค้านสามารถทำเหมือนที่ผ่านมาได้ ฝ่ายค้านนับองค์ประชุมถือเป็นเรื่องปกติ รับได้ไม่เป็นอะไร

ชาวบ้านจะได้ไม่เลือกมาเป็นสส.

“ในฐานะวิปเราก็พยายาม ผมจึงบอกว่าเป็นความหนักใจที่อยากได้สส.ของรัฐบาลเยอะ มันจะง่ายกว่า หากหายไป 20-30 คนก็ไม่เป็นอะไร แต่บางครั้ง 10 กว่าคนก็จะมีป่วยบ้าง ไม่สบายบ้างถือเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีปัญหา ฉะนั้น เราก็จะพยายามทำต่อไป พยายามให้ครบ และอย่างที่ผมบอกว่าได้ปรึกษาผู้ใหญ่หลายคนในพรรค ซึ่งท่านก็แนะนำว่าหากสภาล่มก็ให้เปิดรายชื่อเลยว่าสส.คนไหนไม่อยู่ ใครหนีประชุมบ้าง ให้เปิดเผยรายชื่อเพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้ตรวจสอบว่าสส.ที่พวกคุณเลือกมาเวลามีประชุมสภา เขาหนีประชุม สัปดาห์ต่อไปก็จะบอกประธานในที่ประชุมอย่าชิงปิดประชุม ให้เปิดชื่อ ใครไม่อยู่จะได้รายงานประชาชน คนที่เลือกเขาจะได้เสียใจว่าที่เลือกไปแล้วเขาไม่ทำงาน ไม่ปฏิบัติหน้าที่ เดือนละ 8วัน คราวหลังก็อย่าให้มาเลย ลำบาก ให้ท่านอยู่ที่บ้านเถอะ

‘ผมเชื่อว่าสื่อก็อยากรู้ว่าใครบ้าง คนทั้งประเทศก็อยากรู้ว่าสส.ที่เลือกไปอยู่ในที่ประชุมหรือไม่ ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล เปิดเผยให้หมดถ้าอยู่ก็ต้องแสดงตน“นายวิสุทธิ์ กล่าว เมื่อถามว่า คาดว่าสัปดาห์นี้จะเกิดเหตุการณ์ขอนับองค์ประชุมและปิดการประชุมก่อนหรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า จะมีหรือไม่มีก็ไม่ได้กังวล เชื่อว่าสัปดาห์นี้เราพร้อม’

‘ภูมิธรรม’ไม่รู้’ทักษิณงร่วมดินเนอร์

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการรับประทานอาหารเย็นร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ (22ก.ค.) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะไปร่วมงานด้วยหรือไม่ ว่า ไม่ทราบ ซึ่งการรับประทานอาหารเป็นไปตามกระบวนการปกติ ที่พรรคร่วมรัฐบาลจะกินข้าวและพูดคุยกัน ส่วนเรื่องที่จะพูดคุยกัน คงเป็นเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ทำความรู้จักและพบปะแลกเปลี่ยนกัน เมื่อถามย้ำว่า นายทักษิณ สามารถไปร่วมงานได้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องว่าไปตามกฎหมาย ซึ่งงานลักษณะดังกล่าวปกติจะไม่ให้บุคคลภายนอกเข้า ส่วนสื่อมวลชนจะเข้าร่วมงานได้หรือไม่ ขอดูรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งคงแล้วแต่ผู้จัด เมื่อถามว่า จะมีสส.ฝ่ายค้านไปปรากฎตัวด้วยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ทราบ ชอบให้ตนพูดก่อนที่เรื่องจะเกิด จะไปรู้ได้อย่างไร

เฉลิมชัย’ไม่ยืนยันร่วมวงดินเนอร์

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่าถึงกรณีงานเลี้ยงดินเนอร์กับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ว่า ตนขอดูภารกิจก่อน แต่ ยืนยันว่าส่วนตัวไม่มีปัญหาในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด ไม่ว่าตนจะไปร่วมหรือไม่ไปร่วมก็ไม่ใช่ปัญหา เมื่อถูกถามถึงกระแสข่าวที่ว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเข้าร่วมงานดินเนอร์ในครั้งนี้ด้วย นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ไม่ทราบเลยครับ เมื่อถามว่า เหมาะสมหรือไม่หากนายทักษิณจะเข้าร่วมงานดังกล่าว นายเฉลิมชัย กล่าวว่า นายทักษิณมีสิทธิ์เดินทางไปไหนตอนไหนในประเทศไทยหรือไม่ ถ้านายทักษิณมีสิทธิ์เดินทางไป ก็ถือเป็นสิทธิ์ของท่าน ซึ่งเหมือนกับตน หากติดภารกิจแล้วไม่ได้ไป ก็ไม่ได้หมายความว่ามีปัญหา ยืนยันว่านายทักษิณมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไปร่วมงาน และ คนไทยทุกคนไปหากไม่ใช่สถานที่เป็นที่ห่วงห้าม ไปได้ทุกที่

‘ศุภชัย’จ่อฟ้อง’สมศักดิ์’ใส่ร้าย

ขณะที่นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานด้านกฎหมาย พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยกล่าวพาดพิงพรรคภูมิใจไทยซึ่งดูแลดูแลกระทรวงมหาดไทยไม่แก้ปัญหายาเสพติดและทํากัญชาเสรี ว่า เป็นการกล่าวที่เป็นการใส่ร้าย ทีมกฎหมายพรรคจะตรวจสอบและดำเนินคดีต่อไป ความจริงหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นหน้าที่หลักของสํานักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) ซึ่งเป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงยุติธรรม ที่ นายสมศักดิ์ เคยเป็น รมว.ยุติธรรม ซึ่งมีหน้าที่หลักในขณะนั้นในการป้องกันยาเสพติด ต่อมาหลัง นายสมศักดิ์ ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีแล้ว ผู้ที่เข้ามาดํารงตําแหน่งรมว.ยุติธรรม คือ พันตํารวจเอกทวี สอดส่อง ซึ่งเป็นอยู่ถึงปัจจุบัน

ปปส.-ตร.คือหน่วยดูแลโดยตรง

“ถามว่าที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ ทําหน้าที่ป้องกันปราบปรามยาเสพติดไปถึงไหน ในฐานะเป็นคนดูแล ปปส.รัฐมนตรีทวี ทําหน้าที่ป้องกันปราบปรามยาเสพติดหรือไม่ อย่างไร แล้วหน่วยงานอีกหน่วยงานหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดโดยตรงคือ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ความรับผิดชอบโดยตรงของทั้ง 2หน่วยงานนี้ เป็นหน่วยงานหลัก กระทรวงมหาดไทยไม่ว่าตั้งแต่สมัยไหนก็ตาม ไม่ใช่หน่วยงานหลักในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด แต่เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการสนับสนุนการทํางานทั้งสํานักงานตํารวจแห่งชาติและปปส.

ส่วนเรื่องกัญชาจริงๆ การปลดล็อกกัญชา ทำสมัยที่ นายสมศักดิ์ เป็น รมว.ยุติธรรม เคยลงมติสนับสนุนปลดล็อก เพราะฉะนั้นอย่ามาบิดเบือนว่า ภูมิใจไทยมาทําให้กัญชาเสรีอย่างเดียว ภูมิใจไทยไม่เคยทํากัญชาเสรี เราทํากัญชาทางการแพทย์ เหมือนที่ นายสมศักดิ์ กําลังทําตามสิ่งที่ภูมิใจไทยเคยทํามา

รวมพลังแผ่นดินฯถกเคาะเคลื่อนไหว

มีรายงานว่า กลุ่ม“รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย”นัดหารือร่วมกันในวันพุธที่ 23กรกฎาคมนี้ เพื่อกำหนดท่าทีต่อสถานการณ์ทางการเมือง รวมถึงวางแนวทางการเคลื่อนไหวในระยะถัดไป การประชุมจะมีแกนนำคนสำคัญจากหลากหลายกลุ่มเข้าร่วม อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายนิติธร ล้ำเหลือ นายพิชิต ไชยมงคล นายนัสเซอร์ ยีมะ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นายแก้วสรร อติโพธิ นายสมชาย แสวงการ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ และนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นอกจากนี้ ยังประเมินเบื้องต้นว่า ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นสิงหาคม อาจเดินสายจัดเวทีเสวนาและปราศรัยในต่างจังหวัด เพื่อสร้างกระแสความตื่นตัวประชาชนทั่วประเทศ ก่อนขยับสู่การจัดชุมนุมใหญ่ในเดือนสิงหาคม หากเห็นว่าสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความคืบหน้าในประเด็นที่ประชาชนวิตกกังวล

‘หมอวรงค์’ชี้แม้วดิ้นสั่งลาครั้งสุดท้าย

นพ.วรงค์ เดชกิจกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ “ทำไมทักษิณเคลื่อนไหวหนัก” โดยระบุว่าแปลกใจไหมคะรับ ก่อนหน้านี้ ในช่วงอุ๊งอิ๊งถูกข้อหาขายชาติ ที่มีคลิปหลุด ในการคุยโทรศัพท์กับฮุนเซน รวมทั้งคดีชั้น 14 และ 112 ทักษิณดูเงียบผิดปกติ ค่อนข้างนานพอสมควร แต่มาช่วงนี้ทักษิณกลับเคลื่อนไหวทางการเมืองมากผิดปกติ หลายคนเริ่มตั้งถาม ทำไมดูแล้วเร่งเคลื่อนไหว บ่อยมากจนดูแลปลกๆ ถ้าหากจะให้วิเคราะห์ ก็คงหนีไม่พ้นทั้งอำนาจของรัฐบาลเพื่อไทย และตัวเขาเอง แม้อุ๊งอิ๊งจะขอศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลาอีก15วัน คดีของอุ๊งอิ๊งไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแค่เนื้อหาการพูดคุยทางโทรศัพท์ คนไทยที่ฟังภาษาไทยเข้าใจ น่าจะตัดสินใจได้ไม่ยากว่าเหมาะสมหรือที่คนเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศ ไปเจรจาความเมืองแบบนี้ โอกาสที่อุ๊งอิ๊งจะถูกถอดถอนจึงสูงมาก

ถ้ามองเชิงวิเคราะห์ แค่โอกาสของรัฐบาลเพื่อไทยจะสิ้นสภาพสูงมาก จึงทำให้ทักษิณต้องเร่งขับเคลื่อนเพื่อสร้างคะแนนให้ตนเอง แต่ที่หนักกว่านั้นคือ การป่วยที่ชั้น 14 กำลังจะจบ เรื่องชั้น14 เป็นเรื่องเดียวที่ทักษิณไม่อยากพูดถึง ถ้ามองในรูปคดีนี้ จากข้อมูลพยานหลักฐานที่ได้ฟังมา เบื้องต้นสามารถวิเคราะห์ได้ทันทีว่า ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่อ้างว่าป่วยหนัก นอน รพ.ตำรวจ ที่ห้องพิเศษต่อเนื่องถึง 180 วัน และ ได้พักโทษต่ออีก 6 เดือน ยิ่งศาลท่านมาถูกทาง ในการเรียกใบสั่งรักษาของแพทย์(doctor’s order note) เพราะความจริงทั้งหมดที่แพทย์สั่งรักษา จะอยู่ในใบสั่งรักษาทั้งหมด รวมทั้งจะต้องมีลายเซ็น วันที่และเวลาที่พยาบาลรับ order แพทย์ เอกสารพวกนี้จึงทำย้อนหลังไม่ได้ และสามารถพิสูจน์ได้ว่า แพทย์คนไหนให้การเท็จ ซึ่งต่างจากใบ progress note ที่แพทย์เขียนสรุปเอง ใบนี้อาจจะเขียนย้อนหลังได้

“ผมวิเคราะห์ว่า การที่นายทักษิณเคลื่อนไหวหนักช่วงนี้ น่าจะคาดเดาผลของคดีชั้น 14 ได้ โอกาสไม่เป็นคุณต่อเขาสูงมาก ดังนั้น การเคลื่อนไหวถี่มากในช่วงนี้ อาจจะเป็นการเคลื่อนไหวสั่งลาครั้งสุดท้ายของเขาก็ได้”

ชงศาลฎีกาฯเรียก’อิ๊งค์’ให้ปากคำชั้น14

รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ และในฐานะราษฎรอาวุโส ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า เรียน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในการไต่สวนความจริงกรณี“ทักษิณชั้น14 ” ขอกราบเรียนเสนอให้ออกหมายเรียก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรีของนายทักษิณ ชินวัตร มาให้ปากคำ เพราะขณะที่นายทักษิณซึ่งอ้างว่าป่วยวิกฤติอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ นางสาวแพทองธาร เคยไปเยี่ยมหลายครั้ง และรับตัวกลับจากโรงพยาบาล ย่อมทราบข้อมูลข้อเท็จจริงถึงสภาพการทั้งหลายทั้งปวงได้ดีกว่าไม่น้อยกว่าคนอื่น

“นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของราชณาจักรไทย ย่อมต้องรักษาเกียรติภูมิ ความน่าเชื่อถือ ประกอบคุณธรรมและจรรยาบรรณระดับสูง จะทำให้การไต่สวนข้อเท็จจริงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรียังได้เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ว่านายทักษิณป่วยและได้รับการผ่าตัดด้วย ดังปรากฏในคลิปที่แนบ แต่นายกรัฐมนตรีมิได้ลงรายละเอียดว่าป่วยเป็นโรคอะไร ช่วงเวลาไหน ได้รับการผ่าตัดอะไร ที่บริเวณส่วนไหน มากน้อยอย่างไร สภาพการทางกายภาพเป็นอย่างไรตลอด 181 วัน ช่วยตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน มีแพทย์ พยาบาล และหรือเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวอย่างไร รับประทานยาจากภายในโรงพยาบาลและภายนอกโรงพยาบาลอย่างไร แล้วทำไมเมื่อออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน จึงมีร่างกายแข็งแรงได้อย่างอัศจรรย์ ควรไม่ควรแล้วแต่จะกรุณา”