ยิงถล่มไทยไม่หยุด-พบเพิ่มกำลัง4พื้นที่
เขมรปลิ้นปล้อนไม่เลิก
ทบ.ย้ำพร้อมตอบโต้เด็ดขาด
ซัดละเมิดกติกาอย่างร้ายแรง
ทอ.เผยพบโดรนในหลายจุด
ศบ.ทก.ห้ามบินพื้นที่14จว.
กัมพูชายังละเมิดข้อตกลงไม่เลิก! ยิงถล่มที่ตั้งทหารไทย ก่อกวนต่อเนื่องยันรุ่งเช้า ทภ.2 สรุปสถานการณ์เขมรละเมิด ข้อตกลง ไม่หยุดยิง พบเพิ่มกำลังใน 4 พื้นที่ “ช่องอานม้า ภูมะเขือ-ปราสาทตาเมือนธม-ตาควาย” ใช้โดรนตรวจการณ์ ทบ.แถลงพร้อมตอบโต้เด็ดขาด เพื่อปกป้องอธิปไตย ซัดละเมิดกติกาอย่างร้ายแรง โจมตีใน 3 พื้นที่ ‘ผบ.ทอ.’ยอมรับพบ‘โดรน’บินเหนือ‘กองบิน21’ เผยพบหลายพื้นที่-กทม. ‘ศบ.ทก.’สั่งห้ามบิน‘โดรน’ทุกประเภทรัศมี 9 กม.ในพื้นที่14จังหวัด เสี่ยงกระทบความมั่นคง ย้ำไทยพร้อมประชุมจีบีซี4ส.ค.นี้ กต.เผย‘สถานทูต-กงสุลใหญ่ไทย’ทำงานเชิงรุก เร่งชี้แจงสถานการณ์ทั่วโลก
ความคืบหน้าหลังรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา บรรลุข้อตกลงยุติการสู้รบทางทหารบริเวณแนวชายแดนไทย-เขมร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 24.00 น ของวันที่ 28 กรกฎาคมเพื่อลดความตึงเครียดและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหันมาเจรจายุติข้อขัดแย้งนั้น ยังมีความเคลื่อนไหวทางฝ่ายเขมรที่ยิงอาวุธใส่หลายพื้นที่ของไทย
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาว่า ได้รับแจ้งจากหน่วยในพื้นที่ภูมะเขือ ตั้งแต่เวลาประมาณ 04.15 น.ถึง05.25น.ยังมีการยิงก่อกวนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
เขมรไม่หยุดยิงยังโจมตีเกือบทั้งคืน
“วานนี้(29 ก.ค.)พลตรี วินธัย สุวารีโฆษก กองทัพบกกล่าวถึงกรณีเหตุประทะบริเวณภูมะเขือ และช่องอานม้า เมื่อวันที่ 29 ก.ค.68ช่วงกลางคืน มีเหตุใช้อาวุธปะทะกัน 2 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ช่องอานม้า เวลา 21.30น.มีเหตุการณ์ทหารกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธปืนเล็กยิงเข้ามายังที่ตั้งทหารไทยทำให้ทหารไทยต้องยิงตอบโต้กลับไป และเกิดการยิงตอบโต้กันไปมา ใช้เวลา 30นาที เสียงปืนจึงได้สงบลง ส่วนพื้นที่ภูมะเขือ เวลา 22.00 น. ฝ่าย กัมพูชาได้ใช้ทั้งอาวุธปืนเล็ก และปืน ค.ทำการยิงใส่ที่ตั้งทหารไทย ทำให้ทหารไทยต้องยิงตอบโต้กลับไป จึงทำให้เกิดการยิงตอบโต้กันไปมาตลอดเกือบทั้งคืน”
ทบ.ประณามเขมรละเมิดหยุดยิง
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเป็นการแสดงถึงท่าทีที่ไม่ตั้งใจจริงของกัมพูชา เจตนาที่จะละเมิดในข้อตกลงที่รัฐบาลทั้งสองประเทศได้ตกลงกันแล้วซึ่งฝ่ายไทยเองได้ปฏิบัติตามพันธกรณีที่รัฐบาลทั้งสอง ได้ตกลงกันแล้วอย่างเคร่งครัด จึงขอประณามต่อการกระทำดังกล่าวอีกเป็นครั้งที่2 เชื่อว่าจะมีผลต่อภาพลักษณ์ของกัมพูชาอย่างรุนแรงแรง ในสายตาของชาวโลก ต่อการกระทำในลักษณะเช่นนี้
ทบ.พบเพิ่มกำลังใน4พื้นที่ชายแดน
ต่อมา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 30 กรกฎาคม 2568(ณ เวลา10.00 น.) ตามที่เกิดสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปผลการปฏิบัติที่สำคัญของสถานการณ์ถึงวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา10.00น.ภายหลังการเจรจาหยุดยิงของทั้งสองฝ่าย ห้วงคืนวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ต่อเนื่องจนถึงเช้าวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ปรากฏการคุกคามของกำลังประเทศกัมพูชาใน4 เหตุการณ์ ดังนี้
1.พื้นที่ช่องคานม้า ตรวจพบการเพิ่มเติมกำลังของกำลังประเทศกัมพูชา และตรวจพบการใช้อากาศยานไร้คนขับ(โดรน)บินตรวจการณ์การวางกำลังของฝ่ายเรา จากนั้นในห้วงกลางคืนมีการปะทะกันด้วยปืนเล็ก 2.พื้นที่ภูมะเขือ ตรวจพบการเพิ่มเติมกำลังของกำลังประเทศกัมพูชาและตรวจพบการใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ตรวจการณ์การวางกำลังของฝ่ายเรา จากนั้นในห้วงกลางคืน มีการปะทะกันด้วยปืนเล็ก 3. พื้นที่ผามออีแดง กำลังประเทศกัมพูชาได้ใช้อาวุธยิงสนับสนุน(ค.100)โจมตีเข้ามายังฐานปฏิบัติการฝ่ายเรา แต่ฝ่ายเราไม่มีการตอบโต้แต่อย่างใด (กำลังพลปลอดภัย)4.พื้นที่ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย ตรวจพบการเพิ่มเติมกำลังของกำลังประเทศกัมพูชา
ทบ.แถลงยันไทยยึดข้อตกลง
ขณะที่ กองทัพบก ได้ออกแถลงการณ์ว่า ตามที่รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาได้ตกลงร่วมกันในการประกาศหยุดยิงเพื่อยุติการปะทะทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ เวลา24.00น.ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 นั้น กองทัพบก ขอยืนยันว่าฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอดโดยได้ระงับการใช้กำลังทุกรูปแบบและลดกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดบรรยากาศแห่ง สันติภาพ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความร่วมมือที่สร้างสรรค์ระหว่างทั้งสองประเทศ
ยิงถล่มใส่ไทย3จุดจนถึงเช้า
กองทัพบกได้รับรายงานจากหน่วยในพื้นที่ว่าในวันที่ 29 ถึง30กรกฎาคม 2568 กองทัพกัมพูชาได้กระทำการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้งโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้1.พื้นที่ช่องคานม้า จังหวัดศรีสะเกษ ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เวลา 21.30น. กองทัพกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงเข้าใส่แนวกำลังฝ่ายไทย เป็นเหตุให้เกิดการปะทะจนถึงเวลา 22.00 น.จึงยุติ 2.พื้นที่เขาพระวิหารบริเวณภูมะเขือและห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 22.00 น.กองทัพกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยิงอย่าง ต่อเนื่อง พร้อมกับใช้อาวุธยิงสนับสนุนประเภทเครื่องยิงลูกระเบิด ฝ่ายไทย จึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามหลักสากลในการตอบโต้ เพื่อป้องกันตนเอง การยิงจากฝ่ายกัมพูชายังคงเกิดขึ้นเป็นระยะจนถึงช่วงเช้าวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 3. พื้นที่ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา 05.17 น.ตรวจพบการยิงเครื่องยิงลูกระเบิดจากฝั่งกัมพูชา เข้ามาในเขตแดนประเทศไทยอย่างชัดเจน
ประณาม-พร้อมตอบโต้เด็ดขาด
การกระทำของกองทัพกัมพูชาในครั้งนี้ ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างร้ายแรง นับเป็น ครั้งที่สองภายหลังจากที่ข้อตกลงมีผลบังคับใช้ และสะท้อนถึงพฤติกรรมที่ไม่เคารพต่อพันธกรณีระหว่าง ประเทศ ตลอดจนเป็นการบ่อนทำลายความพยายามในการคลี่คลายสถานการณ์ด้วยสันติวิธี อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความไว้วางใจที่ควรมีระหว่างสองประเทศ
กองทัพบก ขอประณามการกระทำอันไม่รับผิดชอบของกองทัพกัมพูชาอย่างถึงที่สุด และขอแจ้ง ให้ทราบว่า ฝ่ายไทยจะยังคงดำรงตนอยู่บนหลักแห่งความอดกลั้น สันติภาพ และมนุษยธรรมอย่างสูงสุด อย่างไรก็ดี หากมีการละเมิดต่อเนื่อง กองทัพบกจะดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมและจำเป็นอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนไทยโดยไม่ละเว้น จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
ผบ.ทอ.รับพบโดรนเหนือกองบิน21
ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.)ยอมรับว่ามีโดรนมาบินใกล้กองบิน 21 จ.อุบลราชธานี จริงแล้ว ก็ยังมีอีกหลายที่เท่าที่พบ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบและกองทัพอากาศก็ได้มีระบบการตรวจจับอากาศยานไร้คนขับ(Anti Drone )แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีการโจมตีเข้ามา ที่กองบิน21แต่อย่างใด ส่วนจะเป็นโดนสอดแนมหรือไม่นั้น เท่าที่ดูไม่มีกล้องถ่าย และไม่ได้ตั้งติดอะไรเพิ่ม
เผยยังพบหลายพื้นที่-กทม.ด้วย
เมื่อถามว่ามาในลักษณะนี้เหมือนต้องการมาป่วนสถานการณ์หรือไม่ พล.อ.อ.พันธ์ภักดีกล่าวว่าขณะนี้กำลังดูสาเหตุอยู่ ส่วนโดรนที่บินที่กองบิน 21 และกองบินอื่นๆ มีความเชื่อมโยงกันหรือไม่นั้นพล.อ.อ.พันธ์ภักดี กล่าวว่า ที่อื่นๆก็มีและพื้นที่กรุงเทพก็มีโดรนผิดปกติเยอะเช่นกัน ขณะนี้ยังตรวจสอบไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นโดรนปกติก็ได้ ขอยืนยันว่ากองทัพอากาศ จะดูแลอย่างเต็มที่ไม่ต้องเป็นห่วง
สั่งห้ามบินโดรนพื้นที่มั่นคง
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา(ศบ.ทก.)กล่าวว่าสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) สั่งห้ามบิน “โดรน” ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ใน 7 จังหวัดชายแดน ซึ่งปรากฎข้อเท็จจริงว่ามีการตรวจพบการใช้อากาศยาน ซึ่งไม่มีนักบินในลักษณะที่กระทบต่อความมั่นคงประเทศ การรักษาความปลอดภัย และความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) จึงได้ออกประกาศเน้นย้ำ ลงวันที่ 29กรกฎาคม 2568 ห้ามมิให้ผู้ใดทำการบินหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินหรือ “โดรน”ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ พื้นที่หวงห้ามเด็ดขาด พื้นที่หวงห้ามเฉพาะ พื้นที่อันตรายตามที่กำหนด และในพื้นที่สำคัญ ดังนี้ จังหวัดสระแก้ว ตราด จันทบุรี ปราจีนบุรี ลพบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี รวมถึงนครสวรรค์ พิจิตร เพชรบูรณ์ รวมถึงห้ามบินโดรนทุกประเภทในรัศมี 9 กิโลเมตร (5 ไมล์ทะเล) จากสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานทุกแห่งโดยเด็ดขาด
ยันไทยมีระบบต่อต้านโดรน
ส่วนของกองทัพไทยและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการบินยืนยันว่ามีประเทศไทยมีระบบการต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน ทางอากาศที่บินข้ามพรมแดนเข้ามาในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะใช้คลื่นความถี่ในการบังคับซึ่งประเทศไทยมีระบบการตัดสัญญาณการควบคุมโดรนที่เป็นสากลระดับโลกอยู่แล้ว จึงขอให้มั่นใจได้ว่าโดรนของฝ่ายตรงข้าม จะไม่สามารถลุกล้ำอธิปไตยเข้ามาในระยะ 1 กิโลเมตรได้
“กพท.ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าสายการบินและเครื่องบิน ทุกชนิดสามารถ บินเข้า–ออกจากประเทศได้อย่างปลอดภัย ส่วนเส้นทางที่อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่ความขัดแย้งเช่นเส้นทางบินบางส่วนที่มุ่งหน้าไปยังกัมพูชา เวียดนาม และฟิลิปปินส์ นั้นกพท. ยืนยันว่าเป็นการปรับเปลี่ยนที่อยู่ในขอบเขตจำกัด และยังสามารถทำการบินได้อย่างต่อเนื่อง”นายจิรายุกล่าว
ศบ.ทก.ย้ำไทยจำเป็นตอบโต้เด็ดขาด
เวลา12.15 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทยในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.)แถลงผลการประชุม ศบ.ทก.ว่าขอเน้นย้ำไทยยังคงยึดมั่นในเรื่องความอดทน อดกลั้น เชื่อมั่นในการดำเนินการด้านสันติภาพ และดำรงการปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรม แต่ทหารไทยถูกละเมิดอธิปไตย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด และเหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชน ถือเป็นจุดยืนที่เราได้แสดงมาตั้งแต่ต้น
ทั้งนี้ ขอชื่นชมไปยังผู้กล้าและขอสดุดีวีรชนทั้งหลายที่อยู่ในแนวหน้าตั้งแต่วันแรกของการปะทะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกเหนือจากเราทหารแล้วยังมีทหารพราน ตำรวจตระเวนชายแดนและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่มีส่วนร่วมเป็นผู้ที่ทำให้การปฏิบัติงานของเราประสบความสำเร็จ ยังมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังทุกฝ่าย ขอขอบคุณและขอสดุดีผู้กล้าทั้งหลายในส่วนตรงนี้
ยันพร้อมประชุมจีบีซี4ส.ค.
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่าในวันที่ 4 ส.ค.นี้ มีกำหนดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ขณะนี้ฝ่ายไทยมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมประชุม ตอนนี้เรากำลังรอฝ่ายกัมพูชาส่งหนังสือเชิญเข้าประชุมตามที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมในเรื่องของรายละเอียด และเนื้อหาที่จะเข้าไปร่วมเจรจา ทั้งนี้ ในส่วนการพูดคุยกันเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา ในระดับของแม่ทัพภาคได้ข้อตกลงในภาพรวมเรื่องแนวทางการหารือและแนวทางในการปฏิบัติร่วมกันระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่ทั้ง 2 ฝ่าย หวังว่าภาพนี้ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่สันติภาพในภูมิภาคและระหว่างทั้งสองประเทศ
ยอดอพยพ1.9แสนในศูนย์ฯ780แห่ง
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่ากระทรวงมหาดไทยได้รายงานตัวเลขผู้อพยพตามศูนย์พักพิงต่างๆ จำนวน 190,104 คน ในศูนย์พักพิง 780 แห่ง ตอนนี้สถานการณ์อย่างมีความเปราะบาง จึงขอให้ประชาชนรับฟังข่าวสารอย่างใกล้ชิดประชาชนที่อยู่ศูนย์อพยพสามารถเดินทางกลับบ้านได้ต่อเมื่อทางภาครัฐยืนยันว่ามีความปลอดภัยแล้ว ฉะนั้น ในช่วงนี้ขอเน้นย้ำให้ประชาชนอยู่ในสถานที่ที่จัดสรรไว้ให้ก่อน เพราะต้องดูสถานการณ์กันต่อไป
สั่งห้ามบิน‘โดรน’ในพื้นที่เสี่ยง14จว.
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวอีกว่าในที่ประชุมศบ.ทก.ยังมีการพูดถึงการห้ามบินโดรนในพื้นที่ที่อาจจะกระทบความมั่นคงของประเทศไทยเมื่อวันที่ 29ก.ค.ที่ผ่านมาโดยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศว่าห้ามมิให้ผู้ใดทำการบินหรือปล่อยอากาศยาน ซึ่งไม่มีนักบิน หรือโดรน ในพื้นที่อาจจะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศหรือในช่วงสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณตั้งแต่ จ.ตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ปราจีนบุรี นครราชสีมา นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ ชัยนาท พิจิตร และลพบุรี
นอกจากนี้ยังห้ามบินโดรนทุกประเภท ในรัศมี 9 กิโลเมตร หรือ5ไมล์ทะเล จากสนามบิน หรือที่ขึ้นลงชั่วคราวทุกแห่งโดยเด็ดขาด ผู้ใดที่ฝ่าฝืนระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่งถึงมาเลย์-สหรัฐ-จีนปมเขมรละเมิด
ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในส่วนการดำเนินการต่อการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชานั้น ฝ่ายไทยได้มีหนังสืออย่างเป็นทางการถึง รมว.ต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน รวมถึงประเทศผู้สังเกตการณ์ ได้แก่ จีนและสหรัฐอเมริกาที่เข้าร่วมการเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่28 ก.ค. เช่นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชาเมื่อวันที่ 29 ก.ค. รวมทั้งยังมีหนังสืออีกฉบับถึงฝ่ายกัมพูชาโดยตรง
สำหรับกรณีการละเมิดล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่29 ก.ค. ที่ภูมะเขือ ตามที่กองทัพบกได้ชี้แจงเป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมเรียกร้องให้กัมพูชายุติการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงทุกรูปแบบโดยทันทีและกลับมาปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด ส่วนของข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันนั้นกระทรวงการต่างประเทศจะส่งข้อมูลเพิ่มเติมจากที่ได้มีหนังสือประท้วงไปที่คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ(ไอซีอาร์ซี) ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียอีก โดยเฉพาะหลังจากสองประเทศได้ตกลงกันแล้วว่าจะหยุดยิงในขณะนี้ มีทหารไทยเสียชีวิตไปอีก1นาย
เชิงรุกเร่งชี้แจงสถานการณ์ทั่วโลก
นางมาระตีกล่าวว่าสำหรับบทบาทของสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลกต่อการชี้แจงสถานการณ์ไทยกัมพูชา วันเดียวกัน(30ก.ค.)กระทรวงต่างประเทศได้รายงานให้ที่ประชุมศบ.ทก.ทราบถึงบทบาทเชิงรุกของสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ทั่วโลก ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้หลายแห่งได้ร่วมแรงช่วยชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่ที่รับผิดชอบทั้งประเทศเจ้าบ้านและประเทศที่อยู่ในเขตอาณา โดยแต่ละสถานสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ได้แจ้งข้อมูลปัจจุบันเกี่ยวกับสถานการณ์ท่าทีของไทยและหลักการที่ไทยยึดถือให้รัฐบาลและองค์การต่างๆรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญ สื่อมวลชนท้องถิ่นและชุมชนไทยในที่ต่างๆ ให้ได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือนและเข้าใจในจุดยืนของไทยในการยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี และกลับมาเข้าสู่การเจรจากับกัมพูชาบนพื้นฐานของความจริงใจและสุจริตใจ
นอกจากบทบาทของสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ทั่วโลกแล้ว เรายังมีคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ4สำนักงาน คณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียนและสถานทูตอีกหลายแห่งที่มีหน้าที่ในกรอบพหุภาคีและองค์การระหว่างประเทศต่างๆซึ่งต่างกำลังชี้แจงจุดยืนของไทยในเวทีโลกและกรอบสำคัญที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะภายใต้อนุสัญญาต่างๆเพื่อรักษาท่าที ย้ำบทบาทที่สร้างสรรค์ และแสดงความยึดมั่นต่อพันธะกรณีระหว่างประเทศของไทย
เขมรพาทูตทหาร-สื่อตปท.ลงพื้นที่
มีรายงานข่าวมีภาพของทางการกัมพูชา นำทูต-ทูตทหาร 13ประเทศพร้อมผู้สื่อข่าวต่างประเทศลงพื้นที่บริเวณจุดผ่อนปรนช่องอานม้า(หรือที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นช่องอานแซะ)เพื่อให้ตรวจสอบซากปรักหักพังจากการสู้รบ หลังการหยุดยิงโดยเฉพาะอนุสาวรีย์ตาอมที่พลเอกฮุน มาเนต เคยสร้างขึ้นโดยละเมิดบันทึกความเข้าใจปี2543(MoU2543)มีรายงานว่าทางการกัมพูชากล่าวหาฝ่ายไทยว่าเป็นผู้ทำลายอนุสาวรีย์ดังกล่าวทั้งที่มีรายงานว่าทหารกัมพูชายิงปืนใหญ่พลาดไปโดนเอง
สื่อของกัมพูชา รายงานว่า คณะผู้แทนประกอบด้วยทูตและผู้ช่วยทูตทหารจากประเทศต่างๆและประเทศสมาชิกอาเซียนรวม13ประเทศ เข้าตรวจสอบสถานการณ์จริงในพื้นที่ บริเวณจุดผ่อนปรนช่องอานม้า จ.อุบลราชธานีหรือช่องอานแซะจ.พระวิหาร ดยมีตัวแทนจากสหรัฐอเมริกา,จีน,ญี่ปุ่น,รัสเซีย,เกาหลี,ออสเตรเลีย,ส่วนประเทศสมาชิกอาเซียนได้แก่ มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ลาว, เวียดนาม และเมียนมาร์ โดยวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้นานาชาติเห็นว่ากัมพูชาได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง พร้อมทั้งย้ำว่ากองทัพกัมพูชาได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง และเคารพเงื่อนไขต่างๆ อย่างเคร่งครัด
ขณะที่มีความเห็นมากมายในเพจ FB:Army Military Force -สำรอง แสดงความผิดหวังกับรัฐบาลไทยที่ดำเนินการช้ากว่ากัมพูชาตลอดตั้งแต่เกิดข้อพิพาท4พื้นที่นำไปสู่การปะทะ การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียและล่าสุดการชิงความได้เปรียบในการอธิบายต่อนานาชาติ
โต้‘เขมร’ปั้นเรื่องลวงกล่าวหา‘ไทย’
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่กองทัพกัมพูชานำคณะสื่อมวลชน ลงพื้นที่บริเวณฝั่งตรงข้ามช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี เพื่อให้เห็นความเสียหายของบ้านเรือนประชาชน โดยกล่าวหาฝ่ายไทยว่าทำลายพื้นที่พลเรือน จากการปะทะ 2 ฝ่าย ทั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคง กองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงว่า ข้อเท็จจริงคือกองทัพกัมพูชา ได้นำครอบครัวทหารไปตั้งชุมชนและตลาด ซึ่งละเมิด MOU 2543 ที่ทำการปลูกสิ่งก่อสร้าง
ใกล้เส้นเขตแดน ที่ MOU ห้ามไว้ ซึ่งพบว่าไม่มีประชาชนในพื้นที่เสียชีวิต เพราะก่อนการปะทะ “ฝ่ายกัมพูชา”ได้อพยพคนออกจากพื้นที่ไปแล้ว โดยจากการสำรวจพบมี 400 ครัวเรือน โดยบริเวณช่องอานม้า แต่เดิมเป็นด่านชายแดนชั่วคราว ซึ่งนับจากนี้ไปช่องอานม้าจะปิดพื้นที่ เพื่อไม่ให้มีการตั้งชุมชน-ที่อยู่อาศัยอีกต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี