อัดเขมรก่ออาชญากรรมสงคราม
‘มาริษ’เครื่องร้อน
สั่งเร่งรวบรวมหลักฐานคดี
ฟ้ององค์กรประชาคมโลก
เดินหน้าเผด็จศึก‘ฮุนเซน’
เชิญกาชาดสากลเยือน11ส.ค.
“มาริษ” เผยความคืบหน้าฟ้องกัมพูชา กับองค์กรระหว่างประเทศ อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน และศึกษาเคสตัวอย่างจากคดีที่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ หวั่นกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ขณะที่ 11-14 ส.ค. นี้ กต. เตรียมนำผู้แทน ICRC ลงพื้นที่สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลฯ
เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 9 ส.ค.ที่กองบินตำรวจ ถ.รามอินทรา นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยก่อนเดินทางลงพื้นที่ เพื่อติดตามสถานการณ์ และการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ถึงความคืบหน้าการรวบรวมพยานหลักฐานที่จะฟ้องร้องผู้สั่งการฝ่ายกัมพูชา ในส่วนขององค์กรระหว่างประเทศ และภายในประเทศ ว่า อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน วันนี้จึงลงพื้นที่ร่วมกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะรวบรวมหลักฐาน โดยในส่วนการฟ้องร้องภายในประเทศ จะเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายในประเทศ ในส่วนการฟ้องร้องในองค์กรระหว่างประเทศอยู่ระหว่างการศึกษาเคสต่างๆ เนื่องจากมีหลายเคสที่มีการฟ้องร้องในลักษณะเดียวกัน ซึ่งการฟ้องร้องในองค์กรระหว่างประเทศมีหลายระดับ และมีขั้นตอนอีกมาก แม้เราจะมีหลักฐานชัดเจนอยู่แล้ว แต่ยังมีกรอบที่องค์กรระหว่างประเทศ ที่เขาจะใช้ประกอบการพิจารณาคดีประเภทอาชญากรรมสงคราม (Criminal of War) จึงต้องรวบรวมหลักฐานให้ได้มากที่สุด พร้อมย้ำว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษา และมีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานในประเทศเพื่อกำหนดขั้นตอนต่อ
นายมาริษ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ อยู่ระหว่างการประสานงาน ในการเตรียมการนำคณะผู้แทนกาชาดสากล หรือ ICRC ลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ระหว่าง 11-14 ส.ค นี้ เพื่อเยี่ยมและสัมภาษณ์ประชาชนไทย รวมถึงสถานพยาบาล ที่ได้รับผลกระทบ จากการโจมตีพื้นที่เป้าหมายที่เป็นพลเรือน ของกัมพูชา.
ภูมิธรรมเชื่อมั่นทหารไทย
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์ข้อมูลอ้างว่าทหารไทย ใช้หนังสติ๊กยิงยั่วยุทหารกัมพูชา อาจนำไปสู่การใช้อาวุธหนักในการตอบโต้ จนอาจจะกลายเป็นสงครามใหญ่อีกครั้ง ว่า ตนเองยังไม่ทราบในเรื่องของข้อเท็จจริง ขอไปดูรายละเอียดก่อน ซึ่งวันนี้เราขอให้มีความจริงจังจริงใจในการแก้ปัญหา
ส่วนเรื่องการใช้หนังสติ๊กเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราไม่ทราบ ทุกฝ่ายต้องไปตรวจสอบคนของตัวเอง หากอะไรที่เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดความไม่สบายใจต่อกันหรือเป็นเงื่อนไขก็ไม่ควรทำ แต่เราเข้มงวดคนของเราอยู่แล้ว พร้อมเชื่อว่าคนของเรามีวินัย
ส่วนจะมีการสั่งให้ผู้บังคับบัญชาไปตรวจสอบว่าคนของเรามีการใช้หนังสติ๊กจริงหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ผู้บังคับบัญชาก็จะไปดูข้อเท็จจริง และก็จะจะมีการพูดคุยกันได้ น่าจะไม่มีปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะมีการแถลงตอบโต้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้หรือไม่ เพราะอาจจะถูกนำไปบิดเบือน และเผยแพร่ต่อนานาชาติ นายภูมิธรรม ระบุว่า ก็ต้องดูไปตามสถานการณ์ว่ามีการพูดไปมากแค่ไหน พูดไปไกลอย่างไรไม่ใช่เราจะโต้ทุกประเด็น ไม่เช่นนั้นจะคุยกันไม่ได้
ภูมิธรรมบินถึงสุรินทร์
เวลา 09.45 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายมานิษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนในพื้นที่ เกี่ยสกับสถานการณ์ชายแดนไทย กัมพูชา โดยจุดแรกเดินทางไปที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
บอกห่วงใยประขาชน
นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราด้วยความห่วงใยเราทราบดีว่าประชาชนทุกคนมีความยากลำบากในสิ่งที่ไม่ใช่ความผิดของเราเลย เป็นเรื่องที่ส่วนอื่นนอกประเทศ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นคู่ขัดแย้งของเราทำขึ้น สร้างขึ้น และทำให้ประชาชนเดือดร้อน ในขั้นต้น พวกเราทุกคนหน่วยหลัง ได้ทำการดูแลแผนพิทักษ์ส่วนหลังทั้งหมด พยายามดูแลทุกส่วนอย่างเต็มที่ ส่วนแนวหน้า ทหารกล้าของเรา ได้ทำหน้าที่พยายามปกป้องดินแดนอธิปไตยของประเทศ และพยายามที่จะพิทักษ์รักษาดูแลครอบครัว บ้านเรือนทุกอย่างของประชาชนอย่างดี วันนี้เราทราบว่าประชาชนคิดถึงบ้าน ขณะที่ออกมาแล้วนั้น เราพยายามที่ชรบ. อส. ตำรวจตระเวนชายแดนและตำรวจทุกภาคส่วน หรือฝ่ายปกครอง ดูแลรักษาบ้านเรือนของประชาชนอย่างเต็มที่ รัฐบาลห่วงใยอย่างยิ่ง และมีการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ ก็คอยช่วยเหลือประชาชนในขั้นต้นที่เกิดเหตุการณ์ เราได้เพิ่มเงินให้จังหวัดให้ทุกวันจังหวัดทั้ง 7 จังหวัดชายแดน และเพิ่มเงินดูแลจาก 20 ล้านบาทเป็น 100 ล้านบาท และช่วยดูแลศูนย์อพยพทั้งหมด เราเห็นอกเห็นใจ ทุกข์ของประชาชนคือทุกข์อันดับหนึ่ง ที่เราต้องดูแล รวมทั้งทรัพย์สินของประชาชนว่าทุกคนอยากกลับบ้านเต็มที่แล้วเต็มตามแผนตนจะมีการประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดสี่จังหวัดอีสานใต้และชี้แจงกฎเกณฑ์กติกา ขณะนี้ท้องถิ่นทั้งหมดลงไปดูสำรวจพื้นที่บ้านเรือนที่เสียหายถ้าเสียหายรุนแรงพยายามหาที่พักให้ก่อนและมีการซ่อมแซมระดมทหารทหารช่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหรืออาชีวะทั้งในจังหวัดมาคอยช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนก่อน รัฐบาลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เซ็นเรื่องให้ที่ประชุมครม. ได้มีการปรากฏเกณฑ์ในการช่วยเหลือเพราะกระเพราะภัยพิบัติครั้งนี้ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภัยปกติไม่ใช่ภัยที่จะเกิดขึ้นได้ตามปกติเป็นภัยที่เกิดขึ้นที่ยากลำบากนานครั้งที่จะเกิดแต่เมื่อเกิดเกิดขึ้นมาแล้วเสียหายถึงชีวิตและประชาชนและผู้ปฏิบัติงานของรัฐทุกภาค
ให้ผู้ว่าใช้งบฉุกเฉินได้
ส่วนมีการลือมาเป็นสิ่งที่ไม่จริงบ้างผิดๆบ้าง ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน อยากทำให้ทุกคนทราบ รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนให้คืนกับสู่สภาวะปกติเร็วที่สุด คือเห็นชอบหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณี การชายแดนไทยกัมพูชาในกรณีที่เสียชีวิตและทุพพลภาพเจ้าหน้าที่รัฐทหารตำรวจจ่ายให้รายรับ 10 ล้านบาทจากที่เคยได้หนึ่งล้านบาท ประชาชนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้จะให้รายรับแปดล้านบาท กรณีบาดเจ็บมากเจ้าหน้าที่รัฐเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจรายละ 500,000 บาทประชาชนรายละ 400,000 บาท และอนุมัติขยายวงเงินทดลองผู้ประสบภัยในกรณีฉุกเฉินในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรีและตราด เพิ่มเติมเป็น 100 ล้านบาท
สั่งภาครัฐช่วยเหลือเต็มที่
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้กรมบัญชีกลาง ขออนุมัติ นอกเหนือหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดลองราชการช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน เป็นค่าใช้จ่ายในการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราวปรับปรุงสถานที่ เครื่องอุปโภคบริโภค และตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการดูแลผู้ประสบภัย ในวันพรุ่งนี้ตนจะประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ประสานกระทรวงคมนาคมให้นำรถ ยานพาหนะ นำพานำประชาชนกลับบ้านด้วยความปลอดภัย นอกจากนั้นได้สั่งการให้กรมป้องกัน และบรรเทาสารธารณภัย และกรมส่งเสริมปกครองท้องถิ่นดำเนินตามระเบียบข้อบังคับเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายจากงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรืองบประมาณในส่วนของของปอพอ ให้มาช่วยเหลือเยียวยาตามสมควร ให้ช่วยเหลือประชาชนโดยทันที
พร้อมกันนี้ การสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือฝ่ายปกครองในพื้นที่อำนวยความสะดวกจัดรถส่งพี่น้องประชาชนให้กลับถึงบ้าน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสำรวจความเสียหายของบ้านเรือนสภาพความพร้อมของการใช้งานของไฟฟ้า ประปา
ขอให้ประชาชนอดใจรอ
นอกจากนี้ สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องรีบจัดการให้ประชาชนโดยเร็ว หลังจากให้งบประมาณแล้ว ให้อำนาจในการตัดสินใจแล้ว เชื่อว่าผู้ว่าราชการจังหวัด มีจิตใจที่รักราษฎรในปกครองของตนเอง จะดูแลช่วยกันอย่างเต็มที่ นี่คือสิ่งที่รัฐบาลให้ความห่วงใยและพยายามดำเนินการต่างๆอย่างเต็มที่ สิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วคือ ความห่วงใยที่รัฐบาล กระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนให้ความสำคัญและให้ความใส่ใจเป็นอย่างดี และในวันพรุ่งนี้รัฐมนตรีทุกคนจะเข้าพื้นที่หลังจากได้ประกาศสั่งการแล้วดำเนินการแล้ว ยังมีอะไรที่ติดขัดบกพร่องเป็นปัญหาหรือไม่จะได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาฝากกำลังใจให้ความรู้สึกห่วงใยส่วนหลังทั้งหมด ตอนนี้รออีกนิดนึงรอให้แต่ละพื้นที่ดูตามความเป็นจริง ที่ไหนปลอดภัยแล้ว อันไหนที่เป็นปัญหาอุปสรรคจะได้แก้ไขจะได้ส่งพี่น้องประชาชนกลับบ้านอย่างช้าในวันพรุ่งนี้จะได้กลับบ้านทุกคน พร้อมได้ประสานกับกองทัพ ทั้งแม่ทัพภาคที่สอง และแม่ทัพภาคที่หนึ่ง ที่อยู่ในพื้นที่ทั้งหมด ขอประชาชนอดใจรออีกนิด
ประชุมผู้ว่าภาคอีสาน
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ในการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ ก่อนให้ประชาชนเดินทางกลับเข้าบ้านเรือน
นายภูมิธรรม กล่าวในที่ประชุมว่า การประชุมผู้ว่าทั้ง 4 จังหวัดชายแดน เพื่อทำความเข้าใจและตกลงกันให้ชัด จะดำเนินการต่อจากนี้ไปอย่างไร เนื่องจากภารกิจของเราตามแผนที่จะตกลงกันไว้ คือเป็นผู้พิทักษ์ส่วนหลัง มีหน้าที่ในการที่จะดูแลส่วนหลังให้ดีที่สุด
ฉะนั้นการมาวันนี้ เป็นสถานการณ์หลังจาก พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ตกลงหยุดยิง พร้อมกล่าวย้ำว่า ขณะนี้เราเชื่อมั่น โดยได้พิจารณากับฝ่ายกองทัพ ว่าน่าจะปลอดภัย ประชาชนสามารถกลับบ้านได้
นายภูมิธรรม ยังกล่าวชื่นชมทุกคน พยายามตั้งใจเรียนเต็มที่ และผู้ว่าราชการจังหวัดถือเป็นแม่ทัพหลังในแต่ละจุด จะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่และดีที่สุดเพื่อตอบสนองประชาชน
พร้อมกับประสานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) งดเว้นการเก็บค่าไฟฟ้าและน้ำ 2 เดือน คือเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมทในพื้นที่ประสบภัย ทั้งบ้านเรือนประชาชนและศูนย์อพยพ
ปกป้องอธิปไตยไทย
ขณะที่ รมว.ต่างประเทศ กล่าวกับผู้ว่าราชการจังหวัด ว่า ในส่วนของรัฐบาลมีหน้าที่ที่จะปกป้องอธิปไตยของประเทศ ปกป้องความปลอดภัยของประชาชนชาวไทย ในส่วนของการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน รัฐราชการและรัฐบาล รัฐบาลประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานตั้งแต่เริ่มข้อขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นกรอบของกระทรวงการต่างประเทศและทางกองทัพ มีความร่วมมือผลักดัน สอดรับซึ่งกันและกัน ทำให้ภาพของประเทศไทยในสายตาสากลดีมาก ไม่มีประเทศใดกล่าวตำหนิการใช้สิทธิในการตอบโต้เพื่อที่จะป้องกันตนเอง
โดยหลังจากเหตุปะทะยุติลง มีหลายองค์กรระหว่างประเทศ ให้ความสำคัญกับสิ่งที่รัฐบาลไทยได้พูด คือเรื่องการให้ความช่วยเหลือ ตนไม่อยากให้ใช้คำว่าแค่มนุษยธรรม เพราะรัฐบาลต้องการที่จะช่วยเหลือประชาชนอยู่แล้ว ฉะนั้นในกลุ่มของต่างประเทศ ทุกประเทศชื่นชมการทำงานของทุกท่าน ซึ่งการที่ทุกภาพส่วนผนึกกำลังกัน และทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยนั้นดีเป็นอย่างมาก
เยี่ยมรพ.พนมดงรัก
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางมาตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพนมดงรัก เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อำเภอพนมดงรักจังหวัดสุรินทร์ เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์ หลัง ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชายแดน ไทยกัมพูชา
โดยนายภูมิธรรมได้เยี่ยมชมจุด หลุมหลบภัย ที่เอกชนนำมามอบให้ และเยี่ยมชมอาคาร กลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด ของโรงพยาบาลพนมดงรักที่ได้รับความเสียหายจากการยิงระเบิดของกัมพูชา พร้อมรับทราบรายงานความเสียหายจาก ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพนมดงรัก นายภูมิธรรม ยังหันไปกล่าวกับนายมาริต ว่า ขอให้เก็บหลักฐานข้อมูลให้หมด นี่เป็นการยิงแบบนี้ไม่ใช่การล็อกเป้าหมายทางทหาร เพราะถ้าล็อคเป้าหมายทางทหารจะไม่ได้มาเป็นแบบนี้ อันนี้ยิงมั่วซั่ว ยิงโรงพยาบาลแบบนี้เขาไม่ทำกัน
จากนั้นเดินมาดูจุดที่ลูก ระเบิดตกหลังหอพักแพทย์พยาบาล ที่ทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งระหว่างทาง ที่เดินมาตรวจสอบนายอำเภอพนมดงรักได้ หยิบเศษระเบิด BM-21 ที่ยังหลงเหลือในพื้นที่มาให้ นายภูมิธรรมดู จากนั้นไปดูจุดที่ระเบิด โดยผอโรงพยาบาลได้รายงานว่า บุคลากรในโรงพยาบาลไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ได้รับผลกระทบทางจิตใจ เพราะเสียงระเบิด ต้องรับประทานยาถึง 51 คน พร้อมขอบคุณ บุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ทิ้งคนไข้แม้จะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ อยู่ดูแลจนกว่าจะส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลที่ปลอดภัย
ภาพชัดแล้วฟ้องนานาชาติ
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังการลงพื้นที่สำรวจความเสียหายที่จังหวัดสุรินทร์ จากเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ว่า เรื่องข้อมูลของการละเมิดสิทธิ และละเมิดกฎสหประชาชาติกฎหมายระหว่างประเทศของกัมพูชา เรามีข้อมูลครบถ้วนอยู่แล้ว เมื่อวันนี้ได้มาเห็นสภาพจริง และมาเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ได้เห็นภาพนอกเหนือจากข้อมูล ก็เป็นภาพที่เห็นชัดเจน รวมถึงการบรรยายสรุปของผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ที่อธิบายให้เห็นการโจมตีเป้าหมายที่ห่างไกลออกจากเขตแดน ซึ่งตนเองใช้เป็นข้อชี้แจงกับนานาชาติ และองค์กรสหประชาชาติว่าการใช้ประเภทอาวุธระยะไกลของฝ่ายกัมพูชาจะทำให้เกิดปัญหา และจะทำให้ประชาชนพลเรือนได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งเป็นการโจมตีเป้าหมายไปยังพลเรือน แต่ยังไม่สามารถเข้าไปดูพื้นที่กับระเบิด และวันนี้ทราบว่ามีทหารเหยียบกับระเบิดที่วางอยู่ตามแนวชายแดน โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจง และแสดงความผิดหวัง และไม่ปราถนาที่จะเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงการเจรจา เพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างกันให้สำเร็จอย่างยั่งยืน ส่วนนี้เราจะแสดงจุดยืนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้อาวุธ หรือทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา อย่างชัดเจน
การเดินทางมาครั้งนี้ ได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในสิ่งที่เราเรียกร้องมาโดยตลอด ว่าเราทำตนอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และได้แสดงตนให้ประชาคมโลก ได้ตระหนักว่าเราเป็นผู้ที่อยู่ภายใต้กฎหมาย กฎบัตรสหประชาชาติ ธรรมเนียม ในขณะที่อีกฝ่ายมีการละเมิดอยู่ตลอดเวลา เพราะเราเองพยายามเรียกร้องให้เขามาเจรจาผ่านกลไกทวิภาคีตลอดเวลา เพราะฉะนั้น การที่เราไปเจรจา GBC แล้วได้ผลสำเร็จ ทำให้เขากลับมานั่งโต๊ะเจรจาทวิภาคี และยืนยันว่าจะใช้กลไกที่มีอยู่แล้วระหว่างกัน คือ JBC, RBC และ GBC เป็นสิ่งที่ทุกประเทศทั่วโลกยอมรับ
นอกจากนี้ ตนเองมายืนยันให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ให้การดูแลประชาชนให้สบายใจว่าประเทศสมาชิกอาเซียน มิตรประเทศของเรา สนับสนุนแนวทางที่เราใช้แก้ไขปัญหาระหว่างที่มีการปะทะกัน เป็นไปตามหลักสากลอย่างแท้จริง และมิตรประเทศก็ให้การสนับสนุน ขอให้ทุกท่านทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความสบายใจ และแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างเต็มที่ เพราะได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากมิตรประเทศ
ส่วนจะต้องมีคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวของอาเซียนที่จะมาติดตามข้อตกลงหยุดยิง นายมาริษ ระบุว่า ขณะนี้กลไกที่เราเรียกร้องมาตั้งแต่ต้น ได้รับการยอมรับ และมันทำให้สบายใจกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่กับสองประเทศ แต่ทั้งประชาคมโลกด้วย ซึ่งในช่วงที่ตนเองเดินทางไปประชุมที่นิวยอร์ก สหรัฐฯ ก็ยืนยันแต่แรกว่า ปัญหาเกิดขึ้นจากสองประเทศ ดังนั้นทั้งสองประเทศต้องเป็นผู้แก้ปัญหา ซึ่งทุกประเทศก็สนับสนุน จึงต้องคุยกันต่อไป โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ โดยหากมีการละเมิด กลไก RBC ก็จะเป็นหลักในการมานั่งพูดคุยกัน
ประสานยูเอ็นเข้ามาดูแล
ส่วนจะมีคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross)และองค์กรสหประชาชาติ (UN) มาหรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังประสานอยู่ เราพร้อมอำนวยความสะดวกให้องค์กรทั้งหลาย เรื่อง ICRC เป็นนโยบายเชิงรุกของรัฐบาล เมื่อมีการปะทะกัน ในการโจมตีเป้าหมายเป็นพลเรือน ทำให้เราพยายามติดต่อ ICRC เขาก็รีบเข้ามาหลังการปะทะคลี่คลาย ได้ให้หน่วยงานทั้งหลาย ทั้ง UN ที่เจนีวา และที่นิวยอร์ก ได้ประสานทั้งหมด และยังมีทูตอีกหลายประเทศที่อยากมาดู เราก็จะประสานให้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี