นักวิชาการชี้'ศาลฎีกา'เพิกถอนสิทธิสมัคร สว.10 ปี ปมจับคู่แลกคะแนนในการเลือกตั้ง

นักวิชาการชี้'ศาลฎีกา'เพิกถอนสิทธิสมัคร สว.10 ปี ปมจับคู่แลกคะแนนในการเลือกตั้ง

วันอาทิตย์ ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 09.06 น.

นักวิชาการชี้'ศาลฎีกา'เพิกถอนสิทธิสมัคร สว.10 ปี ปมจับคู่แลกคะแนนในการเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2568 นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "จับคู่แลกเปลี่ยนคะแนนกันในการเลือก สว. เป็นการการกระทำมิชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี


เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ลต สว 47/2568 ระหว่าง กกต. ผู้ร้อง นางสาวกัญจน์ปรียา ปิยทัศน์ภูรี ที่ 1 นางสาวเบญจวรรณ อินทรารักษ์สกุล ที่ 2 ผู้คัดค้าน ว่า การจับคู่แลกเปลี่ยนคะแนนกันในการเลือก สว. เป็นการการกระทำมิชอบด้วยกฎหมาย เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี

ผู้เขียนพิจารณาแล้ว มีข้อมูลและความเห็นดังนี้

1)คดีนี้ กกต. ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งว่า ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้สมัครรับเลือกเป็น สว. กลุ่ม 4 กลุ่มการสาธารณสุข จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 ในการเลือกระดับจังหวัด ผู้คัดค้านทั้งสองสนทนาแลกเปลี่ยนคะแนนกันหรือสมยอมกันในการลงคะแนนเพื่อให้ได้รับเลือกเป็น สว. และเป็นการแนะนำตัวที่มิได้เป็นการปฏิบัติตามวิธีการและเงื่อนไขที่ กกต. กำหนด เป็นการทุจริตการเลือก อันทำให้การเลือก สว. เป็นไปโดยไม่สุจริตหรือเทื่องธรรม ฝ่าฝืน พรป. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 36 และมาตรา 62 และระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือก สว. พ.ศ. 2567 ข้อ 11 (1) (6) ขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสอง

2) ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยว่า การที่ผู้คัดค้านทั้งสองสนทนาผ่านแอพพลิเคชันไลน์ เป็นการสมยอมโดยจับคู่และแลกเปลี่ยนคะแนนกัน ทำให้ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับคะแนนซึ่งกันและกัน เป็นผลประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย แม้จะไม่ปรากฏว่า ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน

การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับคะแนนสูงสุดเรียงตามลำดับห้าคนแรกเป็นผู้ได้รับเลือกขั้นต้นของกลุ่มที่ 4 กลุ่มการสาธารณสุข การกระทำของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นการเอาเปรียบผู้สมัครรายอื่น ทำให้ผู้สมัครรายอื่นได้รับความเสียหายและไม่เป็นธรรม และทำให้เจตนารมณ์ของการเลือก สว. ที่กำหนดให้ผู้สมัครเลือกกันเองภายในตามวิธีการที่กำหนดไว้ใน พรป. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 ซึ่งต้องการคนดี และบุคคลที่เหมาะสมซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ หรือการทำงานด้านต่างๆ ที่หลากหลายของสังคม เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ตัวแทนของประชาชนในวุฒิสภาเสียไป

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านทั้งสองกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือก สว. อันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ฝ่าฝืน พรป. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 62 พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสองเป็นเวลา 10 ปี

3) ความจริง ศาลฎีกาได้วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการเลือก สว. ปัญหาอื่นๆ อีกหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่ศาลปกครองกลางคำพิพากษาเพิกถอนระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือก สว. พ.ศ. 2567 บางข้อ หรือความเห็นส่วนตัวของนายแสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงาน กกต. ต่อการเพิกถอนระเบียบดังกล่าว แต่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึง เพราะเห็นว่า หากนำมากล่าว จะทำให้บทความยืดยาวเกินไป ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาคำพิพากษาฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ซึ่งได้นำขึ้นเว็บแล้วเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568

4) คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้นับเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยคดีเลือก สว. ได้ละเอียดและครบถ้วน ตรงตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คดีเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 62 ของ พรป. สว. 2561 ที่บัญญัติว่า เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ผู้สมัครกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือก หรืออันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม กรณีนี้กฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ไว้เพียงว่า “เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า” (reasonable ground to believe) ซึ่งหมายถึง มีหลักฐานเพียงพอที่จะให้เชื่อโดยมีเหตุอันสมควรเท่านั้น แตกต่างจากคดีอาญาที่โจทก์จะต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นโดยปราศจากข้อสงสัยอันสมเหตุสมผล (beyond a reasonable doubt) ว่า จำเลยกระทำความผิดจริง ศาลจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้

5) แม้จะเป็นที่น่าเสียดายตามข่าวเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ว่า การยื่นคำร้องของ สว. เสียงข้างน้อย ต้อง “วืด” ไปอีกครั้ง คดีสอย สว. ล็อตใหญ่มากกว่าร้อยคนเดินทางไปไม่ถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีเหตุการณ์พิสดารเกิดขึ้น ทำให้เสียงของ สว. ที่เข้าชื่อร้องต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญมีไม่ถึง 20 คน เพราะมี สว. คนหนึ่งขอถอนชื่อออกโดยอ้างว่า เข้าใจผิดในสาระสำคัญ และมี สว. บางคนอ้างว่าเป็นลายเซ็นปลอม ตนไม่ได้เซ็นชื่อ และได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจไว้เป็นหลักฐานแล้ว ทั้ง ๆ ที่พึงไปแจ้งความให้ดำเนินคดีอาญาแก่ผู้ปลอมเอกสาร ซึ่งมีโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 6 ดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาทถึง100,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา

อย่างไรก็ตาม ขอให้ สว. เสียงข้างน้อยพยายามเดินหน้าต่อไป โดยศึกษาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2568 (คดีแลกเปลี่ยนคะแนนกัน) เป็นแนวทางและเป็นกำลังใจ แม้ประเด็นที่กล่าวหาจะแตกต่างกัน แต่พฤติการณ์แห่งคดีร้ายแรงกว่า และกระทบต่อหลักนิติธรรมและความมั่นคงของประเทศเป็นร้อยเท่าพันทวี"
 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top