รบ.ไทยเตรียมประท้วง-ฟ้องโลก
เขมรฉีกข้อตกลง
ลอบฝังระเบิดใหม่เขตไทย
EODเก็บกู้ได้กว่า824หลุม
มทภ.2ยันทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
ปรับแผนใช้‘ไอที’เซฟกำลังพล
ศบ.ทก.สรุปสถานการณ์สู้รบชายแดนไทย-เขมรไม่มีเหตุปะทะ เร่งประท้วงเขมรฉะใช้ทุ่นระเบิดขัดสนธิสัญญาออตตาวา ละเมิดอธิปไตยไทย ลอบเข้ามาวางระเบิดช่วงก่อนหยุดยิง ด้านเจ้าหน้าที่อีโอดีปฎิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดต่อเนื่อง พบ 824 หลุม ในพื้นที่บ้านเรือปชช. –รพ. เตือนปชช.ที่กลับเข้าบ้านเรือนแล้ว ตรวจสอบให้ดี ถ้าพบแจ้งจนท.ทันที ขณะที่โฆษก ทบ. ยันไทยมีสิทธิ์คุมตัว18เชลยศึกทหารกัมพูชา ตามกฎหมายสากล ชี้ส่งตัวกลับต่อเมื่อสู้รบจบแม่ทัพภาคที่ 2 ยัน ทุ่นระเบิดที่ทหารไทยเหยียบเจ็บ 3 นาย «เป็นทุ่นระเบิดใหม่» ที่เขมรวางไว้ เล็งใช้เครื่องจักร-เทคโนโลยีเซฟกำลังพล ซัดละเมิดกม.-ข้อตกลงซ้ำซาก
เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม เวลา 07.00 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงดึกของคืนวันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม จนถึงช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม เวลา 07.00 น. สถานการณ์ตามแนวชายแดน 7 จังหวัดไม่มีเหตุการณ์ปะทะ
ขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานจาก ศบ.ทก.ว่ามีทหารออกลาดตระเวน บริเวณพื้นที่รอยต่อ โดนเอาน์ - กฤษณา เหยียบกับระเบิดได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ ได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 2 ดูแลทหารที่จะได้รับบาดเจ็บใกล้ชิด
รบ.ประท้วงเขมรลอบวางทุ่นระเบิด
นายจิรายุกล่าวต่อว่า ศบ.ทก ยืนยันว่าพื้นที่ที่ทหารลาดตระเวนนั้น อยู่ในเขตอธิปไตยของประเทศไทย 100% ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่า กองทัพกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดอธิปไตยเข้ามาวางกับระเบิดในช่วงก่อนการหยุดยิงทั้งนี้ ได้เตรียมการประท้วงทั้งระดับชายแดนและระดับนานาชาติกรณีที่กัมพูชาใช้ทุนระเบิด ซึ่งขัดต่อข้อตกลงสนธิสัญญาออตตาวา อย่างชัดเจน
เตรียมพร้อมส่งปชช.กลับภูมิลำเนา
ด้านนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภารกิจสำคัญของรัฐบาลขณะนี้คือการดูแลความปลอดภัย และพาประชาชนกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัยในพื้นที่ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าปลอดภัย 100% และห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุไม่สงบบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ จำเป็นต้องย้ายไปเข้าพักพิงที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว ซึ่งอาจเกิดข้อจำกัดและความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มเปราะบาง
นายอนุกูล กล่าวว่า สำหรับการเดินทางกลับที่พักอาศัยนั้น ในบางพื้นที่อาจเผชิญระดับสถานการณ์ที่ไม่เท่ากัน ดังนั้น หากประชาชนประสงค์เดินทางกลับ กระทรวงสาธารณสุขมีข้อแนะนำปฏิบัติตนดังนี้ ให้ตรวจสอบความพร้อมของบ้านพักหรือที่อยู่อาศัยอย่างละเอียด อาทิ ด้านโครงสร้างบ้าน ผนัง หลังคา และระบบไฟฟ้า สังเกตสภาวะจิตใจของตนเองและคนในครอบครัว หากรู้สึกว่ามีอาการเครียด วิตกกังวล หรือมีอาการคล้ายซึมเศร้า ควรเข้ารีบเข้าปรึกษาแพทย์/เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที
“แม้ว”ส่งโดรน10ชุดให้ทหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องรับรอง กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้แทนกองทัพบกรับมอบอากาศยานไร้คนขับ 10 ชุด มูลค่ารวม 3,000,000 บาท (สามล้านบาท) จาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และงบประมาณสนับสนุน 50,000 บาท จากคณะนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 โดยมี พล.ต.ต.สุรสิทธิ์สังขพงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนในการส่งมอบพล.ท.บุญสินกล่าวว่า ในนามกองทัพบก และ กองทัพภาคที่ 2 ขอขอบคุณ ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการมอบอุปกรณ์ให้วันนี้ ถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อนำไปช่วยเสริมศักยภาพในการลาดตะเวน ป้องกันตัวเองของทหาร และปกป้องชายแดน เพื่อชาติเพื่อแผ่นดินไทยของเรา
แฉฝังทุ่นระเบิดใหม่-ใช้ไอทีเซฟทหาร
พล.ท.บุญสิน เปิดเผยถึงกรณีทหารเหยียบทุ่นระเบิดขณะลาดตระเวน พื้นที่บ้านโดนเอาว์-กฤษณา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้ทหารบาดเจ็บ 3 นาย ว่า ทหารทั้งหมดได้รับการรักษาปลอดภัยแล้ว จากการตรวจสอบพบว่าพบว่าทุ่นระเบิดดังกล่าวเป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่ทหารกัมพูชาติดตั้งไว้ระหว่างที่เข้ายึดพื้นที่ดังกล่าว แม้ปัจจุบันทหารไทยจะยึดพื้นที่นี้คืนได้แล้วแต่ยังไม่ปลอดภัย เนื่องจากคาดว่ามีทุ่นระเบิดทั้งใหม่และเก่าติดตั้งจำนวนมาก
แม่ทัพภาคที่2กล่าวต่อว่า ล่าสุดเก็บกู้ทุ่นระเบิดบริเวณ ช่องบก ช่องอานม้า และตาควาย ได้แล้วประมาณ 60 ลูก โดยพบว่า ทุ่นระเบิดเก่าและใหม่จะมีสีและตัวเลขที่ระบุที่ตัวระเบิดแตกต่างกัน จึงสั่งการให้ทุกหน่วยเพิ่มความระมัดระวัง พร้อมใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักร เช่น รถไถ รถตัก เคลียร์เส้นทางและค้นหาทุ่นระเบิดบุคคล เพื่อป้องกันไม่ให้กำลังพลได้รับอันตรายซ้ำ
นอกจากนี้ แม่ทัพภาคที่ 2 ยังเปิดเผยว่า ทุ่นระเบิดบริเวณที่ทหารเหยียบเมื่อวานนี้ อยู่ห่างจากพื้นที่ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่จึงยังไม่ส่งผลกระทบกับชาวบ้าน แต่อาจมีอาวุธที่ถูกยิงเข้ามาก่อนหน้านี้ตกลงเหลืออยู่ในพื้นที่ที่ชาวบ้านอาศัย ขณะนี้ชาวบ้านเพิ่งเริ่มกลับเข้าบ้าน จึงขอความร่วมมือช่วยสังเกตวัตถุอันตรายที่อาจหลงเหลือหากพบให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าเก็บกู้ ส่วนกรณีมีการแชร์ข้อมูลทหารเขมรยิงหนังสติ๊กมาฝั่งไทยนั้น เป็นข้อมูลเท็จ สำหรับพื้นที่ที่ควบคุมได้ตอนนี้ ได้แก่ ภูมะเขือ ช่องอานม้า และตาเมือนธม ครอบครองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่บริเวณตาควายต้องตรึงกำลังไว้เนื่องจากมีทุ่นระเบิดจำนวนมาก
ยันทำหน้าที่ให้ดีที่สุด-ลุยกู้ทุ่นระเบิด
“กัมพูชาไม่ได้ยึดถือสนธิสัญญาอย่างจริงจัง แล้วก็ละเมิดมาตลอด» รวมถึงการไม่ยอมรับข้อตกลงเรื่องการห้ามวางระเบิดในการประชุม GBC ที่ผ่านมากัมพูชาต้องจริงใจปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา ว่าด้วยการไม่ใช้ทุนระเบิดกับระเบิดอย่างจริงจัง และต้องให้ความร่วมมือเก็บกู้ในส่วนพื้นที่ของเขาด้วยในการประชุม RBC/GBC ครั้งต่อไป จะหารือระดับกองทัพบกเพื่อกำหนดหัวข้อและประเด็นที่จะนำไปหารือในการประชุม RBC (ระดับภูมิภาค) และ GBC (ระดับทั่วไป) มีกรอบหลักคือ «การถอนกำลังต่างๆ แล้วก็การดูแลแนวชายแดนให้เกิดคนเรียบร้อยร่วมกันจะทำอย่างไร» และจะ «ผลักดัน»ปัญหาทุ่นระเบิดที่ค้างคาอยู่
แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ทหารไทยยังควบคุมพื้นที่และปฏิบัติตามเงื่อนไขหยุดยิงของรัฐบาล การกู้ระเบิดในพื้นที่ชาวบ้านเริ่มทยอยดำเนินการ1 - 2 วันที่ผ่านมาแต่ยังไม่สมบูรณ์ 100% อย่างไรก็ตาม ยืนยันกำลังพลจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยของทหารและประชาชนในพื้นที่ชายแดน
EODเจอ824หลุมย้ำเขมรยิงใส่พลเรือน
วันเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก «กองทัพบก ทันกระแส»โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า «กัมพูชายิงอาวุธใส่เป้าหมายพลเรือน 824 หลุมระเบิด ส่วนใหญ่ถูกพบใน บ้านเรือนประชาชน โรงพยาบาล ทั้งนี้ ขออัพเดตยอดการเก็บกู้ระเบิด เมื่อ 9 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ EOD เร่งเก็บกู้เพื่อให้ประชาชนกลับบ้านอย่างปลอดภัยที่สุด
โดยก่อนหน้านี้ได้โพสต์ ระบุว่า หลุมระเบิดกว่า 824 หลุม! ส่วนใหญ่พบบ้านพลเรือน , โรงพยาบาล ความเสียหายอาจมากขึ้นเรื่อยๆหลังประชาชนเริ่มทยอยกลับเข้าพื้นที่เพื่อสำรวจบ้านพักอาศัย
ทร.เสียใจเรือตรีภัชทราวุฒิพลีชีพ
ขณะที่พลเรือเอก พาสุกรี วิลัยรักษ์ โฆษกกองทัพเรือ (ทร.) เปิดเผยถึงกรณีการเสียชีวิตของเรือตรี ภัชทราวุฒิ รัตนวงษ์ ตำแหน่ง ผู้บังคับหมวดป้องกัน ร้อย.บก. กรม ต่อสู้อากาศยานที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ทำหน้าที่ ผู้บังคับหมวดป้องกัน กองพันต่อสู้อากาศยานเฉพาะกิจป้องกันภัยทางอากาศส่วนหลัง ซึ่งถูกส่งไปปฎิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ว่ากองทัพเรือ ได้รับรายงานแล้ว โดยเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม เวลา 19.00 น. ขณะที่ ว่าที่ เรือตรี ภัชทราวุฒิ กำลังปฏิบัติภารกิจในการตรวจสอบความพร้อมของอาวุธได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น จนได้รับบาดเจ็บสาหัส และหลังเกิดเหตุ ได้รับการส่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในพื้นที่ ต่อมาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 เวลา 22.15 น. ว่าที่ เรือตรี ภัชทราวุฒิถูกส่งเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี คณะแพทย์ได้ทำการรักษาอย่างสุดความสามารถ แต่ ว่าที่ เรือตรี ภัชทราวุฒิเสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568
“ในนามกองทัพเรือ ขอแสดงความอาลัยต่อการสูญเสียครั้งนี้ โดยพลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ด้แสดงความเสียใจและสั่งการให้เร่งดำเนินการตามระเบียบในการดูแลสิทธิและสวัสดิการ พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต”โฆษกกองทัพเรือกล่าว
ยันไทยมีสิทธิ์คุมตัว18เชลยตามกม.
พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกแถลงถึงกรณีกระทรวงกลาโหมกัมพูชารายงานตั้งแต่ วันที่ 29 กรกฎาคมหลังมีข้อตกลงหยุดยิง ทหารกัมพูชา 18 นาย ถูกทหารไทยจับกุมโดยมิชอบตามกฎหมาย จนถึงปัจจุบันกัมพูชายื่นข้อเรียกร้องต่อทางการไทยหลายครั้ง เพื่อให้ส่งตัวทหารทั้งหมดกลับประเทศโดยเร็ว ตามหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเพื่อสนองต่อคำร้องเร่งด่วน จากประเทศพันธมิตรและองค์กรระหว่างประเทศต่างๆนั้น ขอชี้แจงว่า ฝ่ายกัมพูชาอาจไม่เข้าใจหลักปฏิบัติในระบบสากล ยืนยันการปฏิบัติของฝ่ายไทยเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นไปตามหลักกฎหมายและหลักมนุษยธรรมสากล ซึ่งเชื่อว่าประเทศพันธมิตร และองค์กรระหว่างประเทศต่างเข้าใจ และไม่มีความกังวลใดๆ อย่างที่ กัมพูชากล่าวอ้างโดยเฉพาะการที่ฝ่ายไทยเปิดโอกาสให้องค์กรสากลที่เกี่ยวข้องสามารถประสานขอเข้าเยี่ยมได้ตลอดตั้งแต่วันแรกๆ ที่ฝ่ายไทยได้ควบคุมตัว
ย้ำจะส่งกลับต่อเมื่อการสู้รบยุติแล้ว
พลตรีวินธัยกล่าวต่อว่า อย่างเช่นเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา มีคณะผู้แทนจาก ICRC ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ด้านการคุ้มครอง / ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ / เจ้าหน้าที่โครงการของ ICRC และล่าม รวม 4 คน ได้ไปเยี่ยมทหารเขมร 18 คนที่ถูกจับ จึงขอยืนยันว่า การควบคุมทหารกัมพูชาทั้ง 18 คนนั้น เป็นไปตามหลักกฎหมายสากลที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา ไม่ใช่การควบคุมตัวอย่างผิดกฎหมายตามที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้กล่าวอ้าง
“การถูกควบคุมตัวดังกล่าว จำเป็นต้องคงไว้จนกว่าสถานการณ์การหยุดยิงหรือสถานการณ์การสู้รบ จะมีความสมบูรณ์เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนแล้วเป็นหลัก ทั้งนี้เพื่อผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมด จะไม่หวนกลับมาทำการสู้รบกับฝ่ายไทยอีก เป็นไปตามแนวทางหลักสากลและเชื่อว่าด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ฝ่ายกัมพูชายังมีเรื่องสำคัญอื่น ที่ควรให้ความสำคัญอย่างมากด้วยเช่นกัน เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจให้เป็นที่ประจักษ์ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิง”โฆษกกองทัพบกกล่าว
ศูนย์ฯกู้ระเบิดลงพื้นที่ให้ความรู้ปชช.
พันเอกหญิง ฉัตรรพี พูนศรี รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ กองบัญชาการกองทัพไทย ดำรงความต่อเนื่องในการปฏิบัติภารกิจด้านการแจ้งเตือนและให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากทุ่นระเบิด โดยจัดกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่พบปะประชาชนในเขตเป้าหมาย เพื่อสร้างความตระหนัก ความรู้ความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมให้ประชาชนรับมือกับความเสี่ยงจากทุ่นระเบิดที่อาจปนเปื้อนอยู่ในพื้นที่ซึ่งเคยเกิดการปะทะการลงพื้นนครั้งนี้ มุ่งให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าใจถึงวิธีปฏิบัติที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ก่อนการเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่พักพิงกลับสู่ภูมิลำเนาของแต่ละครอบครัว ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นวัตถุระเบิด วัตถุต้องสงสัย หรือสิ่งผิดปกติในพื้นที่ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หรือหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ทันที เพื่อให้ดำเนินการเก็บกู้และทำลายอย่างปลอดภัย
เขมรพาผช.ทูตลงพื้นที่ฟ้องไทยยิงวัด
เพจArmy Military Force รายงานว่า เมื่อช่วงเที่ยงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพกัมพูชาเผยว่า พาผู้ช่วยทูตทหารประจำพนมเปญ 9 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร แคนาดา จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ลาวและเวียดนาม ทั้งที่มีถิ่นพำนักในและนอกประเทศกัมพูชา ลงพื้นที่วัดตาเมินแสนชัยและโรงเรียนในจังหวัดอุดรมีชัย เพื่อตรวจสอบสถานการณ์จริง หลังกัมพูชาเข้าร่วมปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มรูปแบบ
อย่างไรก็ตามพบว่ากัมพูชายังพยายามโกหกซํ้าแล้วซํ้าอีก ฟ้องผู้ช่วยทูตทหารกล่าวหาไทยทำลายวัดและโรงเรียนของกัมพูชาช่วงปะทะกัน มีรายงานว่าทหารกัมพูชาใช้วัดและโรงเรียนเป็นที่ตั้งทางทหาร เพื่อยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 และปืนใหญ่โจมตีจังหวัดชายแดนของประเทศไทย
ยังมีหน้าแถลงโต้ไทยกล่าวหาซุกระเบิด
ก่อนหน้านั้น หน่วยงานจัดการทุ่นระเบิดและช่วยเหลือผู้พิการจากทุ่นระเบิดของกัมพูชา (หน่วยงานทุ่นระเบิด) ออกแถลงการณ์ปฏิเสธแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศไทย ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมกรณีกล่าวหากัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ โดยหน่วยงานทุ่นระเบิดของกัมพูชายืนยันว่า กัมพูชายังคงยึดมั่นในจุดยืนอย่างแน่วแน่ที่จะไม่มีการใช้ และจะไม่ใช้ทุ่นระเบิดใหม่โดยเด็ดขาด กัมพูชามีความภาคภูมิใจในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคล ซึ่งกัมพูชาให้สัตยาบันในปี 2542 และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติจากผลสำเร็จในการกำจัดทุ่นระเบิด โดยไม่มีการใช้ทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคลแต่อย่างใด อีกทั้งยืนยันว่า กัมพูชาได้กำจัดทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคลไปแล้วกว่า 1 ล้านลูก และซากวัตถุระเบิดจากสงครามอีกกว่า 3 ล้านลูก ซึ่งช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมาก และมอบพื้นที่ปลอดภัยให้แก่ชุมชน จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการสืบสวนอย่างเป็นทางการ และโปร่งใสเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นนี้ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรงดเว้นจากการออกแถลงการณ์สาธารณะใดๆ การกล่าวหาโดยปราศจากข้อเท็จจริง จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเจตนารมณ์ของการหยุดยิง และลดความไว้วางใจระหว่างกันในสถานการณ์นี้ กัมพูชาคาดหวังว่าฝ่ายไทยจะเคารพข้อตกลงที่เห็นพ้องกันในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปกัมพูชา-ไทย (GBC) โดยเฉพาะข้อที่ 2 ซึ่งระบุว่า ทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่เคลื่อนย้ายกองกำลัง รวมถึงไม่ลาดตระเวนเกินตำแหน่งที่ตั้งของตน ยืนยันว่า หน่วยงานทุ่นระเบิดของกัมพูชา พร้อมให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทย ประชาคมอาเซียน และประชาคมทุ่นระเบิดนานาชาติ เพื่อยึดมั่นในสันติภาพ และส่งเสริมความปลอดภัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี