‘ซูเปอร์โพล’เปิดผลสำรวจ‘นักรบไทย’ความภาคภูมิใจ ความสุขของคนไทย
24 สิงหาคม 2568 ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชน เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง ความภาคภูมิใจ ความสุขของคนไทย จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวน 1,093 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20 – 23 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา
ผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า “ความภูมิใจของคนไทย” สะท้อนฐานค่านิยมร่วมที่โน้มไปทางความกล้าหาญความเสียสละ และรากฐานประวัติศาสตร์ความเป็นเอกราชของชาติเป็นสำคัญ โดยข้อที่ได้รับการเห็นพ้องสูงสุดคือ “ความกล้าหาญ เสียสละของทหาร นักรบไทย ปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของไทย” อยู่ที่ร้อยละ 92.6 รองลงมาเป็น “ไทยรักษาเอกราชของชาติ ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นจนถึงปัจจุบัน” ร้อยละ 85.8 ตามด้วย “ความสามัคคีของคนไทยเมื่อเกิดวิกฤต” ร้อยละ 82.9 และ “ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่ารักสงบ มีอารยะ มีความเจริญ” ร้อยละ 81.5 ส่วน “เยาวชนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และความกล้าหาญของบรรพบุรุษไทย” อยู่ที่ร้อยละ 79.3
เมื่อพิจารณาค่าสถิติโดยรวมของหมวดนี้ ค่าเฉลี่ยร้อยละของทั้งห้าประเด็นอยู่ราว 84.4 โดยค่าต่ำสุดสูงสุดกระจายตัวอยู่ระหว่าง 79.3 ถึง 92.6 ช่องว่างเชิงสัดส่วน (range) ประมาณ 13.3 จุดเปอร์เซ็นต์ แปลได้ว่า แม้ทุกประเด็นจะได้รับการสนับสนุนในระดับสูงมากอย่างสม่ำเสมอ แต่ “ความเสียสละของกำลังพล” เป็นภาพจำร่วมที่โดดเด่นเหนือประเด็นอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางเชิงสังคมวัฒนธรรม
รายงานของซูเปอร์โพลระบุด้วยว่า ความรู้สึก “ชื่นชอบต่อทหารชายแดนไทย–กัมพูชา” สะท้อนการยอมรับตัวบุคคลและบทบาทหน่วยเฉพาะที่ปฏิบัติหน้าที่แนวหน้า โดยอันดับแรกคือ “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2” ร้อยละ 64.5 จี้ติดตามรองลงมาด้วย “ร้อยเอกหญิง ปวิชญา วลีสุขสันต์ (ผู้กองอะตอม)” ร้อยละ 63.8 ถัดมาเป็น “นักบินรบ ฝูงบิน F-16 และกริพเพน” ร้อยละ 61.7 “นักรบชุดดำ-ตชด.” ร้อยละ 58.9 และ “กลุ่มอาสาสมัคร” ร้อยละ 55.3
เมื่อพิจารณาเชิงสถิติต่อการกระจายตัวสัดส่วนทั้งห้ารายการอยู่ราว 60.8 มีพิสัยค่าประมาณ 9.2 จุดเปอร์เซ็นต์ สะท้อนว่าความนิยมกระจายค่อนข้างแน่นในกลุ่มระดับ “สูงพอๆ กัน” อาจนำไปสร้างมิติของคอนเทนต์ได้ว่า “แม่ทัพภาค 2 ผู้กองอะตอม บุคคลต้นแบบ หญิงแนวหน้า ขีดความสามารถทางอากาศกำลังตำรวจชายแดน พลังอาสาสมัคร” ต่างได้รับการยอมรับร่วมกัน นัยหนึ่งคือภาพลักษณ์กองกำลังปฏิบัติการทั้งมวลตั้งแต่ยุทธศาสตร์ ภาคพื้นดิน อากาศ ไปจนถึงภาคประชาชนถูกมองว่าเชื่อมต่อกันเป็นห่วงโซ่ป้องปรามที่มีประสิทธิภาพ
รายงานของซูเปอร์โพล ชี้ให้เห็นคำถามระดับมหภาค “ความภูมิใจต่อกองทัพไทย” ยืนยันภาพรวมความเชื่อมั่นในระดับสูงมาก โดยร้อยละ 91.7 ระบุว่า “ภูมิใจมากถึงมากที่สุด” ขณะที่ร้อยละ 5.4 อยู่ระดับ “ปานกลาง” และมีเพียงร้อยละ 2.9 ที่ระบุ “น้อยถึงไม่ภูมิใจเลย” เมื่อนำสัดส่วนเชิงบวกลบเทียบกัน พบอัตราส่วนบวกต่อเชิงลบโดยคร่าวประมาณ 31.6 ต่อ 1 และส่วนต่างสุทธิ (net favorability) ราว +88.8 จุดเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นระดับ “ฉันทามติสังคม” ที่สูงมากในเชิงการรับรู้ภาพรวมสถาบันที่น่าประทับใจ
นอกจากนี้ แม้การสู้รบและการสูญเสียเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่ควรเน้นหลักมนุษยธรรมเป็นสำคัญ แต่ผลการปฏิบัติทางทหารของไทยทำให้คนไทยมีความสุขหลายด้านที่สะท้อนอารมณ์ร่วมเชิงบวกระดับสูงต่อผลลัพธ์ที่ปกปักรักษาอธิปไตยและการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยข้อที่สูงสุดคือ “กองทัพไทยยึดคืนแผ่นดินไทยกลับมาได้” ร้อยละ 94.3 รองลงมาคือ “ทหารไทยสู้รบด้วยความกล้าหาญปกป้องมาตุภูมิ” ร้อยละ 91.2 และสองประเด็นทางสังคมสงเคราะห์ทุนทางสังคม ได้แก่ “เห็นการบริจาคและการเยียวยาทหารและประชาชน” ร้อยละ 87.4 “เห็นความสามัคคีของคนในชาติ” ร้อยละ 86.1 และ “เห็นพลังความรักชาติของคนไทยทั้งประเทศ” ร้อยละ 83.8 โดยภาพรวมหมวดนี้มีค่าเฉลี่ยร้อยละราว 88.6 กระจายตัวระหว่าง 83.8 ถึง 94.3 พิสัยประมาณ 10.5 จุดเปอร์เซ็นต์ ชี้ให้เห็นว่า “ผลสัมฤทธิ์เชิงอธิปไตยเกียรติภูมิแนวหน้า” และ “ความเอื้ออาทรสามัคคีของสังคม” เป็นสองแกนสำคัญของความสุขทางอารมณ์ร่วมที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
เมื่อนำทั้งสี่มิติสัมพันธ์เข้าด้วยกัน ภาพรวมชี้ว่าคนไทยมี “ทุนความภูมิใจ” ที่ตั้งอยู่บนแกนประวัติศาสตร์ชาติและความกล้าหาญของผู้ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งขยายผลเป็น “ทุนอารมณ์ร่วม” ในรูปของความสุขเมื่อเห็นความสำเร็จในการปกป้องดินแดนและการเกื้อกูลกันในยามวิกฤต ทั้งหมดนี้ยังสะท้อน “ทุนความไว้วางใจเชิงสถาบัน” ต่อกองทัพที่สูงมาก ซึ่งเมื่อเทียบเชิงญาติแล้ว ความภูมิใจ ความสุข ความชื่นชอบต่อบุคคล/หน่วยหน้าด่าน ล้วนเสริมแรงกันเป็นฟลายวีลทางสังคม กล่าวคือ ความภูมิใจทางประวัติศาสตร์และสถาบัน ช่วยหล่อเลี้ยงความนิยมต่อผู้ปฏิบัติ ขณะที่ความสำเร็จเชิงปฏิบัติการและภาพความเอื้ออาทรในสังคมก็ย้อนกลับไปย้ำความภูมิใจและความสุขร่วมของสาธารณชนอีกทอดหนึ่ง
ในมุมวิเคราะห์เชิงนโยบายสื่อสารสาธารณะ ผลลัพธ์นี้ชี้โอกาสสำคัญในการสื่อสาร “สองขาที่สมดุล” ระหว่างขั้วคุณค่าด้านความกล้าหาญ การปกป้องอธิปไตย กับขั้วคุณค่าด้านมนุษยธรรม สามัคคีของพลเมือง กล่าวคือ ความนิยมที่สูงต่อกำลังพลแนวหน้าและหน่วยเฉพาะ อาจต่อยอดสู่การสื่อสารเรื่อง “ความเป็นมืออาชีพความโปร่งใส ความรับผิดชอบ” ควบคู่ “ความร่วมมือพลเมือง การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ การลดอคติทางชาติพันธุ์ การเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ” เพื่อยกระดับทุนสังคมจากความภูมิใจเชิงอารมณ์ ไปสู่ความไว้วางใจเชิงสถาบันที่ยั่งยืน
โปรดสังเกตด้วยว่าแม้ตัวเลขส่วนใหญ่อยู่ระดับสูงมากทั้งหมด ความแตกต่างระหว่างประเด็นสูงสุด ต่ำสุดในแต่ละตาราง (เช่น 13.3 จุดในหมวดความภูมิใจ และ 9.2 จุดในหมวดความชื่นชอบบุคคล/หน่วย) ยังเปิดพื้นที่ให้การสื่อสารเชิงกลยุทธ์เลือก “จุดเน้น” ที่ส่งผลทวีคูณ เช่น การเล่าเรื่องบทบาทสตรีนักรบแนวหน้า การเชื่อมภารกิจทางอากาศกับการคุ้มครองประชาชน และการยกย่องพลังอาสาสมัครให้เป็นภาพจำร่วมพอๆ กับกำลังหลัก
กล่าวโดยสรุป ผลสำรวจสะท้อนฉันทามติต่อ “ความกล้าหาญของกำลังพล การธำรงเอกราช ความสามัคคี ความเป็นอารยะของประเทศ” ขณะเดียวกัน ความสุขจากเหตุการณ์ชายแดนวางอยู่บนสองแกนคือ “ผลสัมฤทธิ์เชิงอธิปไตย” และ “ทุนเอื้ออาทรของสังคม” เมื่อหลอมรวมกับความภูมิใจระดับ “มาก – มากที่สุด” ต่อกองทัพในสัดส่วน 91.7% เทียบกับเพียง 2.9% ที่มองเชิงลบ จึงเกิดเป็นทุนสังคมเชิงบวกที่แข็งแรง ทั้งนี้ เพื่อให้ทุนดังกล่าวต่อยอดเป็นความไว้วางใจระยะยาว ควรระมัดระวังการสื่อสารที่อาจทำให้เกิดการแบ่งขั้วหรือมองข้ามความปลอดภัยและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกฝ่ายในพื้นที่ชายแดน
ข้อเสนอแนะเชิงพัฒนาในแนวทางบรรยายต่อเนื่องคือ การใช้ “เรื่องเล่าเชิงหลักฐาน” ที่ผสานเกียรติภูมิของกำลังพลกับกรอบมนุษยธรรมร่วมสมัย โดยยกระดับบทบาทของกลุ่มที่ได้รับการยอมรับสูงในผลสำรวจ เช่น แม่ทัพภาค 2 นักบินรบ ผู้กองอะตอม นักรบชุดดำ ตชด. และอาสาสมัคร ให้เป็น “ทูตสังคม” ถ่ายทอดบทเรียนเรื่องมาตรฐานอาชีพ ความปลอดภัยของพลเรือน และความร่วมมือข้ามภาคส่วน สถานศึกษาควรต่อยอดกระแสสนับสนุนประเด็น “เยาวชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์และความกล้าหาญของบรรพบุรุษ” ที่อยู่ระดับสูง (79.3%) ให้กลายเป็นหลักสูตรพลเมืองสากลที่เชื่อมคุณค่าความรักชาติ เข้ากับกติกาสากลและสิทธิมนุษยชน พร้อมส่งเสริมอาสาสมัครเชิงระบบเพื่อแปลง “ความสุขจากการช่วยเหลือเยียวยา” ให้เป็นโครงข่ายถาวรรับมือได้ทุกสถานการณ์
นอกจากนี้ การสื่อสารสาธารณะควรขยายภาพ “สามัคคีของคนไทยเมื่อเกิดวิกฤต” (82.9% ในหมวดภูมิใจ และ 86.1% ในหมวดความสุข) ให้เป็นคุณค่าประจำวัน ไม่ใช่เฉพาะยามเหตุการณ์ตึงเครียด ในระดับปฏิบัติการ ประเด็นที่ได้รับการเห็นพ้องสูงสุดอย่าง “ยึดคืนแผ่นดินไทยได้” (94.3%) และ “กล้าหาญปกป้องมาตุภูมิ” (91.2%) ควรถูกเล่าเรื่องควบคู่มาตรการลดความสูญเสียของทั้งทหารและประชาชน ตลอดจนความร่วมมือไทย – กัมพูชาในมิติชายแดนสมัยใหม่ เพื่อให้ความภูมิใจ ความสุข ความไว้วางใจแปรรูปเป็น “สันติภาพที่มีศักดิ์ศรี” อย่างยั่งยืนในระยะยาว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี