เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า
จะฟ้องกรรมการ ป. ป. ช. ฐานประพฤติมิชอบได้อย่างไร
เมื่อวานนี้ (ที่ 10 กันยายน 2568) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 สั่งรับฟ้อง 4 กก.ป.ป.ช. ‘วัชรพล-สุภา-วิทยา-ณัฐจักร’ ยกฟ้องจำเลยส่วนที่เหลือ สืบเนื่องจากโจทก์ขอให้เปิดเผยข้อมูลในสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจงใจแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ กรณีกล่าวหา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งเกิดกรณี “นาฬิกาหรู” (คดีหมายเลขดำที่ อท 95/2567)
ผู้เขียนพิจารณาแล้ว มีความเห็นดังนี้
1)มีการกล่าวกันว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ถูกออกแบบมาเพื่อปราบโกง โดยออกแบบให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวน แล้วดำเนินการฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
แต่หากกรรมการ ป.ป.ช. ถูกกล่าวหาว่าทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายเสียเอง รัฐธรรมนูญกำหนดให้ สส., หรือ สว.,ไม่น้อยกว่า 5 % หรือประชาชนไม่น้อยกว่า 20,000 คน เข้าชื่อกล่าวหากรรมการ ป.ป.ช. โดยยื่นต่อประธานรัฐสภา
หากประธานรัฐสภาเห็นว่า มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำตามที่ถูกกล่าวหา ให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระจากผู้ซึ่งมีความเป็นกลางทางการเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริง
หากคณะผู้ไต่สวนอิสระเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหา ให้ส่งสำนวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป (มาตรา 236 และมาตรา 237)
2)มีปัญหาว่า หากมีประชาชนบางคนได้รับความเสียหายโดยตรงจากการประพฤติมิชอบของกรรมการ ป.ป.ช. จะมีทางฟ้องกรรมการ ป.ป.ช. ดังกล่าวต่อศาลเองได้หรือไม่ หากฟ้องได้ จะต้องฟ้องต่อศาลใด
3) คดีนี้เดิมนายวีระ สมความคิด มีหนังสือถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้ไต่สวนพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราย โดยไม่แสดงว่ามีนาฬิกาข้อมือมือราคาแพงจำนวนมาก และแหวนประดับมีค่าหลายรายการ แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้ไต่สวนข้อเท็จจริง
นายวีระจึงขอข้อมูลข่าวสารของราชการเกี่ยวกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว 3 รายการคือ (1) รายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารทั้งหมด (2) ความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ทุกคนที่รับผิดขอบในเรื่องกล่าวหาดังกล่าว และ(3)รายงานการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วมีมติไม่ให้เปิดเผย
นายวีระดำเนินการจนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการ ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายที่ สค.333/2562 แก่โจทก์ แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ยอมปฏิบัติตาม
4) นายวีระเป็นโจทก์ฟ้องกรรมการ ป.ป.ช. ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ขอให้ลงโทษฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83
5) กรณีคดีนี้มีปัญหาว่า อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลใด ต่อมาประธานศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ (มาตรา 11 ให้ประธานศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัย และคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด)
6) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลบางส่วน ประทับฟ้องจำเลย 4 คน (กรรมการเสียงข้างมากที่มีมติไม่เปิดเผยเอกสาร) ไว้พิจารณาต่อไป ยกฟ้องจำเลยอื่น (รวมทั้งกรรมการเสียงข้างน้อยที่มีมติให้เปิดเผยเอกสาร)
7) ดังที่กล่าวมาข้างต้นว่า กรณีกล่าวหาว่า กรรมการ ป.ป.ช. ทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ประธานรัฐสภาจะต้องเป็นผู้เสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ เพื่อไต่สวนข้อเท็จจริว แล้วดำเนินการฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
ส่วนศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (มาตรา 3 วรรคสาม)
ผู้เสียหายก็ไม่มีอำนาจขอให้ประธานศาลฎีกาตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระเพื่อดำเนินการให้มีการฟ้องกรรมการ ป.ป.ช. ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายไม่ได้รับการเยียวยา
การที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณา ก็เป็นไปตามคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์
อีกทั้งศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ในอีกคดีหนึ่ง (วันที่ 22 ตุลาคม 2562) เห็นว่า การที่กฎหมายให้อำนาจ สส หรือ สว. เข้าชื่อร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาการทุจริตหรือประพฤติมิชอบของกรรมการ ป.ป.ช. เป็นเพียงบทบัญญัติที่เพิ่มช่องทางในการคำเนินคดีแก่กรรมการ ป.ป.ช. เท่านั้น
8)ผู้เขียนเห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมดังกล่าว เป็นการเยียวยาผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2560 ในขณะที่รัฐธรรมนูญ 2560 ก็ไม่ได้แก้ปัญหานี้
เพื่อให้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมมีความเป็นเอกภาพ หากมีการแก้ไข้รัฐธรรมนูญ 2560 ก็น่าที่จะหาทางแก้ไชปัญหานี้ เช่น แก้ไขมาตรา 236 ให้ผู้เสียหายมีอำนาจร้องต่อประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยให้ประธานศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนเบื้องต้นแล้วเสนอความเห็นต่อประธานศาลฎีกาประกอบการพิจารณาก่อนก็ได้
วัส ติงสมิตร
นักวิชาการอิสระ
11/9/68
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี