ศาลยกฟ้อง‘เจ๊ปอง’ พร้อม2พธม.คดีบกNBTปี’51

ศาลยกฟ้อง‘เจ๊ปอง’ พร้อม2พธม.คดีบกNBTปี’51

วันเสาร์ ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ศาลยกฟ้อง‘เจ๊ปอง’

พร้อม2พธม.คดีบกNBTปี’51

‘ศาลฎีกา’ชี้มีเหตุสงสัย

ไม่มีพยานหลักฐานสั่งการ

ยกประโยชน์ให้จำเลย

สั่งจำคุก6เดือนน้อง‘สนธิ’

 

ศาลฎีกาพิพากษา พลิกยกฟ้อง “เจ๊ปอง” กับพวกรวม 3 คน ในคดีม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)บุกช่อง NBT ปี’51 ระบุพยานหลักฐานโจทก์มีข้อสงสัย ส่วน ชิติพัทธ์ น้องชายสนธิ ไม่รอด หลักฐานมัด คุก 8 เดือน ศาลปรานี ลดโทษเหลือจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ด้าน “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกายกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต จะทำงานให้ประชาชน ประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวหรือไม่


เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)บุกช่องNBT.คดีดำ.อ1033/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อดีตแกนนำ พธม. เสียชีวิตแล้ว,น.ส. อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที แนวร่วม พธม. และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล น้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่10คนขึ้นไปอั้งยี่ ซ่องโจร เป็นหัวหน้าสั่งการ บุกรุกสถานที่ราชการทำให้เสียทรัพย์ กรณีเมื่อปี 2551 จำเลยกับพวกที่ศาลพิพากษาลงโทษไปแล้วได้ร่วมกันบุกยึดสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) ในช่วงการชุมนุมของ พธม. เพื่อขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช คดีนี้ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุกจำเลยคนละ 1 ปีโดยไม่รอลงอาญา จำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกา และได้รับการประกันตัวคนละ 2 แสนบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ จำเลยที่ได้รับการประกันตัว เดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คือ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ ลิ้มทองกุล เท่านั้น ส่วนนายภูวดล ทรงประเสริฐ มีอาการป่วย ติดเตียง ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้

มวลชนให้กำลังใจแน่น

ขณะที่มีมวลชน จำนวนหนึ่งเดินทางมาให้กำลังใจ รวมทั้ง นายสมชาย แสวงการ อดีต สว. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ น.ส.บุญระดม จิตรดอน 2 ผู้ประกาศข่าว ชื่อดัง ได้ร่วมเดินทางมาให้กำลังใจด้วย

น.ส.อัญชะลี และนายยุทธิยง เดินทางมาถึงศาลอาญาในเวลาประมาณ 08.40 น. และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เรามีเจตนาที่ไม่ไม่มีความจริง ตามที่เขากล่าวหา คิดว่ามันเป็นเงื่อนไข ของกาลเวลาของการเมือง มีผู้คนจำนวนมากมากันเป็นหมื่นเป็นแสน และคิดหลากหลายไม่เหมือนกัน ในฐานะที่ไม่ใช่แกนนำ แต่เป็นที่รู้จักของผู้คน เมื่อต้องทำหน้าที่ในการสื่อสาร ก็สื่อสารให้ทุกอย่างอยู่ในครรลองของกฎหมาย สื่อสารให้พลเมืองของคนในชาติ ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง สื่อสารสิ่งเหล่านี้ไป และเป็นบทบาทของเรา ในสำนึกของเรา การที่อยู่ในบทบาทนี้ ก็จะเห็นผู้คนว่า การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญในการ ชุมนุมมีคนจำนวนมากอย่างที่เล่าให้ฟัง ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของความรับผิดชอบ ที่จะต้องสื่อสารให้ดีที่สุด ให้เกิดประโยชน์ที่สุด ให้เป็นกุศลต่อบ้านเมืองมากที่สุด ในทุกสถานการณ์นี่เป็นสำนึกที่พวกเรา เป็นและถูกหล่อหลอมมาด้วยชีวิต

พร้อมน้อมรับคำตัดสิน

เมื่อถามว่าผลการตัดสินในวันนี้จะสะท้อนภาพ ของการต่อสู้ทางการเมืองอย่างไรบ้าง นายยุทธิยง กล่าวว่า ขอไม่ตอบในประเด็นนี้ ตนไม่ค่อยเก่งทางการเมือง เก่งแค่ข่าวชาวบ้าน ถ้าเรื่องชาวบ้านตอบได้ เรื่องการเมืองไม่อยากตอบ แต่ได้เห็นว่าบ้านเมืองของ มีพัฒนาการแบบนี้ และเห็นอำนาจของการเมือง ทุกคนก็รู้ว่ากระบวนการได้มาซึ่งอำนาจเป็นอย่างไร กันบ้าง

เมื่อถามว่าการพิพากษาวันนี้จะมีผล ให้มวลชนออกมาเคลื่อนไหวหรือไม่ นายยุทธิยง กล่าวว่า เวลาเปลี่ยนไปแล้ว กาลเวลาเปลี่ยนไปแล้ว มวลชนต่างมีความสุขุมขึ้น มีความลึกซึ้งและเข้าใจขึ้น คงไม่มีผล แต่อาจรู้สึกผูกพันกันเป็นธรรมดา ในแง่ของการเคลื่อนไหว มวลชนต่างๆ ควรคิดว่าบริบทของสังคมเปลี่ยนไป สังคมไทยขณะนี้เข้าสู่คุณภาพที่สูงขึ้น สิ่งหนึ่งก็คือ เห็นความรักบ้านรักเมืองมากขึ้น จากสถานการณ์ของสงคราม ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สำนึกของคนไปอยู่ตรงนั้นมากกว่า

เมื่อถามว่าคาดหวังกับผลคำพิพากษาอย่างไรบ้างในวันนี้ นายยุทธิยง กล่าวว่า ต้องนึกถึงสิ่งที่ดีที่สุด ก็อยากกลับบ้านไปอยู่กับลูก ได้ทำกิจกรรมในชีวิตที่ควรจะได้ทำ เป็นธรรมดาของชีวิต บ้านคือที่ที่อบอุ่นที่สุด ถ้าได้กลับบ้านก็จะกลับไปทำงาน ได้กลับไปจัดรายการ คือที่ที่เราสะดวก

เมื่อถามว่าในคำฟ้องระบุว่าเป็นหนึ่งในผู้สั่งการ ให้บุกรุกสถานีในตอนนั้นจะโต้แย้งอย่างไร นายยุทธิยง มองว่า เป็นไปได้ตนคิดว่าคงไม่ใช่ เป็นธรรมดาที่คำฟ้องจะเขียนแบบนั้น ส่วนใหญ่เราก็จะต่อสู้ ในกระบวนการนิติธรรม

เมื่อถามต่อว่าจากพยานหลักฐานที่ผ่านมาเชื่อมั่นหรือไม่ว่าจะสามารถหักล้างกับข้อเท็จจริงได้ นายยุทธิยง กล่าวว่า น่าจะได้เพราะเราก็ทำเต็มที่ เสนอข้อเท็จจริงเต็มที่ในการต่อสู้ ในกระบวนการยุติธรรม

“เจ้ปอง”ยันทำดีที่สุดแล้ว

น.ส.อัญชะลี ได้ให้สัมภาษณ์อีกว่า วันนี้ตนได้เตรียมใจในการฟังคำพิพากษาของศาลมาแล้ว ไม่ว่าผลคำพิพากษาจะออกมาเป็นแบบใด ตนก็น้อมรับ ซึ่งที่ผ่านมาทีมทนายความก็ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว แค่บอกศาลไปตามความเป็นจริงว่าทำอะไรมาบ้าง ตนยืนยันว่าสิ่งที่ทำไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่ทำเพื่อส่วนรวมและสาธารณะ และตลอด 20 ปี ที่ผ่านมาตนเชื่อว่าประชาชนก็น่าจะเห็นความมุ่งมั่นแต่ก็จะไม่ไปเรียกร้องให้ทุกคนต้องคิดตามตนหรือมาเชื่อในสิ่งที่ตนทำ เวลาไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ความคิดและความตั้งใจของตนก็เหมือนกัน

ทุกอย่างต้องเตรียมพร้อม

เมื่อถามว่าถ้าคำพิพากษาของศาลในวันนี้ออกมาเป็นลบได้เตรียมตัวมาบ้างหรือยัง น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า ในวันนี้ตนเตรียมพร้อมกับคำพิพากษาของศาลมาแล้ว ศึกษาว่าจะต้องใช้ชีวิตอย่างไร รวมทั้งเตรียมสุขภาพของตนเอง และเคยถามเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์ของตนเองที่เคยเข้าไปอยู่ในเรือจำมาแล้วว่าการใช้ชีวิตในเรือนจำเป็นอย่างไรบ้าง และตนยืนยันว่าในวันนี้มีกำลังใจที่ดีเป็นอย่างมาก รวมถึงเคลียร์งานให้เรียบร้อยไปแล้ว

เมื่อถามว่ามีคนนำไปเปรียบเทียบกับกรณีของนายทักษิณ มองเรื่องนี้อย่างไรบ้าง น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า ตนเห็นผ่านตามาเหมือนกันว่ามีคนนำเรื่องของตนไปเปรียบเทียบกับกรณีของนายทักษิณ แต่ในส่วนตัวของตนเมื่อศาลเรียกให้มาก็มา เมื่อมีผลอย่างไรก็น้อมรับอย่างแน่นอน ทั้งนี้ในคดีนี้มีจำเลยบางคนที่เสียชีวิตไปแล้ว บางคนป่วยติดเตียง แต่ตนก็ไม่ได้ให้ทนายความเลื่อนคดีนี้แม้ตามกฎหมายจะขอเลื่อนได้ แต่ให้ทนายความไปทำเอกสารทางการแพทย์ว่ามีผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยให้ศาลพิจารณาว่าจะอ่านคำพิพากษาเลย เพราะตนมองว่าการเลื่อนอ่านคำพิพากษาไปไม่มีประโยชน์

เมื่อถามว่าในชั้นศาลฎีกาได้มีการขอศาลว่าจะขอให้ลงโทษสถานเบาหรือไม่ น.ส.อัญชลี กล่าวว่า ไม่ได้มีการขอต่อศาลเลย แต่ได้เขียนไปแค่ว่าตนได้ทำอะไรไปในครั้งนั้นบ้าง ส่วนศาลจะเมตตาหรือไม่นั้นก็อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล

เมื่อถามว่าในชั้นศาลฎีกาได้มีการยื่นหลักฐานอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ น.ส.อัญชลี กล่าวว่า ไม่มีการยื่นหลักฐานอะไรแล้ว มีแค่การยื่นฎีกายอมรับด้วยความบริสุทธิ์ใจเท่านั้น

ย้ำชัดไม่ใช่นักการเมือง

เมื่อถามว่าคำตัดสินในวันนี้จะส่งผลต่อการต่อสู้ทางการเมืองหรือไม่ น.ส.อัญชลี กล่าวว่า ไม่ส่งผลเลย เพราะตนไม่ใช่นักการเมือง ตนเป็นภาคประชาชน ตนมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับจิตใจเลย แต่ตนก็ยังคงคิดเหมือนเดิมไม่ว่าศาลจะมีคำพิพากษาออกมาเป็นเช่นไร ถ้าเกิดคำพิพากษาในวันนี้เป็นลบก็จะไม่ส่งผลกับการออกมาเคลื่อนไหวของตนในอนาคตอย่างแน่นอน และตนก็ตั้งใจมาตลอดว่าอยากให้ทุกคนอยู่ในบ้านเมืองที่ดีและสังคมที่มีคุณภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ต่อมาทนายความของนายภูวดล ได้ยื่นคำร้อง อ้างว่าจำเลยซึ่งป่วยติดเตียง ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ โดยขอให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เดินทางไปยังศูนย์ผู้ป่วย เพื่อเป็นการยืนยันว่านายภูวดลป่วยจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล

ต่อมา ศาลขอปรึกษาผู้บริหารอ่านคำพิพากษา โดยจำเลยทั้ง 3 คนที่เดินทางมาศาลวันนี้ แถลงศาลว่ามีความประสงค์ขอให้ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาวันนี้เลย โดยมีนางผานิต ทรงประเสริฐ ภรรยานายภูวดล มาศาล แสดงตัว พร้อมกับขอให้ศาลมีคำสั่งเคลื่อนย้ายนายภูวดลจากศูนย์ผู้ดูแลผู้ป่วยสูงอายุ มาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกาด้วย

ศาลตัดตัดสินคดีช่วงบ่าย

อย่างไรศาลได้ชี้แจงว่าการเคลื่อนย้ายนายภูวดล หากมีเหตุอะไร เกิดขึ้นระหว่างเคลื่อนย้ายอาจส่งผลกระทบต่อนายภูวดลได้ จึงขอปรึกษากับผู้บริหารศาลเพื่อให้ได้ข้อสรุปชัดเจนก่อนและนัดคู่ความาฟังการพิจารณาอีกครั้งเวลา 13.30 น.

ในช่วงบ่าย ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นควรเรียก น.ส.อัญชะลี เป็นจำเลยที่ 1 นายภูวดล เป็นจำเลยที่ 2 นายยุทธิยง เป็นจำเลยที่ 3 และนายชิติพัทธ์ เป็นจำเลยที่4

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในส่วนของจำเลยที่ 1-3 พยานโจทก์ และพยานหลักฐานอื่นๆมีน้ำหนักน้อย ยังมีข้อสงสัยว่า จำเลยทั้งสามเดินทางไปสถานีวิทยุโทรทัศน์ NBTในเวลาใด รวมทั้งไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุนว่า จำเลยที่1-3ให้คำปรึกษา คำแนะนำ หรือสั่งการกับกลุ่มมวลชนกลุ่มพันธมิตรฯหรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่1-3ที่ศาลล่างทั้งสอง พิพากษาลงโทษจำเลยที่1-3นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่1-3ที่อ้างว่าไม่มีส่วนรู้เห็นหรือสั่งการนั้นฟังขึ้น

ส่วนจำเลยที่4 พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกัน เห็นว่า จำเลย เป็นผู้สั่งการมวลชนกลุ่มพันธมิตร ฯทั้งข่มขู่เจ้าหน้าที่ให้เกิดความกลัวโดยนับถอยหลัง 1- 60 ให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ การออกอากาศ ให้รีบออกจากอาคารที่ทำการ การทำลายประตูทางเข้า และทรัพย์สินอื่นเสียหายกว่า 6 แสนบาท และภาพจำเลยที่4 พูดโทรศัพท์ในบริเวณห้องโถงของอาคารมีน้ำหนัก ข้ออ้างจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น

อย่างไรก็ตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 4 มานั้นหนักเกินไป เห็นควรปรับโทษเสียใหม่ให้เหมาะสม ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ ให้จำคุกจำเลยที่ 4 รวม 8 เดือน คำให้การจำเลยที่ 4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้างลดโทษให้1ใน4 คงจำคุกจำเลยที่ 4 ไว้ 6 เดือนไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่ 1-3 พิพากษายกฟ้องโดยภายหลังมวลชนจำนวนหนึ่งที่มาให้กำลังใจ เมื่อทราบผลคำพิพากษาก็โห่ร้องปรบมือด้วยความดีใจ

ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายชิติพัทธ์ จำเลยที่ 4ไปควบคุมไว้บริเวณใต้ถุนศาล เพื่อเตรียมนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครต่อไป

ขอบคุณกระบวนการยุติธรรม

เมื่อเวลา 16.00 น.ที่ศาลอาญา น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก จำเลยคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือพธม. ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยหรือ NBT ให้สัมภาษณ์เปิดใจหลังศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องว่าขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม การตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจ ทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับประชาชนและประเทศชาติ

“คดีนี้เป็นคดีสุดท้าย ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้ประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปีที่คุ้มมาก ประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง”

เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจหากเราสู้จนถึงที่สุดแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ

ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ รถคันที่เข้าไปเป็นคนละคัน และห้วงเวลาต่างๆ ขัดกัน ศาลฎีกาได้พิพากษากลับยกฟ้องจำเลยทั้ง 3 คน

สู้ต่อด้วยความระมัดระวัง

น.ส.อัญชะลี ยังระบุว่า เราทำทุกสิ่งด้วยความรอบคอบ เราทำทุกอย่างบนความคิด และความเชื่อของเรา แต่อะไรที่กฎหมายมองว่าผิดก็ว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย เรื่องการบ้านการเมืองไม่ต้องใช้ความระมัดระวัง เราต้องใช้หัวใจกับความรู้ของเรา

หลังจากนี้จะเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมือง เราจะสู้จะช่วยโดยที่ไม่ต้องระมัดระวังสิ่งใด ยืนยันว่า ตัวเองไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นภาคประชาชน เป็นสื่อมวลชนเห็นอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร ก็คิดว่าเราจะต้องทำ เราต้องแก้ไขในสิ่งผิดให้ถูก เราต้องไปช่วยคลี่คลายความทุกข์ให้พี่น้องประชาชนในฐานะสื่อมวลชนคนหนึ่ง

คำตัดสินในวันนี้ทำให้มีกำลังใจในการทำงานเพิ่มขึ้นหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่าไม่ได้เอาเรื่องคดีมาเป็นปัจจัยในชีวิต เรามีพลังในการทำงานทุกวัน คำตัดสินในวันนี้ก็ไม่ได้เพิ่มพลัง หรือลดทำให้เราย่ำอยู่กับที่แต่มันทำให้เราดีใจโล่งอก หมดทุกข์หมดโศกหมดโรคหมดภัย และทำงานต่อไป

ส่วนที่ นายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ได้รับการลดโทษ ศาลให้เหตุผลว่าเป็นการทำไปเพื่อจุดมุ่งหมายส่วนรวม เป็นจุดมุ่งหมายที่ดี และให้การเป็นประโยชน์จึงลดจากเดิม 1 ปี ลดมาเหลือ 8 เดือน ก่อนล่าสุดลดโทษลงมาเหลือ 6 เดือน แต่ที่ไม่รอลงอาญาเนื่องจากยังต้องรับผิดทางคดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการให้สัมภาษณ์บางช่วง น.ส.อัญชะลี มีน้ำตาคลอ เสียงสั่น

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top