เขมรห้าวยิงปืนกล-ระเบิดใส่ไทย
‘ชองอานม้า’เดือด!
ทัพภาค2ยิงถล่มกลับไม่ยั้ง
แฉแผนกัมพูชาการละครยั่วยุ
ซุ่มจัดฉากไปฟ้องนานาชาติ
ทบ.สับ‘ฮุน มาเนต’ไม่จริงใจ
ชายแดนตึงเครียด! กัมพูชาเปิดฉากยิงปืนกลสลับยิงระเบิดใส่ฝ่ายไทยที่ช่องอานม้า ขณะที่ ไทยโต้กลับด้วยอาวุธเช่นเดียวกันทันที ก่อนเสียงปืนสงบทหารไทยปลอดภัยทุกนาย กองทัพภาคที่ 2 ซัดเขมรใช้แผนยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้ำรู้ทันแผนโฆษณาชวนเชื่อต่อนานาชาติ พร้อมแฉข้อมูลพบมีการตั้งกล้องเพื่อบันทึกภาพหวังนำไปกล่าวหาไทยในเวทีนานาชาติ อัด “ฮุน มาเนต” ไม่จริงใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.03 น.วันที่ 27 ก.ย.68 ได้เกิดเหตุสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณช่องอานม้า อ.บ้านน้ำยืน จ.อุบลราชธานี ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธปืนกลมือยิงเข้ามายังเจ้าหน้าที่ทหารฝั่งไทย ก่อนที่เจ้าที่ฝั่งไทย จะตอบโต้ด้วยการยิงปืนกลเข้าไปเช่นกัน จากนั้นทางฝ่ายกัมพูชาได้ใช้เครื่องยิงลูกระเบิด ยิงเข้ามาฝั่งไทย ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารฝั่งไทยได้ตอบโต้กลับ จนในเวลาประมาณ 12.30 น.ทั้ง 2 ฝ่ายได้หยุดยิงตอบโต้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยปลอดภัยทุกนาย แต่ก็ยังคงตรึงกำลังไว้ทุกจุด และมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก ทันกระแส ได้รายงานว่า “พื้นที่ช่องอานม้า มีการยิงยั่วยุจากฝ่ายกัมพูชา ทั้งปืนกลและเครื่องยิงลูกระเบิด ไทยไม่โต้ตอบ “ยืนยันยังไม่มีการปะทะ” ขอให้ประชาชนเข้าใจและเชื่อมั่นในสถานการณ์ต้องเป็นไปตามเหตุผลและสิ่งแวดล้อม อย่าหลงกล เข้าทางกัมพูชา”
ทบ.สั่งกำลังพลยิงตอบโต้
ต่ อมา พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 12.00 - 12.30 น.ได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ตรวจพบทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กและเครื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้ามาในพื้นที่บริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี ซึ่งขณะนี้กองกำลังสุรนารี ได้เตรียมพร้อมและได้รับคำสั่งให้ดำเนินการยิงตอบโต้ตามสถานการณ์เพื่อปกป้องอธิปไตย
“การกระทำดังกล่าวอาจเป็นการยั่วยุ เพื่อให้ฝ่ายไทยตอบโต้และใช้เป็นหลักฐานแจ้งต่อคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว IOT (กัมพูชา) ว่าฝ่ายไทยละเมิดมาตรการหยุดยิง ทั้งนี้ ยังไม่มีรายงานการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของกำลังพลฝ่ายไทย และกองทัพบกจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป” โฆษกกองทัพบก กล่าว
แฉเขมรใช้กลยุทธ์ยิงยั่วยุ
ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ประจำวันที่ 27 กันยายน 2568 (เวลา 14.00 น.) ว่า สถานการณ์โดยรวม เมื่อเวลา 12.02 น.ฝ่ายกัมพูชาได้พยายามสร้างสถานการณ์ความตึงเครียด ขึ้นอีกครั้งบริเวณพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้อาวุธสงครามยิงเข้ามายังพื้นที่ของฝ่ายไทยจากบริเวณ เนิน 677 มายัง เนิน 600 และเนิน 527 พร้อมทั้งใช้อาวุธปืนเล็กยิงปะทะเป็น ระยะก่อนที่สถานการณ์จะยุติลง ทั้งนี้ การปะทะจำกัดวงอยู่เฉพาะบริเวณดังกล่าว แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงตรึงกำลังควบคุมพื้นที่อย่างใกล้ชิด
ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ฝ่ายไทยได้รับแจ้งจากกัมพูชาว่า คณะสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ (IOT) ของกัมพูชาจะเดินทางเข้าพื้นที่ช่องอานม้า กองทัพภาคที่ 2 ประเมินว่าเป็นความพยายามของกัมพูชา ในการสร้างเงื่อนไขและยั่วยุให้เกิดสถานการณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่คณะ IOT เดินทางเข้าพื้นที่ โดยในอดีตกัมพูชามักใช้กลยุทธ์ลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในครั้งนี้ก็ยังคงดำเนินการในรูปแบบเดียวกัน
แอบถ่ายจะไปฟ้องนานาชาติ
นอกจากนี้ฝ่ายไทยยังตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้มีการตั้งกล้องบันทึกภาพไว้ล่วงหน้าบริเวณฐานปฏิบัติการทางทิศใต้ช่องอานม้า สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะนำเหตุการณ์ไปใช้เผยแพร่ในเวทีนานาชาติ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่าฝ่ายไทยเป็นผู้ริเริ่มการปะทะ ทั้งที่แท้จริงแล้ว เป็นการกระทำเชิงยุทธวิธีที่ไม่เหมาะสมของฝ่ายกัมพูชาเอง การใช้อาวุธยิงโจมตีในห้วงเวลากลางวัน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางยุทธวิธี แสดงถึงเจตนาชัดเจนที่จะยั่วยุให้ฝ่ายไทยตอบโต้ หากฝ่ายไทยดำเนินการตอบสนองก็เสี่ยงที่จะถูกกล่าวหาว่าละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และถูกขยายผลในเวทีระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยยังคงควบคุมสถานการณ์ด้วยความสุขุม รอบคอบ และหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่จะตกเป็นประโยชน์ต่อการโฆษณาชวนเชื่อของกัมพูชา แต่ขอยืนยันว่ากองทัพไทยพร้อมปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติอย่างเต็มกำลังควบคู่ไปกับการดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่
ขณะเดียวกันกองทัพภาคที่ 2 ได้จัดชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนลงพื้นที่เพื่อช่วยประสานงาน อำนวยความสะดวก และให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่ากองทัพจะไม่ทอดทิ้งและพร้อมยืนเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 จะติดตามความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมรายงาน ความคืบหน้าให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง และขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนโปรดใช้วิจารณญาณ ในการรับข้อมูลข่าวสาร โดยติดตามเฉพาะช่องทางอย่างเป็นทางการของหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อป้องกันการเกิดความเข้าใจผิดหรือการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
ยั่วยุหวังสร้างหลักฐานเท็จ
ด้านแหล่งข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่ทหารกัมพูชายิงอาวุธปืนเข้ามายังพื้นที่ฝั่งไทยใกล้ช่องอานม้า เป็นส่วนหนึ่งของแผนยั่วยุที่ฝ่ายกัมพูชาวางไว้ เพื่อให้ทหารไทยยิงตอบโต้และใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องต่อคณะกรรมการควบคุมอาวุธและกำลังพลระหว่างประเทศ โดยในที่เกิดเหตุมีคลิปเสียงปืนที่ทหารกัมพูชาเตรียมไว้เป็นหลักฐาน
แหล่งข่าวระบุว่า ทันทีที่เกิดเหตุ โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้ออกแถลงข่าวทันทีและแจ้งว่าในวันเดียวกันจะนำคณะ IOT เข้ามาตรวจสอบพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม กองกำลังสุรนารีได้รับทราบสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว และเตรียมพร้อมที่จะยิงตอบโต้ตามสถานการณ์หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก
“มาลี”โผล่กล่าวหาไทย
ขณะที่ พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาออกแถลงการณ์เท็จ กล่าวหาไทยเปิดฉากยิงทหารเขมรที่ช่องอานม้า โดยระบุว่า “เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 เวลาประมาณ 11:52 น. ทหารไทยได้เริ่มโจมตีที่ตั้งทางทหารของกัมพูชา โดยการยิงกระสุนปืนครกและอาวุธปืนเล็กหลายนัดเข้าใส่ฐานทัพของกัมพูชาในพื้นที่อานม้า (อันเซะ) ณ ขณะนี้ กองทัพกัมพูชายังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์นี้ด้วยความระมัดระวังและใส่ใจสูงสุด และเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อ ปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดน
กองทัพกัมพูชายืนยันถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะเคารพและปฏิบัติตาม ข้อตกลงหยุดยิง ระหว่างกัมพูชาและไทยอย่างครบถ้วน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในทุกระดับและการแสวงหาความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อ ส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพ ระหว่างสองประเทศ กัมพูชาเรียกร้องให้มีการกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว และเรียกร้องให้ฝ่ายไทยยึดมั่นในการเคารพและปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดเช่นกัน”
ทบ.สวนกลับ’ฮุนมาเนต’
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าเมื่อวันที่ 26 ก.ย.68 ที่ผ่านมา พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมกับตอบโต้สมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา หลังจากที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้กล่าวถึงเรื่องการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว โดยในหลายประเด็นพบว่ามีการกล่าวอ้างและตอบโต้ต่อคำชี้แจงของฝ่ายไทยด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและอาจทำให้สาธารณชนเกิดความสับสน
โดยโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ข้อมูลที่สมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาเปิดเผยนั้นมีทั้งส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และก็มีอีกหลายส่วนที่ยังเป็นลักษณะของการกล่าวอ้างเฉพาะในมุมที่ต้องการของตัวเองฝ่ายเดียว มีลักษณะพาดพิงฝ่ายไทย จึงขอเรียนชี้แจงให้สังคมได้ทราบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างเหมาะสมในประเด็นสำคัญ
โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ประการที่ 1 ที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่า ตาม MOU นี้ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะรักษาสถานะเดิม จนกว่างานปักปันเขตแดนจะเสร็จสมบูรณ์นั้น การที่นำข้อตกลงใน MOU มาอ้างเหตุการณ์ในขณะนี้ ก็ต้องย้อนไปดูฝ่ายกัมพูชาเองว่าทำตามข้อตกลงได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมากว่า 20 ปี กัมพูชาเป็นฝ่ายเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ ด้วยการสร้างบ้านเรือนและตั้งชุมชน ไม่เพียงเฉพาะในพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ หรือพื้นที่ที่อยู่ในกรอบเงื่อนไขข้อตกลง MOU เท่านั้น แต่ยังมีการรุกล้ำเกินเลยเข้ามากินพื้นที่ในอาณาเขตดินแดนประเทศไทย ทั้งที่พื้นที่ส่วนนี้ไม่ได้เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน
แนะดูภาพถ่ายทางอากาศ
“หากดูหลักฐานด้วยภาพถ่ายทางอากาศแล้วเปรียบเทียบระหว่างอดีตกับปัจจุบัน จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่อย่างชัดเจนจากการละเมิดของฝ่ายกัมพูชา ฝ่ายไทยได้ดำเนินการประท้วงมาแล้วมากกว่า 500 ครั้ง ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของ MOU ที่กำหนด แต่กลับไม่ได้รับการแก้ไขจากฝ่ายกัมพูชา และในทางกลับกัน พบว่าหลายพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย มีกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตไทยอย่างชัดเจน เช่น พื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ที่เข้ามาขุดคูติดต่อทางทหาร และพื้นที่ชุมชนในจังหวัดสระแก้ว ตามที่เกิดประเด็นความขัดแย้งในปัจจุบัน ซึ่งเห็นได้ชัดว่านายกรัฐมนตรีกัมพูชาหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึง” พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าว
ส่วนที่มีการกล่าวหาว่าฝ่ายไทยลากเส้นเขตแดนเอง จากพิกัดหลักเขตที่คณะกรรมการสำรวจหลักเขตร่วมทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้วนั้น โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เขตแดนไทย–กัมพูชาตลอดแนวนั้น ในส่วนที่ภูมิประเทศเป็นภูเขาจะใช้สันปันน้ำเป็นตัวแบ่ง ส่วนภูมิประเทศที่เป็นลักษณะที่ราบจะใช้หลักเขตแดนเชื่อมต่อกันเป็นตัวระบุเขตแดน ซึ่งจะไม่ค่อยมีความซับซ้อน หรือต้องอาศัยองค์ประกอบงานเทคนิคด้านแผนที่ขั้นสูงอย่างที่กล่าวอ้าง อาศัยแค่ความซื่อสัตย์และจริงใจ ตรงไปตรงมาก็จะสามารถหาข้อสรุปในเรื่องเขตแดนสำหรับพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นพื้นราบได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งจะช่วยสามารถลดเวลาขั้นตอนการทำงานของคณะกรรมาธิการร่วมปักปันเขตแดนทางบก (JBC) ได้เป็นอย่างดี โดยพิกัดหลักเขตตามแนวชายแดนทั้งหมด 74 หลักเขต ได้มีการสำรวจและบันทึกพิกัดโดยคณะกรรมการสำรวจหลักเขตร่วมของทั้งสองประเทศเรียบร้อยแล้ว และมีเอกสารระบุไว้อย่างชัดเจน ทั้งพิกัดหลักเขตที่เห็นตรงกันและเห็นต่างกัน ในส่วนที่เห็นต่างก็กลายเป็นพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ ซึ่งตาม MOU ได้ตกลงกันว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่ใด ๆ
ดังนั้น การที่กล่าวว่าฝ่ายไทยลากเส้นเขตแดนเองนั้นจึงไม่ถูกต้อง เพราะทางการกัมพูชาก็ทราบดีว่าหลักเขตใดอยู่พิกัดใด ส่วนเส้นตรงที่ลากเชื่อมต่อระหว่างหลักเขต ก็เป็นเส้นอ้างอิงที่ใช้ในการกำหนดเขตแดนตามหลักการในกรณีที่พื้นที่บริเวณนั้นเป็นพื้นที่ราบ ไม่ใช่สิ่งที่ฝ่ายไทยวาดเส้นเขตแดนขึ้นเองตามที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้าง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี