สนง.เลขาฯสลค.ตีกลับขออภัยโทษ  ‘แม้ว’ส่อกินแห้ว  ‘รมว.ยธ.’สั่งกลับไปทบทวนใหม่

สนง.เลขาฯสลค.ตีกลับขออภัยโทษ ‘แม้ว’ส่อกินแห้ว ‘รมว.ยธ.’สั่งกลับไปทบทวนใหม่

วันศุกร์ ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

สนง.เลขาฯสลค.ตีกลับขออภัยโทษ

‘แม้ว’ส่อกินแห้ว

‘รมว.ยธ.’สั่งกลับไปทบทวนใหม่

เด้งแพทย์ใหญ่รพ.ตร.เข้ากรุ

สังเวยปมช่วย‘เทวดาชั้น14’

สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ตีกลับคำขออภัยโทษของทักษิณ กลับไปให้ รมว.ยุติธรรมคนใหม่พิจารณา คาดศุกร์หรือจันทร์นี้รู้ผล ขณะที่“บิ๊กต่าย”เซ็นเด้งนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ เข้ากรุ ปมแพทยสภาพักใบอนุญาตจากกรณีรักษาอาการไข้เทวดาชั้น 14

เมื่อวันที่ 2ตุลาคม2568 ผู้สื่อข่าวมีรายงานว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) มีหนังสือคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการ เนื้อหาระบุว่า ด้วย คณะกรรมการแพทยสภา ในการประชุมครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 มีมติลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมของ พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ8) เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 และหากกระทำการฝ่าฝืนโดยยังประกอบวิชาชีพเวชกรรมจะถือเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่ง ที่ 371/2568 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว


เนื่องจากคำสั่งแพทยสภาให้พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นมาตรการระงับใช้ใบอนุญาตเป็นการชั่วคราวและให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ทางต้านการแพทย์ ประกอบกับปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริง จึงเป็นเหตุอันเป็นที่สงสัยว่ามีข้าราชการตำรวจประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่ หากให้ปฏิบัติบัติหน้าที่ในหน่วยงานเติม อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใส เกิดความเป็นธรรม และมีให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566 จึงสั่งการให้ พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) ช่วยราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้ยกเว้นหลักเกณฑ์กรณีการไปช่วยราชการสิ้นสุดลงตามข้อ 11 ของระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566 และให้ พลตำรวจโท ไพบูลย์ เจียมอนุกลูกิจ นายแพทย์(สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ รักษาราชการแทน นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) โดยให้ขาดจากตำแหน่งหน้าที่เดิม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23กันยายน2568 กระทรวงยุติธรรม โดยพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รมว.งยุติธรรม ได้ลงนามเอกสารลับที่ ยธ0703.41307 เรื่องนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ของนักโทษเด็ดขาดชาย นายทักษิณ ชินวัตร ถึง นายกรัฐมนตรี มีรายละเอียด 11หน้าและสาระสำคัญ คือกระทรวงยุติธรรม พิจารณาแล้ว ขอเรียนว่า นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณฯ ได้ยอมรับคำพิพากษาของศาลฎีกาโดยยินยอมเดินทางกลับมารับโทษ และมีคุณงามความดีขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยการดำเนินการโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนหลายโครงการ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งคดีหมายเลขแดงที่ บค1/2568 ลงวันที่ 9กันยายน2568 ให้จำคุก นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณฯ 1 ปี จึงเห็นควรยกฎีการายนี้เสีย ตามที่กรมราชทัณฑ์เสนอจึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา และนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในโอกาสอันควร

วันเดียวกัน พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์หลังมอบแนวทางการปฏิบัติงานสำหรับข้าราชการกระทรวงยุติธรรม ถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มีการยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษครั้งที่ 2 กระทรวงยุติธรรมมีส่วนเกี่ยวข้องในการพิจารณาอนุมัติอย่างไรบ้าง ว่า เรื่องนี้ทราบว่า รมว.ยธ.คนเก่าได้มีการเสนอไปที่ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) แต่ตอนนี้เรื่องได้กลับมาที่กระทรวงยุติธรรมแล้ว ซึ่งก็ตนก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณา โดยมอบหมายให้ นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัด ยธ.ไปตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อช่วยดูเรื่องข้อกฎหมาย และค่อยให้ประมวลเรื่องเสนอขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ส่วนจะสรุปว่าสามารถขอได้หรือไม่นั้น ตนขอให้คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาดำเนินการอีกครั้งหนึ่งก่อน ซึ่งตนให้เวลา 3 วัน ก็น่าจะประมาณวันศุกร์ที่ 3 ต.ค. หรือวันจันทร์ที่ 6 ต.ค. จึงจะมีการรายงานมาให้ตนทราบอีกครั้ง แล้วค่อยนำเสนอกลับไปใหม่ที่สำนักงานคณะรัฐมนตรี (สลค.) อีกครั้ง ส่วนเหตุผลที่เรื่องกลับมาที่กระทรวงฯ ทราบว่า ให้เรื่องกลับมาที่ รมว.ยธ.คนใหม่ เพื่อให้ รมว.ยธ.คนใหม่มีความเห็นแล้วค่อยเสนอกลับขึ้นไปที่สำนักงานคณะรัฐมนตรี (สลค.) อีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม (หรือเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร) แขวงลาดยาว เขตจตุจักร ซึ่งวันนี้เป็นครั้งที่ 6 ที่ครอบครัว “ชินวัตร” เดินทางมาเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ชินวัตร ภายหลังถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 1ปี โดยนายทักษิณถูกแยกควบคุมตัวในแดนผู้ต้องขังสูงอายุและแดนพยาบาล เนื่องจากมีโรคประจำตัวและมีอายุเกิน 65 ปี โดยเวลา 09.55น.น.ส.แพทองธารและน.ส.พินทองทา เดินทางมาถึงเรือนจำฯ

มีคนเสื้อแดงมารอให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก บางส่วนถือป้ายเขียนข้อความ “ชินวัตรสู้”, “เพื่อไทยเท่านั้น” และ “เรารักทักษิณ” โดยมวลชนต่างพากันตะโกนเสียงดังกึกก้อง “เรารักทักษิณ” พร้อมขอถ่ายภาพและเซลฟี่ร่วมกับบุตรสาวทั้งสอง ซึ่งต่างตอบรับด้วยรอยยิ้มและกล่าวขอบคุณอย่างเป็นกันเอง

ต่อมา น.ส.แพทองธาร ได้เปิดเผยสั้น ๆ ต่อสื่อมวลชนว่า “คุณพ่อวันนี้ปรับตัวได้ดีขึ้น สุขภาพโดยรวมสดใสขึ้นกว่าเดิม แต่ยังมีปัญหาเรื่องกระดูก โดยเฉพาะบริเวณต้นคอและหลัง” พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า “ปกติท่านไม่ใช่คนอยู่นิ่ง ๆ จึงต้องดูแลเป็นพิเศษ”

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่ามีการนำหนังสือธรรมะไปมอบให้นายทักษิณด้วยหรือไม่ น.ส.แพทองธารตอบว่า ได้นำไปมอบให้แล้วตั้งแต่ครั้งก่อนหน้านี้ ส่วนคำถามที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการเมืองและพรรคเพื่อไทย เจ้าตัวไม่ได้ตอบก่อนจะรีบขึ้นรถตู้เดินทางออกจากเรือนจำทันที

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top