‘อภิสิทธิ์’ฉลุย!
เช็คข้อบังคับพรรคชิงหน.ได้
ภท.อุบ‘รัตนเศรษฐ์’ย้ายซบ
“โสภณ” ไม่รู้ “บ้านรัตนเศรษฐ์” จ่อย้ายซบ “ภูมิใจไทย” นายกฯ หวังกวาดสส.อีสาน เพราะเป็นคนอีสาน ขอรอยุบสภาประกาศเป้าหมาย ย้ำสส.เลือกอยู่ที่ที่มีความมั่นคง ยัน“หนู”ให้ความสำคัญน้ำท่วม ลงพื้นที่ตั้งแต่ก่อนแถลงนโยบายไปชายแดนสร้างความั่นใจฝ่ายความมั่นคง-ปชช.
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะแกนนำพรรคภูมิใจไทย(ภท.) กล่าวถึงกระแสข่าวครอบครัว’รัตนเศรษฐ์’บ้านใหญ่ จ.นครราชสีมา จะย้ายเข้าพรรคภูมิใจไทย ว่า ยังไม่ทราบ การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองทุกพรรคมีการเคลื่อนไหวตลอด ดังนั้นคนที่เป็นนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็น สส. ขณะนี้ หรือผู้ที่สนใจสมัคร สส.ก็แสวงหาพรรคการเมืองที่ตัวเองคิดว่ามั่นคงและตัวเองอยู่รอด รวมถึงเมื่อสมัครเป็นผู้แทนก็อยากได้เป็นสส.เมื่อถามว่า ตั้งเป้าภาคอีสานไว้อย่างไร เพราะขณะนี้พรรคภูมิใจไทยมีความโดดเด่น นายโสภณ กล่าวว่า ก็คาดหวัง เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นคน จ.บุรีรัมย์ เป็นคนอีสาน ก็คาดหวังเต็มที่ อย่าเพิ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ เพราะยังไม่จบว่าใครสังกัดพรรคใด หรือย้ายไปพรรคไหน แต่ถ้าวันไหนจบแล้ว ยุบสภาแล้ว จะประกาศเป้าหมายทันที
เมื่อถามอีกว่าขณะนี้มีสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) ย้ายไปพรรคภูมิใจไทยเพิ่มเติมหรือไม่ นายโสภณ กล่าวว่า ไม่รู้ การเป็น สส.นั้น ถ้าอยู่ที่ไหนแล้วมีความมั่นคง เขาก็ไปตรงนั้น ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคภูมิใจไทยจะวางแผนเปิดตัว สส.เมื่อไหร่ เพราะพรรคเพื่อไทยจะเริ่มเปิดตัวแล้ว นายโสภณ กล่าวว่า เราก็ทำเหมือนกัน และทำมานานแล้ว แต่การจะเปิดตัวนั้น ต้องพิจารณาตามความเหมาะสมและความนิยมของประชาชนด้วย ทั้งนี้ พรรคการเมืองก็อยากได้ สส. จำนวนมากๆ และนักการเมืองก็ไม่อยากสอบตก
ยัน’หนู’ให้ความสำคัญน้ำท่วม
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) โจมตีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ไม่ลงพื้นที่น้ำท่วมว่า นายกฯลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมตั้งแต่ก่อนแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 20ก.ย. ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา อ่างทองและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอื่นๆ ในข้อสั่งการของนายกฯ ในการประชุม ครม.ครั้งแรก วันที่ 30 ก.ย.ข้อแรกคือ เรื่องเกี่ยวกับน้ำท่วม แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของนายกฯในการแก้ปัญหาน้ำท่วม ส่วนสาเหตุที่นายกฯลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา แทนที่จะลงพื้นที่น้ำท่วมเนื่องจากแม่ทัพภาคที่2คนใหม่ เพิ่งมารับตำแหน่ง ดังนั้นการพบปะให้กำลังใจและความมั่นใจแก่ฝ่ายความมั่นคงว่า รัฐบาลให้การสนับสนุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีมติที่สำคัญคือ จากที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เกี่ยวกับความมั่นคงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จึงไปสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน แม้นายกฯจะอยู่พื้นที่ชายแดน แต่ไม่ได้ปล่อยปละละเลย ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีหลายคนไปดูแลสถานการณ์ทั้งระบบ ซึ่งวันนี้น้ำกำลังท่วมอยู่ การดูแลต้องดูแลทั้งระบบ ทั้งเรื่องขนย้าย การอพยพ การตัดไฟ การดูแลผู้ป่วยติดเตียง
โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 5ต.ค.ระหว่างปฏิบัติภารกิจหัวใจติดปีกที่ จ.อุดรธานี นายกฯยังแวะไปดูน้ำท่วมที่ จ.อุดรธานี แต่แน่นอนว่า การนำเสนอภาพข่าวบางภาพคนสองคนอยู่คนละพื้นที่ คงเป็นไปได้ยากที่จะเห็นภาพของเขา เอานายกฯของเรามาลงพื้นที่เดียวกัน แต่ยืนยันว่า นายกฯให้ความสนใจ ตั้งใจและให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการป้องกัน การอพยพ หรือการเยียวยาสถานการณ์น้ำท่วม เมื่อถามว่า เป็นการถูกตัดหน้าหรือไม่ นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ไม่ได้มองว่า ถูกตัดหน้า ตนคิดว่าพื้นที่ใครๆใกล้ก็ไปก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่า ไปก่อนแล้วทำดีกว่า
คนละครึ่งพลัสเข้าครม.7ต.ค.นี้
นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงบประมาณ ให้สัมภาษณ์ถึงวาระการประชุม ครม.วันที่ 7ต.ค.ว่า มีวาระแผนบูรณาการที่มอบหมายงานให้รองนายกรัฐมนตรีไปดูแลงานบูรณาการด้านต่างๆ และอาจจะดูเรื่องงบกลาง ที่จะนำไปใช้ในโครงการคนละครึ่งพลัส ส่วนเรื่องอื่นๆที่ต้องใช้งบประมาณขณะนี้ยัง เมื่อถามว่า งบประมาณปี 69 มีวาระอะไรที่อยากจะผลักดัน นายภราดร กล่าวว่า เรื่องเร่งด่วนคือเยียวยาประชาชนพื้นที่อุทกภัย ตั้งแต่เดือนพ.ค.ถึงวันที่30 ก.ย.2568 ประมาณ 5แสนกว่าหลังคาเรือน คาดว่าใช้งบประมาณจากงบกลางรวมหลายพันล้าน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนระหว่างการสำรวจตรวจสอบและพิจารณา ยังไม่เข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในเวลานี้ โดยจะพยามเร่งรัดให้หน่วยงานราชการไปสำรวจในส่วนที่เสียหายจากอุทกภัยทั่วประเทศ
เมิน’จิรายุ’จี้สอบคุณสมบัติ’สันติ’
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกฯ เรียกร้องให้ปรับ ครม.หลังพบ นายสันติ ปิยะทัต รมต.ประจำสำนักนายกฯ มีผลประโยชน์ทับซ้อนว่า ขอให้เป็นเรื่องของการดำเนินการที่หาก นายจิรา ยุเห็นอย่างไรก็ดำเนินการไปตามบทบาทหน้าที่ของท่านทำได้เลย แต่ในการตั้ง ครม.นายกฯได้ส่งตรวจสอบประวัติทุกคนครบถ้วนแล้ว แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่พอใจ เพราะรัฐมนตรีที่เคยอยู่กับเขามาครั้งที่แล้วมาครั้งนี้เขาก็ยังไม่พอใจ
‘จิรายุ’จี้ปรับครม.ตั้งผู้บริหารเอกชน
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกฯกล่าวว่า การตั้งรัฐมนตรีของรัฐบาลหนู1 ออกอาการหนักหนาสาหัสจนเกินเยียวยา ผ่านมาไม่กี่สัปดาห์มีแต่คนส่งข้อมูลเทาๆมาให้ตน มีรัฐมนตรีหลายคนมีผลประโยชน์ซับซ้อนแต่ก็ยังดันทุรังตั้งชนิดที่ไม่อายใคร ดึงคนนอกมา แต่ละคนหากรู้ประวัติแล้วจะหนาว ทั้งนี้ ตนจะยื่นให้องค์กรอิสระดำเนินคดีในการแต่งตั้งรัฐมนตรีคนนอกหลายคน ที่มีประวัติด่างพร้อย โดยคนแรกคือนายสันติ ปิยะทัต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่มาเป็นรัฐมนตรีและนายกฯ มอบหมายให้ดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ) เนื่องจากพบว่า มีความไม่เหมาะสม มีผลประโยชน์ทับซ้อนและเกี่ยวข้องกับคดีต่างๆ ที่ สคบ.กำกับดูแลหรือไม่ ตนตรวจพบว่า นายสันติ เคยเป็นกรรมการบริหาร บริษัท เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ฯที่ดำเนินกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์ มีเรื่องถูกร้องเรียนและคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้ดำเนินคดีแพ่ง (ฟ้องคดี) กับบริษัทเค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ฯต่อศาลหลายคดี เพื่อบังคับให้บริษัทฯรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภค นายกฯกลับแต่งตั้งให้เป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่กำกับดูแล สคบ.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ต้องคลีน ต้องอยู่เคียงข้างประชาชนผู้เดือดร้อนและผู้บริโภค โดยต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือเคยเป็นผู้กระทำต่อประชาชน
อ้างมีผลประโยชน์ทับซ้อนชัด
“บริษัทฯ ที่นายสันติ เคยเป็นกรรมการบริหารถูกร้องเรียนและมีคดีกับ สคบ.หลายคดี ถึงแม้จะลาออกแค่ไม่กี่วันก่อนรับตำแหน่ง แต่บริษัทมีชนักติดหลัง นายกฯหนู รู้เต็มอกหรือไม่ ประชาชนผู้บริโภคจะไว้ใจได้อย่างไร การที่นายกฯมอบหมายให้กำกับดูแลสคบ.ถือว่า ไม่ตรงปก ประชาชนไม่สามารถไว้วางใจได้ เพราะมีความขัดกันแห่งผลประโยชน์โดยตรง นายสันติ เคยเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เมื่อตรวจสอบพบว่า ยังทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ให้บริการด้านสินเชื่อแบบลิสซิ่งฯ แม้ลาออกก่อนรับหน้าที่ไม่กี่วัน หลังเข้ารับตำแหน่ง แต่พอมาเป็น รมต.กลับแต่งตั้งทีมเลขานุการฯและทีมงานที่ปรึกษาของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทีมนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์และด้านการให้สินเชื่อกู้ยืมเงินหรือลีสซิ่ง“ นายจิรายุ กล่าว
ขู่ร้ององค์กรอิสระเข้าตรวจสอบ
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า การที่นายสันติ แต่งตั้งที่ปรึกษาแต่ละคนมาช่วยบริหารสั่งการ สคบ.ที่มีอำนาจหน้าที่กำกับตรวจสอบตลอดจนการดำเนินคดีแพ่งและอาญา เพื่อลงโทษแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่เอาเปรียบผู้บริโภค ด้านอสังหาริมทรัพย์ ด้านสัญญาในการให้บริการสินเชื่อให้กู้ยืมเงิน หรือการทำสัญญา ซึ่งตนสืบค้นประวัติของแต่ละคนพบว่า อันตรายและอาจจะหนีไม่พ้นที่จะเข้าไปแทรกแซงหรือเป่าคดี เพื่อให้หน่วยงาน สคบ.กระทำการหรือไม่ รวมทั้งกระทำการใดเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้ธุรกิจตนเองทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งตนจะทยอยเปิดเผยประวัติของคณะที่ปรึกษาแต่ละคนให้สังคมพิจารณา ตนเห็นว่านายกฯ ต้องปรับครม.ใหม่ทันที เพราะไม่ใช่แค่ นายสันติ ที่ประชาชนอาจไม่ไว้วางใจเท่านั้น ยังมีอีกหลายคนที่ตนได้รับข้อมูลเป็นจำนวนมาก จนจะยื่นร้องต่อองค์กรอิสระเพื่อเอาผิดทั้งผู้แต่งตั้งรมต.ประจำสำนักนายกฯ รวมทั้งคณะที่ปรึกษา ซึ่งอาจมีเจตนาในการเข้ามาแทรกแซงระบบราชการ รวมทั้งประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อองค์กรอิสระต่อไป
‘สกลธี’คืนรังปชป.ใช้บุญคุณพรรค
นายสกลธี ภัททิยกุล อดีตรองผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กะบุว่า ผมได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เรียบร้อยแล้วครับ นับแต่วันที่ลาออกจากพรรคจนถึงวันนี้เกือบ 10ปีพอดี เป็นการออกไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ทำให้ผมเติบโตขึ้นมากทางการเมือง มีประสบการณ์เพิ่มขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ถ้าใครเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของผมย้อนหลังไปเมื่อหลายปีก่อน ผมให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ถึงแม้ผมจะลาออกจากพรรค แต่ซักวันหนึ่งผมตั้งใจจะกลับไปชดใช้บุญคุณของพรรค ที่เป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตการเมืองของผม บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ที่ผมจะกลับไปช่วยฟื้นฟูพรรค ผมทราบดีว่าการจะไปสู่จุดเดิมของพรรคไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมตั้งใจจะรวบรวมคนทุกรุ่นที่มีความปรารถนาดีกับประเทศและอยากเห็นประเทศเดินไปในทิศทางที่ดีขึ้น ช่วยกันขับเคลื่อนพรรคให้เป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็งอยู่คู่ประเทศไทยต่อไป
“ผมกราบขอบพระคุณทุกแรงใจและแรงสนับสนุนที่มีให้กับตัวผมนับแต่วันแรกที่เป็นผู้แทนราษฎร มาจนถึงวันนี้ก็เกือบ 20 ปีแล้ว และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการตัดสินใจของผมในครั้งนี้จะได้รับการสนับสนุนจากทุกคนเหมือนเดิมนะครับ รักและเคารพอย่างสูงครับ”
‘อภิสิทธิ์’มีสิทธิ์ชิงหัวหน้า’ปชป.’
แหล่งข่าวระดับสูงในพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยืนยันว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ดำเนินการตามกระบวนการข้อบังคับพรรคทุกประการแล้ว มีการคอมเฟิร์มแล้วว่านายอภิสิทธิ์ ได้ดูข้อบังคับพรรคเป็นอย่างดีแล้ว และในวันที่ 18 ตุลาคม 68 จะมีคนเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เข้าสู่กระบวนการเลือกหัวหน้าพรรค จากที่ประชุมใหญ่ เพื่อให้ได้รับการโหวตเป็นหัวหน้าพรรค หลังจากนั้นหัวหน้าพรรคจะเป็นคนเสนอชื่อกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรค ในตำแหน่งสำคัญ เช่น รองหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค ช่วงเวลาที่ผ่านมามีความเคลื่อนไหวของอดีตสส.และอดีตรัฐมนตรีของพรรค ปชป. กลุ่มที่เคยสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ กลับมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคอีกครั้ง เพื่อไม่ให้มีปัญหาในการนับเป็นองค์ประชุม โดยการประชุมใหญ่จะเกิดขึ้นในวันที่ 18ตุลาคม2568 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ หลักสี่ กทม.
เลือดแท้ ปชป. ไหลคืนบ้านคึกคัก
ขณะที่”แนวหน้าออนไลน์” ตรวจสอบข้อมูลอดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ที่สมัครเข้าพรรค จนถึงวันที่ 6 ตุลาคม พบข้อมูลดังนี้ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตสส. อดีตรองนายกฯ คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ อดีตรมต.และอดีตสส.นครศรีธรรมราช นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรมว.วัฒนธรรม และสส.พัทลุง นายทศพร เทพบุตร อดีต สส.ภูเก็ต นางอัญชลี วานิช เทพบุตร อดีต สส.ภูเก็ต นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีต รมช.สาธารณสุข อดีต สส.ระยอง นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ อดีต สส.ระยอง นายนิพนธ์ ธาราภูมิ อดีต สส.ลพบุรี นางอรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ อดีต สส.กรุงเทพ นายสกลธี ภัททิยกุล อดีต สส.กรุงเทพ นางอรอนงค์ คล้ายนก อดีต สส.กรุงเทพ นางอานิก อัมระนันทน์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ
นอกจากนี้ยังมีอดีตสมาชิกพรรคที่ไม่ได้เป็นอดีต สส. กลับมาสมัครเป็นสมาชิกอีกครั้งหนึ่งจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ระบุว่ามาสมัครเพื่อร่วมฟื้นฟูพรรค และเพื่อเลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งหนึ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี