สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2568

สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2568

วันอังคาร ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 20.34 น.

วันนี้ 7 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้

กฎหมาย


1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. .... (ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2568) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอและให้ดำเนินการต่อไปได้

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 บัญญัติให้ในปีหนึ่ง มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัยๆ หนึ่งให้มีกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยให้ถือ วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญ ประจำปีครั้งที่หนึ่ง ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองให้เป็นไปตามที่ สภาผู้แทนราษฎรกำหนด และเนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2566 กำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก โดยให้ถือเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 และสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดให้วันที่ 12 ธันวาคม เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้ว ดังนั้น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงมีวันเปิดและวันปิดสมัยประชุม ดังนี้

ปีที่

สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง

สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง

1

3 กรกฎาคม 2566 – 30 ตุลาคม 2566

12  ธันวาคม 2566 – 9 เมษายน 2567

2

3 กรกฎาคม 2567 – 30 ตุลาคม 2567

12  ธันวาคม 2567 – 10 เมษายน 2568

3

3 กรกฎาคม 2568 – 30 ตุลาคม 2568

12  ธันวาคม 2568 – 10 เมษายน 2569

4

3 กรกฎาคม 2569 – 30 ตุลาคม 2569

12  ธันวาคม 2569 – 10 เมษายน 2570

                  

                   2. โดยที่ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุม สามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2568 ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2568 บัดนี้ จะสิ้นกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวันตามสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่งในวันที่ 30 ตุลาคม 2568 สมควรที่จะกำหนดให้ปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2568

 

เศรษฐกิจ-สังคม

2. เรื่อง โครงการคนละครึ่ง พลัส

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบโครงการคนละครึ่ง พลัส (โครงการฯ) และกรอบวงเงินงบประมาณจำนวนไม่เกิน 44,000 ล้านบาท โดยมอบหมาย กค. โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในรายละเอียดที่ไม่ขัดกับหลักการโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพ

                   2. เห็นชอบให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 25,000 ล้านบาท และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 25,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สศค. และอนุมัติให้ สศค. เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการฯ

                   3. เห็นชอบให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 19,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สศค. สำหรับการดำเนินโครงการฯ ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 19,000 ล้านบาท กค. โดย สศค. จะได้ดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามขั้นตอนและวิธีการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

                   4. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้

                             4.1 กค. โดยกรมบัญชีกลางทำหน้าที่เบิกจ่ายเงินแทนกัน

                             4.2 กระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยกรมการปกครองตรวจสอบคุณสมบัติและคัดกรองกลุ่มเป้าหมายด้านการทะเบียนราษฎรโครงการฯ และหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ ตามที่ กค. โดย สศค. กำหนด

                             4.3 สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กรมการค้าภายใน กรมการขนส่งทางบก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมการพัฒนาชุมชน สนับสนุนข้อมูล ร้านค้าให้ สศค. เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติร้านค้าเป็นร้านค้าในโครงการฯ

                             4.4 มท. และกรุงเทพมหานครดำเนินการยืนยันการประกอบกิจการจริงของร้านค้าที่ประสงค์จะสมัครเข้าร่วมโครงการฯ

                   5. เห็นชอบให้ สศค. มอบอำนาจให้หน่วยงานในสังกัด มท. ที่ได้รับมอบหมายดำเนินการทางกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ แทน สศค. โดยให้ร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการมอบอำนาจต่อไป

                   6. เห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ และมอบหมาย กค. โดยกรมสรรพากรพิจารณาดำเนินการยกร่างกฎหมายและเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                    1.  เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการคนละครึ่งของ กค. ทั้ง 5 ระยะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อย มีรายได้จากการขายสินค้า (ไม่รวมสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ และบริการต่าง ๆ) โดยภาครัฐจะสนับสนุนค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไปในลักษณะการร่วมจ่าย (Co - pay) ระหว่างประชาชน ที่เข้าร่วมโครงการ (ร้อยละ 50) และรัฐบาล (ร้อยละ 50) ผ่าน g - Wallet (แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สำหรับประชาชนและ “ถุงเงิน” สำหรับร้านค้า) โดยมีแหล่งเงินงบประมาณจากเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจ กค. กู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (พระราชกำหนดฯ) พ.ศ. 2563 และพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564

                   2. เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจสำคัญที่จะสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้มีกำลังใจในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นโดยจัดทำโครงการคนละครึ่ง ประกอบกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ที่คาดว่าจะมีการขยายตัวระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ต่ำกว่าประเทศในภูมิภาค และต่ำกว่าศักยภาพ (Potential Growth) โดยมีปัจจัยสำคัญจากกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงเปราะบาง ภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง ท่ามกลางความเสี่ยงทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจไทย ในไตรมาสที่ 4 ปี 2568 ที่อาจจะชะลอตัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เพื่อเป็นหลักประกันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ กค. จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการฯ เพื่อเพิ่มอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว

                   3. โครงการฯ มีลักษณะการดำเนินโครงการเช่นเดียวกับโครงการคนละครึ่งที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติ (ตามข้อ 1) โดยมีรายละเอียด หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในที่แตกต่างกันกับโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 (ครั้งล่าสุด) บางประการสรุปได้ ดังนี้

 

หลักเกณฑ์และเงื่อนไข

โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5

(คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565)

โครงการคนละครึ่ง พลัส

ที่ขอเสนอในครั้งนี้

1. วัตถุประสงค์

เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานราก โดยภาครัฐให้การสนับสนุนเงินร่วมจ่ายค่าอาหารเครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนด ให้แก่ประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเพิ่มอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยทุกระดับมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการ และเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชน

2. กลุ่มเป้าหมาย

26.5 ล้านคน ประกอบด้วย

1) ประชาชนผู้ที่มีการใช้สิทธิโครงการ

คนละครึ่ง ระยะที่ 4 จำนวน 26.2696 ล้านคน

2) ประชาชนทั่วไป จำนวน 230,366 คน

20 ล้านคน ประกอบด้วย

1) ประชาชนผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้กรณีทั่วไป (ภ.ง.ด. 90) แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินจากการจ้างแรงงานตามมาตรา
40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ประเภทเดียว (ภ.ง.ด. 91) หรือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 95) ของปีภาษี 2567 ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568

2) ประชาชนทั่วไป

3. คุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมาย

 

เป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีบัตรประจำตัวประชาชน

1) มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน

2) ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูล

ของ กค. ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2565

1) มีอายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน

2) ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูล ของ กค. ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568

3) ไม่เป็นผู้ที่ถูก สศค. ระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการของรัฐ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5

4. ระยะเวลาโครงการ

 

4 เดือน (เดือนสิงหาคม – พฤศจิกายน 2565)

โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1) เปิดรับลงทะเบียนประชาชนและร้านค้า

ในช่วงเดือนสิงหาคม – ตุลาคม 2565 (จนกว่า

จะครบจำนวนสิทธิ)

2) ประชาชนผู้ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิได้

ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน - 31 ตุลาคม 2565

ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2568

โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1) เปิดรับลงทะเบียนร้านค้าตั้งแต่วันที่

15 ตุลาคม - 19 ธันวาคม 2568

หรือระยะเวลาตามที่ กค. โดย สศค. กำหนด

2) เปิดรับลงทะเบียนประชาชนตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม - 26 ตุลาคม 2568 (เวลา 06.00 – 22.00 น.)

3) ประชาชนผู้ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิได้ ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2568 (เวลา 06.00 – 23.00 น.) ทั้งนี้ สำหรับการซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหารสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน - 31 ธันวาคม 2568  (เวลา 06.00 – 21.00 น.)

5. วงเงินและแหล่งเงิน

จำนวนไม่เกิน 21,200 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจาก

เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564

จำนวนไม่เกิน 44,000 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจาก

1) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 25,000 ล้านบาท

2) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 19,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สศค. เพื่อดำเนินโครงการฯ

6. สิทธิประโยชน์

ภาครัฐจะสนับสนุนค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และบริการในลักษณะการร่วมจ่าย

ระหว่างประชาชนที่เข้าร่วมโครงการฯ (ร้อยละ50) และรัฐบาล (ร้อยละ50)
ผ่าน
g - Wallet (แอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" สำหรับประชาชนและ “ถุงเงิน” สำหรับร้านค้า)

ได้รับสิทธิสนับสนุนวงเงินไม่เกิน 150 บาท

ต่อคนต่อวัน ในจำนวนวงเงินสิทธิ หรือไม่เกิน

800 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ

ได้รับสิทธิสนับสนุนวงเงินไม่เกิน 200 บาท ต่อคนต่อวัน ในจำนวนวงเงินสิทธิ ดังนี้

1) ไม่เกิน 2,400 บาทต่อคน สำหรับประชาชน ผู้ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ภ.ง.ด. 91 หรือ ภงด. 94 หรือ

2) ไม่เกิน 2,000 บาทต่อคน สำหรับ

ประชาชนทั่วไป

ตลอดระยะเวลาโครงการ

7. ประเภทสินค้าและบริการ

1) อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป บริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม และบริการขนส่งสาธารณะโดยสามารถซื้อสินค้าหรือบริการ ณ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ และสามารถซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ โดยใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ทั้งนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนเงินในส่วนค่าอาหารหรือเครื่องดื่มเท่านั้น ไม่รวมถึงค่าจัดส่งหรือค่าใช้จ่ายอื่นใด

2) ไม่รวมถึงสินค้าสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ บัตรกำนัล บัตรเงินสดและบริการแปรรูปอื่น ๆ ที่เป็นการชำระสินค้าหรือบริการล่วงหน้า ทั้งนี้ การกำหนดเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงรายการสินค้าและบริการของโครงการฯ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้กำหนด

8. ประเภทร้านค้า/ ผู้ประกอบการ

1) ผู้ประกอบการร้านค้าอาหาร/เครื่องดื่ม/ร้านค้าทั่วไป ที่มีสัญชาติไทย ดังนี้

   1.1) ผู้ประกอบการที่ไม่ใช่นิติบุคคล หรือ

   1.2) ร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ไม่ใช่นิติบุคคล (ร้านธงฟ้าฯ) หรือ

   1.3) ร้านค้าของกองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมืองตามพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. 2547 (พระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านฯ) หรือ

   1.4) ร้านค้าของวิสาหกิจชุมชนตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนฯ)

ทั้งนี้ ต้องไม่เป็นร้านค้าที่มีลักษณะเป็นร้านค้าสะดวกซื้อที่เป็นธุรกิจแฟรนไชส์

2) ผู้ประกอบการบริการนวด สปา ทำเล็บ หรือทำผม ที่มีสัญชาติไทย ดังนี้

   2.1) ผู้ประกอบการที่ไม่ใช่นิติบุคคล หรือ

   2.2) ผู้ประกอบการบริการของกองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมืองตามพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านฯ หรือ

   2.3) ผู้ประกอบการบริการของวิสาหกิจชุมชนตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนฯ ทั้งนี้ ต้องมีสถานประกอบการเป็นหลักแหล่งและตรวจสอบได้ (ในครั้งนี้ กรณีเป็นผู้ประกอบการบริการนวด สปา จะต้องได้รับใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย)

3) ผู้ประกอบการประเภทบริการด้านขนส่งสาธารณะที่มีสัญชาติไทยและไม่ใช่นิติบุคคล ดังนี้

   3.1) ผู้ประกอบการประเภทรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน (Taxi - meter)

รถตู้โดยสารประจำทางที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รถยนต์สามล้อสาธารณะ รถสองแถวรับจ้างและรถจักรยานยนต์สาธารณะ ทั้งนี้ ผู้ขับขี่ต้องมีใบขับขี่รถสาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมาย

   3.2) ผู้ประกอบการรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารที่สามารถตรวจสอบได้ เช่น รถสามล้อถีบ เป็นต้น

4) ผู้ประกอบการประเภทบริการด้านขนส่งมวลชนสาธารณะ ได้แก่ รถไฟฟ้าในเขตเมืองรถไฟ รถโดยสารประจำทางสาธารณะ และเรือโดยสารสาธารณะ

 

5) เป็นนิติบุคคลขนาดเล็ก เฉพาะที่เป็น

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้น

ตามกฎหมายไทยที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 68 และงบการเงินตามมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร

(ภ.ง.ด. 50) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 2567 ซึ่งขายอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป หรือให้บริการนวด สปาทำเล็บ ทำผมและให้บริการขนส่งสาธารณะ โดยมีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร

ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ทั้งนี้  

ผู้ให้บริการนวด สปา หรือผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะจะต้องได้รับใบอนุญาตหรือมีใบขับขี่รถสาธารณะ ถูกต้องตามกฎหมาย แล้วแต่กรณี

6) ร้านค้าจะต้องไม่เป็นผู้ที่ถูก สศค. ระงับสิทธิ์หรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการของรัฐ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5

9. วิธีการลงทะเบียน

 

1) กรณีเป็นผู้ประกอบการที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งแล้วสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ สำหรับร้านค้า ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน”

 

2) กรณีเป็นผู้ประกอบการใหม่ลงทะเบียนผ่าน

เว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือลงทะเบียน

ผ่านสาขาของธนาคารกรุงไทย

2) กรณีเป็นผู้ประกอบการใหม่ เช่น ร้านค้า ผู้ประกอบการบริการ หรือผู้ประกอบการ ด้านขนส่งสาธารณะ นอกเหนือจากที่เคยเข้าร่วม

โครงการคนละครึ่ง สามารถลงทะเบียนเข้าร่วม โครงการฯ ผ่านสาขาของธนาคารกรุงไทย

3) กรณีเป็นผู้ประกอบการด้านขนส่งมวลชนสาธารณะ นอกเหนือจากที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ด้วยการเปิดใช้งานแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน”

โดยตรงกับธนาคารกรุงไทย

ทั้งนี้ กรณีผู้ประกอบการตามข้อ 1) และข้อ 2) หากไม่ปรากฏข้อมูลการประกอบกิจการของผู้ประกอบการดังกล่าวในฐานข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐ จะต้องได้การยืนยันว่า ร้านค้ามีการประกอบกิจการจริงจากเจ้าหน้าที่ที่ มท. หรือกรุงเทพมหานครมอบหมาย แล้วแต่กรณี

10. วิธีการลงทะเบียน

สำหรับประชาชน

 

1) การลงทะเบียน โดยเริ่มลงทะเบียนในช่วงเดือน สิงหาคม 2565

   1.1) สำหรับประชาชนผู้ที่ เคยใช้สิทธิ

โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 จะต้องยืนยันสิทธิเพื่อเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

   1.2) สำหรับประชาชนผู้ที่ไม่เคยใช้สิทธิ

โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4

         1.2.1) ผู้ลงทะเบียนใหม่จะต้อง

ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านเว็บไซต์

www.คนละครึ่ง.com

         1.2.2) ผู้ที่เคยได้รับสิทธิมาตรการ/โครงการอื่นของรัฐที่มีการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet แล้วลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com

1)  การลงทะเบียน โดยเริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่ วันที่ 20 - 26 ตุลาคม 2568 (เวลา 06.00 – 22.00 น.) จนกว่าจะครบจำนวน 20 ล้านคน หรือจนกว่าจะครบวงเงินสิทธิในวงเงินไม่เกิน 44,000 ล้านบาท หรือถึงปิดลงทะเบียนวันสุดท้ายในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 แล้วแต่เกณฑ์ใดจะถึงก่อน

   1.1) ประชาชนผู้ที่เคยใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 จะต้องยืนยันสิทธิเพื่อเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

   1.2) ประชาชนผู้ที่ไม่เคยใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 จะต้องลงทะเบียนเข้าร่วม โครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

เพื่อป้องกันการสวมสิทธิจากผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของบัตรประจำตัวประชาชน ผู้ได้รับสิทธิ จะต้องพิสูจน์ตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชนผ่านช่องทางของธนาคารกรุงไทย ได้แก่ สาขาหรือตู้เครื่องรับจ่ายเงินอัตโนมัติ (ATM) ยกเว้นผู้ที่เคยทำการพิสูจน์ตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชนกับโครงการ/มาตรการอื่นของรัฐ หรือผ่านช่องทางของธนาคารกรุงไทยมาก่อนแล้ว

11. วิธีการใช้จ่าย

สำหรับประชาชน

 

ผู้ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิในโครงการฯ ดังนี้

1) ซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนด ทั้งนี้ ผู้ได้รับสิทธิจะต้องใช้สิทธิโครงการฯโดยซื้อสินค้าหรือบริการในโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

2) ซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ โดยใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ทั้งนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนเงินในส่วนค่าอาหารหรือเครื่องดื่มเท่านั้น ไม่รวมถึงค่าจัดส่งหรือค่าใช้จ่ายอื่นใด ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับสิทธิตามโครงการฯ จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุนที่ภาครัฐร่วมจ่ายตามโครงการฯ

3) ผู้ได้รับสิทธิเดิมตามโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 เมื่อยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งระยะที่ 5 แล้ว ต้องเริ่มใช้สิทธิภายในวันที่ 14 กันยายน 2568 หรือตามระยะเวลาที่ กค. โดย สศค. กำหนด

4) ประชาชนทั่วไปจะต้องใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งระยะที่ 5 ครั้งแรก ภายใน 14 วัน นับแต่ได้รับการยืนยันสิทธิหรือตามระยะเวลาที่ กค. โดย สศค. กำหนด

ทั้งนี้ หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวจะถือว่า

ไม่ประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ และถูกตัดสิทธิในโครงการฯ แต่สามารถลงทะเบียนใหม่ได้อีกหาก กค. โดย สศค. นำสิทธิโครงการคนละครึ่งระยะที่ 5 มาเปิดให้ประชาชนทั่วไปลงทะเบียน

 

 

 

3) ผู้ได้รับสิทธิ์จะต้องใช้สิทธิโครงการฯ โดยซื้อสินค้าหรือบริการในโครงการฯ ครั้งแรก ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งหากพ้นระยะเวลาดังกล่าว จะถือว่าไม่ประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ และถูกตัดสิทธิในโครงการฯ

 

 

 

12. วิธีการรับชำระเงิน

สำหรับร้านค้า

 

รับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ซึ่งภาครัฐจะโอนเงินในส่วนที่ภาครัฐร่วมจ่ายให้แก่ร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการฯ ภายในระยะเวลาที่กำหนด และสำหรับกรณีโอนเงินไม่สำเร็จ จะดำเนินการติดตามเพื่อโอนเงิน (Retry) ให้แก่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่กำหนด รัฐจะไม่โอนเงินให้แก่ร้านค้าหรือผู้ให้บริการและถือว่าผู้ประกอบการไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการฯ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามที่ กค. โดย สศค. กำหนด

สำหรับกรณีโอนเงินไม่สำเร็จ ภาครัฐจะดำเนินการ ติดตามเพื่อโอนเงิน (Retry) ให้แก่ร้านค้าที่เข้าร่วม โครงการฯ จนถึงวันที่ 30พฤศจิกายน 2565

สำหรับกรณีโอนเงินไม่สำเร็จ ภาครัฐจะดำเนินการติดตามเพื่อโอนเงิน (Retry) ให้แก่ร้านค้าที่เข้าร่วม โครงการฯ จนถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2569

 

 

13. การดำเนินการ

กับประชาชนและร้านค้า

ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ

ตามหลักเกณฑ์

และเงื่อนไข

ของโครงการฯ

กค. ได้มีคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูล

และเลือกอุทธรณ์สำหรับโครงการคนละครึ่ง

ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัด กค. โดยคณะทำงานจะดำเนินการตรวจสอบพิจารณา และวินิจฉัยการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดเงื่อนไข โครงการอย่างต่อเนื่องโดยใช้ข้อมูลจากระบบ ของธนาคารกรุงไทยและการรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนทางไปรษณีย์ และไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งหากตรวจสอบพบการใช้จ่าย ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการจะมีการระงับการใช้แอปพลิเคชันและระงับการจ่ายเงินให้กับผู้ประกอบการและพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

1) สศค. จะดำเนินการแต่งตั้งคณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้แทนกรมสรรพากร ผู้แทนกรมบัญชีกลาง

ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทน มท. เป็นต้น เพื่อรองรับการดำเนินการตรวจสอบการกระทำ ที่ผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ

2) การดำเนินการทางกฎหมายกับร้านค้าหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ผิดปกติและซึ่งเข้าข่ายไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการฯ ให้ สศค. มอบอำนาจให้หน่วยงานในสังกัด มท. ที่ได้รับมอบหมายตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ดำเนินการทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางอาญาจนเสร็จการแทน สศค. โดยให้ สศค. และหน่วยงานในสังกัด มท. ที่ได้รับมอบหมายร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการมอบอำนาจต่อไป

14. อื่น ๆ

 

หากมีการดำเนินการโครงการในระยะต่อไปภาครัฐอาจมีการกำหนดเงื่อนไขให้ร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการ มีการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) ในด้านความรู้ทางด้านการเงิน (Financial Literacy) หรือความรู้ทางด้านดิจิทัล (Digital Literacy) ซึ่งร้านค้าที่พัฒนาสำเร็จอาจจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับการเข้าร่วม

โครงการฯ ในอนาคต

                   4. การดำเนินโครงการฯ จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ จำนวน 88,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.21 – 0.22  ในปี 2568 เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการฯ และเมื่อผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น จะช่วยก่อให้เกิดการผลิต การค้าขาย การจ้างงานและการคมนาคมขนส่งตามมา ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจะเอื้อให้ภาครัฐสามารถ จัดเก็บภาษีอากรได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป

                   ทั้งนี้ คณะกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐได้มีมติ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 เห็นชอบให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนสมาคมสถาบันการเงินของรัฐในการจัดทำระบบและสนับสนุนโครงการฯ

                   5. กค. ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลประกอบการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เรียบร้อยแล้ว

 

3. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินโครงการคนละครึ่ง พลัส

                    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 19,000 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สศค. สำหรับการดำเนินโครงการคนละครึ่ง พลัส ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ

                   สาระสำคัญ

                   1. เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานราก โดยภาครัฐให้การสนับสนุนเงินร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนด ให้แก่ประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส  เพื่อเพิ่มอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยทุกระดับมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการและเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชน กระทรวงการคลังจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการคนละครึ่ง พลัส โดยมีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนเงินร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย จำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน ในอัตราร้อยละ 50 ทั้งนี้ ไม่เกิน 200 บาทต่อคนต่อวันแต่ไม่เกินจำนวนวงเงินสิทธิที่กำหนด โดยประชาชนกลุ่มเป้าหมายสามารถใช้สิทธิในโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ หรือซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ โดยรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ซึ่งกระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะดำเนินการโอนเงินในส่วนที่ภาครัฐร่วมจ่ายให้แก่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อไป โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ในช่วงตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณจำนวนไม่เกิน 44,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 25,000 ล้านบาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 19,000 ล้านบาท ทั้งนี้ รายละเอียดโครงการฯ เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ

                   2. อย่างไรก็ดี โครงการฯ กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณจำนวนไม่เกิน 44,000 ล้านบาททั้งนี้ เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจที่เสนอตั้งไว้ จำนวน 25,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอต่อการดำเนินโครงการฯ จึงมีความจำเป็นต้องขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติมจำนวน 19,000 ล้านบาทโดยขอความเห็นชอบการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนเงิน 19,000 ล้านบาท ให้แก่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำหรับการดำเนินโครงการฯ

                   ประโยชน์และผลกระทบ

                   การดำเนินโครงการฯ จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพในชีวิตประจำวันให้แก่ประชาชนเพื่อให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ตลอดจนเพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2568 ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการดำเนินโครงการฯ จะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนประมาณ 88,000 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัว เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.21 – 0.22 ในปี 2568 เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการฯ นอกจากนี้ เมื่อผู้บริโภค มีกำลังซื้อมากขึ้น จะช่วยก่อให้เกิดการผลิต การค้าขาย การจ้างงาน และการคมนาคมขนส่งตามมา ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจะเอื้อให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป

 

ต่างประเทศ

4. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจเพิ่มเติมว่าด้วยโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (Enhanced Memorandum of Understanding on ASEAN Power Grid)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ ดังนี้

                   1. เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจเพิ่มเติมว่าด้วยโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (Enhanced Memorandum of Understanding on ASEAN Power Grid) (ร่างบันทึกความเข้าใจ APG เพิ่มเติม) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจ APG เพิ่มเติม ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ พน. นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง

                   2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจ APG เพิ่มเติม

                   3. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (7 สิงหาคม 2550) เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ APG ระหว่าง พน. ของประเทศไทยและ พน. ของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานสำหรับกลุ่มประเทศสมาชิกในการประสานความร่วมมือเพื่อวางนโยบายร่วมกันในการเชื่อมโยงระบบสายส่งไฟฟ้าและการซื้อขายไฟฟ้า และนำไปสู่โครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าอาเซียนที่เป็นรูปธรรม เพื่อก่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืนต่อไป ซึ่งได้มีการลงนามเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2550 ณ สิงคโปร์ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2552 - 19 มีนาคม 2567 (15 ปี)

                   2. คณะรัฐมนตรีมีมติ (3 มีนาคม 2567) เห็นชอบต่อร่างตราสารว่าด้วยการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (instrument of Extension of the Memorandum of Understanding on the ASEAN Power Grid: IOE of APG MOU) โดยขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจ APG ออกไปเป็นการชั่วคราวจากเดิม สิ้นสุดวันที่ 19 มีนาคม 2567 เป็น สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เพื่อสนับสนุนกลไกการดำเนินงานของการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียนให้สามารถยกระดับการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า และการส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน โดยเปิดโอกาสให้มีการแบ่งปันทรัพยากรของภูมิภาคด้วยการส่งพลังงานหมุนเวียนเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

                   3. ปัจจุบันผลบังคับใช้บันทึกความเข้าใจ APG ที่ได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ไปถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้น ประเทศสมาชิกอาเซียนจึงได้เห็นชอบร่วมกันให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจ APG เพิ่มเติมเพื่อใช้แทนบันทึกความเข้าใจ APG ฉบับเดิมดังกล่าว ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้ามพลังงาน ครั้งที่ 43 เพื่อขยายความเชื่อมโยงด้านไฟฟ้าภายในภูมิภาคต่อไป

                   4. เรื่องนี้เป็นการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเพิ่มเติมว่าด้วยโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (Enhanced Memorandum of Understanding on ASEAN Power Grid) (ร่างบันทึกความเข้าใจ APG เพิ่มเติม) ในการส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมโครงการความร่วมมือของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อขยายความเชื่อมโยงด้านไฟฟ้าภายในภูมิภาค โดยมีวัตถุประสงค์ (1) พัฒนานโยบายร่วมสำหรับอาเซียนในการเชื่อมโยงโครงข่าย การซื้อขายไฟฟ้า และการบูรณาการตลาดไฟฟ้า (2) มุ่งหวังให้เกิดโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียนที่ยั่งยืนและครอบคลุมด้วยการเชื่อมโยงพลังงานบนบกและใต้ทะเล รวมถึงเปลี่ยนผ่านไปสู่แหล่งและเทคโนโลยีพลังงานที่สะอาดและมีประสิทธิภาพ และ (3) สร้างความมั่นคงและความยั่งยืนด้านพลังงานในระดับภูมิภาคบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระดับประเทศและในระดับภูมิภาค เกิดการลงทุนและสร้างรายได้จากการซื้อขายไฟฟ้าข้ามพรมแดน และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและดึงดูนักลงทุนที่ต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาดในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย

 

5. เรื่อง ร่างกรอบความตกลงว่าด้วยความมั่นคงทางปิโตรเลียมของอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Petroleum Security)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ ดังนี้ 

                   1. เห็นชอบร่างกรอบความตกลงว่าด้วยความมั่นคงทางปิโตรเลียมของอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Petroleum Security) (ร่างกรอบความตกลงฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำในร่างกรอบความตกลงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ พน. นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก

                   2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ลงนามในร่างกรอบความตกลงฯ

                   3. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

                    สาระสำคัญของเรื่อง

                    1.โดยที่ตราสารการขยายระยะเวลาของความตกลง APSA จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ประเทศสมาชิกอาเซียนได้เห็นชอบร่วมกันให้มีการลงนามในร่างกรอบความตกลงฯ อย่างเป็นทางการในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 43 (43rd ASEAN Ministers of Energy Meeting: AMEM) ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 - 17 ตุลาคม 2568 เพื่อนเสริมสร้างความมั่นคงทางปิโตรเลียมให้แก่ประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือของประเทศสมาชิกในการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคพลังงานกรณีที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยยึดถือหลักการในการมีส่วนร่วมและการให้ความสมาชิกผ่านกลไกมาตรการการประสานงานเพื่อตอบสนองต่อสภาวะฉุกเฉินพื้นฐานความสมัครใจและความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ของประเทศสมาชิกอาเซียน

                   2. พน. แจ้งว่า ร่างกรอบความตกลงฯ จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในฐานะประเทศผู้นำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสุทธิเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ โดยจะเป็นกลไกทางเลือกในการแสวงหาความร่วมมือและการสนับสนุนในกรณีที่ประเทศไทยขาดแคลนพลังงานในช่วงภาวะวิกฤต ซึ่งประเทศไทยจะสามารถขอรับความช่วยเหลือจากประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีศักยภาพในการแบ่งปันพลังงาน เช่น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติในช่วงที่เกิดสภาวะขาดแคลนได้ ทั้งนี้ หากมีการร้องขอให้ประเทศไทยให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ก็สามารถพิจารณาดำเนินการได้ตามความพร้อมความสมัครใจ และความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ โดยคำนึงถึงการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานของไทยเป็นสำคัญ

 

แต่งตั้ง

6. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ โดยให้จัดทำเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเกี่ยวกับนโยบายสำคัญด้านเศรษฐกิจที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น (1) การสร้างรายได้และลดรายจ่ายให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน (2) การแก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่องทั้งในส่วนของภาคประชาชนและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม (SMEs) (3) การเพิ่มโอกาสการออมของประชาชนรายย่อยให้มีสิทธิซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยสะดวกเพื่อสร้างรายได้เพิ่มจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และพัฒนาผลิตภัณฑ์สลากเพื่อการออม (4) การฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว และ (5) การเร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า

                   2. การดำเนินการตามนโยบายข้างต้นรวมถึงโครงการพัฒนาอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน สมควรได้รับการพิจารณากลั่นกรองโดยละเอียดรอบคอบในทุกมิติจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 5 บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีจะแต่งตั้งคณะบุคคลประกอบด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและบุคคลอื่นที่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องที่จะพิจารณา เพื่อพิจารณากลั่นกรองเรื่องใดก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีก็ได้ ดังนั้น เพื่อให้การบริหารราชการดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เหมาะสม บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล จึงเห็นควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) เป็นรองประธานกรรมการ และกรรมการอื่นอีก 28 ราย (เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหา ที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี ตลอดจนประเมิน วิเคราะห์ และเสนอแนะมาตรการหรือแนวทาง ตัดสินใจเชิงรุกในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี

 

7. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการบินพลเรือน (กระทรวงคมนาคม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอแต่งตั้ง นายชนินทร์ แก่นหิรัญ เป็นกรรมการในคณะกรรมการการบินพลเรือน แทนกรรมการเดิม ที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป โดยผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเข้าแทนนี้ย่อมอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทนและรองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

8. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้

1. นายวิทยา แก้วมี รองอธิบดีกรมชลประทาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

2. นายพรเทพ ศรีธนาธร ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

3. นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมประมง

4. นางสาวสุมิตรา วัฒนา รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

9. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)

                    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

                   1. นายพิชิต สมบัติมาก อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   2. นายยงยุทธ นาควิโรจน์ อธิบดีกรมป่าไม้ ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี

                   3. นายนิกร ศิรโรจนานนท์ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมป่าไม้

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ชมกลิ่น) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

10. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงพาณิชย์)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เสนอแต่งตั้ง นายวรวุฒิ โปษกานนท์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

11. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้

                   1. นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

                   2. นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

12. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอแต่งตั้ง นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล เป็นผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพต่อไปอีกวาระหนึ่ง ตามมติคณะกรรมการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ในการประชุมครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 และครั้งที่ 7/2568 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ซึ่งกระทรวงการคลัง (กค.) ให้ความเห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป และไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) ได้พิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว

 

13. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงศึกษาธิการ)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 4 ราย ดังนี้

                   1) นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

                   2) นายชาญวิทย์ มุนิกานนท์ ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

                   3) นางสาวอนงค์นาถ จ่าแก้ว ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

                   4) นายสุธี พงษ์เพียรชอบ ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

14. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงสาธารณสุข)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ดังนี้

                   1. นายยอดศักดิ์ รักษาแก้ว ตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

                   2. ผศ.อัครนันท์ อริยศรีพงษ์ ตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข

                   3. นางสาวจิตศ์ตราฎ์ หมีทองธนกรณ์ ตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

                   4. นางสาวพิมพ์สุดา เพ็ญแสง ตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายวรโชติ สุคนธ์ขจร)]

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

15. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง)

                   คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง เสนอแต่งตั้ง (ย้าย/โอน) ข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เพื่อทดแทนตำแหน่งว่าง และเพื่อการสับเปลี่ยนหมุนเวียน จำนวน 7 ราย ดังนี้

                   1) โอน นายอัครุตม์ สนธยานนท์ ตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง (แทนตำแหน่งว่างเนื่องจากผู้ครองอยู่เดิมได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่น)

                   2) โอน นายปิ่นสาย สุรัสวดี ตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง (แทน นายอัครุตม์ สนธยานนท์                                                
                   3) โอน นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง (แทน นายปิ่นสาย สุรัสวดี)

                   4) โอน นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารสูง) กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง (แทน นางสาวกุลยา ตันติเตมิท)

                   5) โอน นายคณาวุฒิ สิติธีรพันธุ์ ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง (แทน นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์)

                   6) โอน นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลังไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ (นักบริหารสูง)สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง (แทน ตำแหน่งว่างเนื่องจากผู้ครองอยู่เดิมได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่น)

                   7) ย้าย นายพนิต ธีรภาพวงศ์ ตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลังไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

 

16. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 6 ราย ดังนี้

                   1) นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

                   2) นายภูผา ลิกค์ ให้ดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

                   3) นายธนสาร ธรรมสอน ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ))

                   4) นายธัญญวัฒน์ พากเพียร ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ))

                   5) นายนัจมุดดีน อูมา ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ))

                   6) นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ (นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ))

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรม เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง นายศุภชัย ใจสมุทร ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 1 ราย คือ นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง ว่าที่ร้อยตรี ศรัณย์ สมานพันธ์ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
(รองนายกรัฐมนตรี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

 

21. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศเพื่อดำรงตำแหน่งแทนผู้ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระต่อคณะรัฐมนตรี

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหม โดยสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศเสนอแต่งตั้งผู้ที่มีความเหมาะสมดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิฯ แทนผู้ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ดังนี้

                   1. พลเอก นภนต์ สร้างสมวงษ์              ประธานกรรมการสถาบันฯ

                   2. พลเอก สุภมนัส ภารพบ                  กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ หรือด้านการวิจัย การพัฒนา และนวัตกรรม)

                   3. นายพรเทพ ศรีสอ้าน                      กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านเศรษฐศาสตร์ หรือบริหารธุรกิจ)

                   4. พลตำรวจเอก รุ่งโรจน์ แสงคร้าม        กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านกฎหมาย หรือทรัพยากรบุคคล)

                   5. นายธัชพงศ์ ธรรมพุฒิพงศ์                กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการเงินการบัญชีและการงบประมาณ การตรวจสอบ ประเมินผล และการบริหารความเสี่ยง)

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top