‘อนุทิน’ติวเข้มฝ่ายความมั่นคง เร่งดับไฟใต้ ชี้สถานการณ์ยังน่าห่วง

‘อนุทิน’ติวเข้มฝ่ายความมั่นคง เร่งดับไฟใต้ ชี้สถานการณ์ยังน่าห่วง

วันอาทิตย์ ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

‘อนุทิน’ติวเข้มฝ่ายความมั่นคง
เร่งดับไฟใต้
ชี้สถานการณ์ยังน่าห่วง
ยกระดับงานด้านการข่าว
ใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม
ผนึกกำลังสร้างสันติสุข

นายกฯอนุทิน ประชุมร่วมหน่วยงานด้านความมั่นคงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ย้ำ “รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และอธิปไตยของชาติ” พร้อมกำชับฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายปกครอง บูรณการทำงานเพื่อเสริมสร้างสันติสุขอย่างยั่งยืน มั่นใจพูดคุยคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ เข้มป้องกันเหตุในพื้นที่ เน้นการข่าว ปิดช่องทางธรรมชาติ

เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2568 เวลา 11.55 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นประธานการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ และแผนปฏิบัติการปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ณ ห้องประชุม 1 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้า ร่วมประชุม


. นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้ ตนและคณะ มาตรวจเยี่ยมหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกคน เพราะสถานการณ์ยังมีความอ่อนไหวและมีความท้าทาย จึงขอให้แม่ทัพภาค 4 นำความผาสุกมาสู่สังคมและประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ซึ่งจากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นบ่อยในระยะที่ผ่านมา ต้องขอแสดงความเสียใจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ และขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็ง รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดกับอธิปไตยของชาติ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ทุกคน

ดูแลชีวิตประชาชน

นายอนุทิน กล่าวว่า ตนได้มอบนโยบายให้ อส. เป็นกำลังหลักในการสนับสนุนบทบาทของทหารหาญในการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ดูแลชีวิตพี่น้องประชาชน เพื่อไม่ให้พี่น้องทหารต้องกังวลและห่วงในความปลอดภัยญาติพี่น้องและประชาชน ดังนั้น นับจากนี้ ยังคงขับเคลื่อนนโยบายนี้ต่อไปอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ พร้อมสนับสนุนหน้าที่ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุวัตถุผระสงค์ เป้าหมาย และรักษาอธิปไตยของชาติไว้เหนือสิ่งอื่นใด เราจะแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้และพื้นที่อื่น ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นเอกภาพและประสานสอดคล้องกันอย่างเป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพ”

น้อมนำพระราชดำริ

จากนั้น นายอนุทิน และคณะ ได้รับฟังรายงานสรุปแผนขับเคลื่อนเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยน้อมนำหลักการตามพระราชดำริ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นยุทธศาสตร์หลักในการแก้ไขปัญหา รวม 8 ด้าน พร้อมทั้งรับฟังรายงานสถานการณ์จากผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) และ ศอ.บต. โดยในปี 2569 ได้กำหนดแผน 3 ด้าน คือ 1. เสริมความเข้มสร้างความร่วมมือจากภาคประชาชนเพื่อพัฒนา และยกระดับการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นพร้อมที่จะรองรับการถ่ายโอนภารกิจจากหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ 2. บูรณาการความร่วมมือในการปฏิบัติงานของหน่วยกำลังในพื้นที่ให้มีความเป็นเอกภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน โดยจัดให้มีการประชุมวางแผน และกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกัน และ 3. สร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นผู้นำท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคม เพื่อประสานความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพ และเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างยั่งยืน

ในส่วนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รายงานเหตุการณ์ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 168 เหตุการณ์ โดยสถิติการเกิดเหตุมากที่สุดที่จังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี และ 4 อำเภอใน จ.สงขลา ตามลำดับ และในส่วนของกองกำลังตำรวจ จชต. มีเหตุ 249 เหตุ ในส่วนของ ศอ.บต. ขับเคลื่อนภารกิจทั้งเหตุที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและเหตุอาชญากรรมอื่นๆ งานยุทธศาสตร์ งานประสานเร่งรัดพัฒนา งานบูรณาการงานบริหารและความมั่นคง และงานอำนวยการ โดยในส่วนของกระทรวงมหาดไทย โดยกองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ได้ปฏิบัติภารกิจด้านกิจการพลเรือน การช่วยเหลือประชาชน และสนับสนุนสังคมพหุวัฒนธรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่น พิทักษ์กำลังพล บุคลากรภาครัฐ และประชาชน

สั่งการ3ประเด็นใหญ่

นายอนุทิน ได้มีข้อสั่งการเพื่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน 3 ข้อ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1. “ยกระดับงานด้านการข่าวเชิงรุก” ด้วยการทำงานให้เร็วกว่าผู้ก่อเหตุหนึ่งก้าวเสมอเป็นอย่างน้อย มีการบูรณาการงานข่าวของทุกหน่วยงานอย่างไร้รอยต่อ เพื่อคาดการณ์ ป้องกัน และหยุดยั้งแผนการต่าง ๆ ให้ได้ก่อนที่เหตุจะเกิด 2. “บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม” กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับการคุ้มครอง ขณะเดียวกัน ผู้ที่กระทำผิดและใช้ความรุนแรงจะต้องถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเด็ดขาดและเข้มงวด ซึ่งภาครัฐต้องสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะพี่น้องประชาชน และ 3.“ผนึกกำลังทุกภาคส่วนอย่างเป็นเอกภาพ” ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน ต้องทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งการตั้งจุดตรวจ การลาดตระเวน และการดูแลชุมชน ต้องประสานสอดคล้องกัน เพื่อปิดช่องว่างการทำผิดกฎหมายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อธิปไตยของชาติ เพราะฉะนั้น จึงให้ทุกหน่วยงานโดยเฉพาะ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า และตำรวจ ให้ความสำคัญกับภารกิจการรักษาความปลอดภัยพื้นที่ โดยเฉพาะการควบคุมมิให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นลำดับต้น ๆ เพราะห้วงที่ผ่านมามีความถี่ของเหตุการณ์และการเกิดเหตุขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ จ.นราธิวาส และจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ช่องทางข้ามแดนต่าง ๆ ที่เป็นปัจจัยเอื้อในการที่ผู้ก่อเหตุใช้หลบหนี ยึดมั่นว่า “ความมั่นคงที่แท้จริง คือ การที่พี่น้องประชาชน สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยไม่ต้องหวาดระแวง และรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่รัฐ คือ ที่พึ่งได้อย่างแท้จริง” โดยเฉพาะฝ่ายปกครอง ซึ่งกองทัพรักษาพื้นที่ชายแดน อธิปไตยของชาติ แต่การเป็นที่พึ่งของจิตใจและความปลอดภัยต้องฝ่ายปกครอง

ลดความรุนแรงในพื้นที่

นอกจากนี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เห็นชอบกรอบนโยบายการบริหารและการพัฒนาเป็นกรอบหลักในการปฏิบัติงานซึ่งเป็นกรอบที่ได้รับการปกป้องและคุ้มครองตามกฎหมาย จึงขอให้หน่วยงานความมั่นคงและผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการแผนงานด้านการพัฒนาสอดคล้องกับแผนงานด้านความมั่นคงเพื่อเกิดผลลัพธ์มีคุณภาพ รวมถึง “กระบวนการพูดคุยสันติสุขจะเป็นส่วนสำคัญช่วยลดเหตุความรุนแรงและช่วยทำให้เกิดสันติสุขอย่างยั่งยืนในพื้นที่ในอนาคตอันใกล้” จึงขอให้ทุกหน่วยงานได้สนับสนุนภารกิจของหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ โดยเฉพาะการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพูดคุยเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี และไม่ว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ความไว้วางใจ ความสมานฉันท์ ความสามัคคีของพวกเราจะทำให้เกิดเกราะป้องกันไม่ให้ผู้คิดร้ายต่อราชอาณาจักรไทยกล้ากระทำการใดใดต่อประเทศของเรา และภารกิจของพวกเราไม่ใช่เพียงการรักษาความสงบในชายแดนใต้ แต่เป็นการสร้างอนาคตใหม่ให้ชายแดนใต้

ทั้งนี้ ในช่วงบ่าย นายกฯ และคณะ เดินทางเยี่ยมกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ รพ.สงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา

เชื่อทุกอย่างจะสงบลง

นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ ว่าได้รับฟังสถานการณ์ในพื้นที่ และได้ให้ความมั่นใจกับทุกหน่วยงานว่า ขอให้บูรณาการการทำงานอย่างเต็มที่ ตนในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงมหาดไทยด้วย ได้ขอให้การทำงานกลับมาเป็นหนึ่งเดียวเหมือนอดีต และการบังคับใช้กฎหมายต้องให้เด็ดขาด ยกระดับการทำงานด้านการข่าว เน้นความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ

ผู้สื่อข่าวถามถึงการแต่งตั้ง พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ นายอนุทิน กล่าวว่า ตนทำงานร่วมกับ พล.อ.สมศักดิ์
มานานตั้งแต่เป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ดังนั้น เมื่อรมว.กลาโหมเสนอชื่อมา ตนก็มั่นใจว่าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ เพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพและมีประสบการณ์การทำงานมั่นใจว่าการเจรจาสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

เจรจามาเลเซีย 12 ตุลาคม

เมื่อถามถึงการนำ รมว.ต่างประเทศร่วมคณะมาด้วย จะมีการพูดคุยประเด็นอะไรถึงมาเลเซียเป็นกรณีพิเศษหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่าเรามองประเทศมาเลเซียเป็นประเทศมหามิตร มีการแสวงหาความร่วมมือและมีความสัมพันธ์ที่ดีระดับผู้นำประเทศ และปัญหากับกัมพูชาทางมาเลเซียก็พยายามนำไปสู่การเจรจาสู่สันติภาพ วันนี้เรามาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ได้เชิญรมว.การต่างประเทศ เพื่อมาพูดคุยกัน ซึ่งวันที่ 12 ต.ค. รมว.การต่างประเทศ ก็จะไปมาเลเซียเพื่อไปพบกับทีมของกัมพูชาในระดับรัฐมนตรีซึ่งมาเลเซียเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้ อะไรก็ตามที่จะนำไปสู่การเจรจาลดความรุนแรง นำไปสู่สันติภาพเราให้ความร่วมมือหมด จุดยืนของเราไม่มีเปลี่ยนแปลง เราไม่พูดคุยไม่ได้ เราต้องพูดคุยไปแต่จุดยืน 4 ข้อต้องได้รับการตอบสนองก่อนการบรรลุข้อตกลงใดๆ

พร้อมเจรจากับทุกกลุ่ม

พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งคณะพูดคุยว่า ขณะนี้รอคำสั่งอยู่ เมื่อคำสั่งเสร็จแล้วก็จะมีองค์ประกอบที่คล้ายๆ กับของเดิม โดยตนจะเชิญผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาร่วม โดยนายกฯ ระบุว่า เรื่องการแก้ไขปัญหาภาคใต้ขอให้ทำในภาพรวมหมายความว่า การพูดคุยก็เป็นส่วนหนึ่ง และมีองค์ประกอบอื่นๆเช่น การทำงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ภาค 4 ส่วนหน้า กองทัพ ตำรวจ กระบวนการยุติธรรม ศูนย์อำนวยการบริหาร จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และอีกหลายองค์ประกอบ

พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า หน้าที่ของตนคือการไปช่วยบูรณาการให้สิ่งเหล่านี้ไปทิศทางเดียวกัน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพูดคุย เพราะหากไปพูดคุยเพียงลำพังก็จะไม่มีหน้าตักที่จะไปคุยกับเขา ฉะนั้นเราจะต้องใช้องคาพยพทุกๆ ฝ่ายซึ่งตนจะดูเฉพาะระหว่างประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน กอ.รมน. ภาค 4 จะดูภายในประเทศ ส่วนที่เป็นรอยต่อตรงกลางกองทัพจะเข้ามาช่วยดูแล

เมื่อถามว่า คณะพูดคุยจะมุ่งเจรจาไปยังกลุ่มบีอาร์เอ็นหรือไม่ พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า จะพยายามพูดคุยกับทุกๆ กลุ่ม แต่กลุ่มบีอาร์เอ็นมีการพูดคุยกันมาซักพักใหญ่แล้วก็ต้องพูดคุยกับเขาก่อน แต่ไม่ได้แปลว่าจะเป็นกลุ่มเดียวที่เราจะพูดคุยด้วย ถ้ามีความคืบหน้าอะไรจะมีการแจ้ง

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top