แนวหน้าวิเคราะห์ : 'คดี44ส.ส.ก้าวไกล'เกมชี้ชะตา ก่อนเลือกตั้ง อาจเปลี่ยนทิศลมการเมือง?

แนวหน้าวิเคราะห์ : 'คดี44ส.ส.ก้าวไกล'เกมชี้ชะตา ก่อนเลือกตั้ง อาจเปลี่ยนทิศลมการเมือง?

วันพุธ ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 07.00 น.

 

หลังจากเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ที่สำนักงาน ป.ป.ช.สนามบินน้ำ  นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะโฆษก ป.ป.ช.ออกมาเปิดเผยความคืบหน้า“คดี 44 อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล”ที่ร่วมกันเสนอร่างแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า ขณะนี้กระบวนการไต่สวนพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว  เหลือเพียงขั้นตอนพิจารณาเชิงลึกขององค์คณะไต่สวนก่อนชงเข้าที่ประชุมใหญ่ ป.ป.ช.


“ยืนยันว่าการทำงานของ ป.ป.ช.อยู่บนพื้นฐานของความเป็นกลาง ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ได้ดูไทม์ไลน์การเลือกตั้ง แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงในการพิสูจน์ความผิด โดยคาดว่าจะมีการพิจารณาคดีนี้รายคนเริ่มตั้งแต่กลางเดือน ต.ค.นี้ จากนั้นคาดว่าเร็วสุดคือเสร็จภายใน พ.ย. อย่างช้าไม่น่าจะเกินธันวาคม 2568 ก่อนการเลือกตั้ง ยืนยันว่าไม่ได้มุ่งทางการเมือง”นายสุรพงษ์ กล่าวย้ำ

สัญญาณจากสนามบินน้ำ  คดีที่อาจเปลี่ยนทิศลมการเมือง

คำแถลงนี้ ไม่ใช่เพียงรายงานความคืบหน้าทางเทคนิค แต่เป็น“สัญญาณทางการเมือง”ที่อาจสั่นสะเทือนสมรภูมิการเลือกตั้งใหญ่ ที่กำลังใกล้เข้ามาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อคดีนี้เกี่ยวพันโดยตรงกับอุดมการณ์และแก่นทางการเมืองของพรรคก้าวไกล ซึ่งคดีที่อาจเปลี่ยนทิศลมการเมืองในอนาคตครั้งสำคัญ

จากสิทธิทางนิติบัญญัติ สู่ข้อกล่าวหาทางจริยธรรม

แก่นของคดี คือ ข้อกล่าวหาว่า ส.ส.ทั้ง44 คน ได้ร่วมกันลงชื่อเสนอร่างแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งอาจขัดต่อ รัฐธรรมนูญ มาตรา 29 และมาตรา 6 ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ และอาจถือเป็นการ“ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายอดีต ส.ส.ก้าวไกล โต้แย้งว่า การเสนอร่างกฎหมาย เป็นสิทธิและหน้าที่ตามระบบรัฐสภาภายใต้หลักการประชาธิปไตย ซึ่งเปิดโอกาสให้ ส.ส.มีสิทธิร่างกฎหมายใดๆได้ หากเป็นไปตามกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น แก่นของการไต่สวน จึงไม่ใช่เพียงการ“ตรวจข้อเท็จจริง”แต่เป็นการตีความเชิงหลักการว่า

“สิทธิทางนิติบัญญัติของ ส.ส.จะถูกจำกัดได้เพียงใด ภายใต้กรอบความมั่นคงของรัฐและสถาบันหลัก?”

นี่คือ ประเด็นที่ละเอียดอ่อนและเปราะบางที่สุดของคดี

ป.ป.ช.แยกพิจารณา“รายบุคคล”กลเกมลดแรงกระแทก?

สิ่งสำคัญ ทาง ป.ป.ช.ระบุชัดว่าจะ ไม่พิจารณาแบบเหมารวม แต่จะพิจารณาเป็นรายบุคคล แยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ริเริ่มร่างกฎหมาย กับ กลุ่มผู้ร่วมลงชื่อสนับสนุน

การแบ่งเช่นนี้ สะท้อนแนวทาง“ลดแรงปะทะทางการเมือง” เพราะหาก ป.ป.ช.ชี้มูลแบบรวมกลุ่ม อาจถูกมองว่าเป็นการ“ล้างบางทางการเมือง” ทั้งพรรคในคราวเดียว ซึ่งจะสร้างแรงต้านรุนแรงจากสังคมและกลุ่มเยาวชน

แต่หากชี้มูลเฉพาะ“ผู้ริเริ่มร่าง”ก็ยังถือเป็น“ทางลงที่ไม่ทำให้ประเทศสั่นสะเทือนเกินจำเป็น”

จังหวะเวลา คำชี้ขาดก่อนเลือกตั้ง : บังเอิญ หรือจงใจ?

ในเรื่องนี้ ป.ป.ช.ยืนยันหนักแน่นว่า“ไม่ได้ดูไทม์ไลน์เลือกตั้ง”แต่ความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ หาก ป.ป.ช.ชี้มูลคดีนี้ก่อนสิ้นเดือนธันวาคม 2568 จะเกิดแรงกระเพื่อมใหญ่ในสนามเลือกตั้งทันที เพราะพรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชน ซึ่งมีฐานคะแนนจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ อาจถูกตัดสิทธิ์แกนนำจำนวนมาก ไม่ให้ลงสมัครส.ส.อีกครั้งที่จะเกิดขึ้นหลังยุบสภา

ขณะเดียวกัน หากผลออกมาว่า“ไม่ชี้มูล”ก็จะกลายเป็น“แรงบวก”มหาศาลต่อพรรค ทำให้สามารถฟื้นความเชื่อมั่น และตอกย้ำ ภาพพรรคที่ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองอย่างต่อเนื่องที่จะนำไปใช้หาเสียงเรียกคะแนนความสงสาร

ดังนั้น จังหวะของคดีนี้ จึงอยู่ในตำแหน่งเหมือน“ระเบิดเวลา”ที่พร้อมเขย่าการเลือกตั้ง ไม่ว่าผลจะออกทางใดไม่ว่าทางบวกหรือลบ

ผลสะเทือนเชิงการเมือง : ชี้ชะตาอนาคตพรรคปชน.

กรณีนี้อาจส่งผลลึกใน 3 มิติหลัก

(1) ผลต่อแกนนำและโครงสร้างพรรค  หากมีการชี้มูลความผิดและศาลวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งหรือตัดสิทธิ์ทางการเมือง พรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชน จะสูญเสียบุคลากรสำคัญเกือบครึ่งหนึ่งของทีมเดิม และต้องเร่งสร้าง “รุ่นใหม่ในรุ่นใหม่” มาทดแทนก่อนศึกเลือกตั้ง อาจจะไม่ทันการณ์

(2) ผลต่อภาพลักษณ์ทางอุดมการณ์ คดีนี้อาจถูกตีความได้สองทาง  ฝ่ายสนับสนุนจะเห็นว่าเป็น “การต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางนิติบัญญัติ”แต่ฝ่ายตรงข้ามจะมองว่าเป็น “การจาบจ้วงหลักความมั่นคงของรัฐ”จึงอาจทำให้สังคมกลับมาสองขั้วเข้มข้นอีกครั้ง

(3) ผลต่อเกมเลือกตั้งใหญ่ หากคำวินิจฉัยออกก่อนปลายปี พรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชน จะต้องลงสนามเลือกตั้งภายใต้เงื่อนไขใหม่ ขาดแกนนำสำคัญ แต่มีพลังเห็นใจ จากมวลชน หรือ ในทางกลับกัน หากรอดทุกคนก็จะกลายเป็น“พรรคพระเอก”ที่ชูประเด็นถูกกลั่นแกล้ง เป็นทุนทางการเมืองมหาศาล

ป.ป.ช.กับบททดสอบความเป็นกลาง

ไม่ว่าผลคดีนี้จะออกมาอย่างไร สิ่งที่เดิมพันสูงสุดคือ “ความเชื่อมั่นของสังคมต่อองค์กรอิสระ”

เพราะป.ป.ช. อยู่ในจุดที่ต้องพิสูจน์ว่า “องค์กรตรวจสอบสามารถยืนอยู่เหนือการเมืองได้จริงหรือไม่”

หากกระบวนการชี้มูลโปร่งใส มีเหตุผล และสังคมยอมรับได้

ป.ป.ช. จะได้ศรัทธากลับคืนในฐานะกลไกคานอำนาจของประชาธิปไตย

แต่หากสังคมมองว่าการชี้ขาด “มีแรงจูงใจทางการเมือง” ไม่ว่าจะต่อก้าวไกลหรือฝ่ายใดก็ตาม

แรงสะเทือนจะย้อนกลับมาทำลายความน่าเชื่อถือของระบบตรวจสอบทั้งหมด

 คดีที่อาจเปลี่ยนทิศทางการเมืองไทยปลายปี2568

คดี “44 ส.ส.ก้าวไกล” คือสมรภูมิที่วัดกันทั้งในมิติ กฎหมาย – อุดมการณ์ – และอำนาจ

เป็นบทพิสูจน์ว่าประชาธิปไตยไทยจะเปิดพื้นที่ให้ “การคิดต่าง” ได้มากเพียงใด

และเป็นเครื่องวัดความเป็นอิสระขององค์กรตรวจสอบในยุคที่ “กฎหมายกลายเป็นอาวุธทางการเมือง”

หาก ป.ป.ช. ชี้มูลก่อนสิ้นปี  ผลสะเทือนจะสั่นสะเทือนทุกพรรค ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งสำคัญ

แต่หากรอหลังเลือกตั้ง   จะยิ่งเพิ่มข้อครหาว่าการเมืองไทยไม่เคยพ้นวังวน “คดีการเมือง”

ในที่สุด คดีนี้อาจกลายเป็น จุดเปลี่ยนที่นิยามอนาคตประชาธิปไตยไทย ระหว่าง“การปกป้องสถาบัน” กับ “การปกป้องสิทธินิติบัญญัติ”ว่า ฝ่ายใดจะยืนอยู่ได้ในสมรภูมิการเลือกตั้งปี2569ที่กำลังจะมาถึง ประเด็นนี้จะเขย่าการเลือกตั้งใหญ่หนีไม่พ้นอย่างแน่นอน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top