พื้นที่พิพาทอยู่ในเขตอธิปไตยไทย กองทัพโต้เขมร ชี้ไม่จำเป็นต้องใช้กลไกJBC

พื้นที่พิพาทอยู่ในเขตอธิปไตยไทย กองทัพโต้เขมร ชี้ไม่จำเป็นต้องใช้กลไกJBC

วันอาทิตย์ ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

พื้นที่พิพาทอยู่ในเขตอธิปไตยไทย
กองทัพโต้เขมร
ชี้ไม่จำเป็นต้องใช้กลไกJBC
ทัพภาค1เดินหน้ากู้ระเบิด
เคลียร์จบคืนพื้นที่ให้ปชช.
ชาวบ้านอุ่นใจทหารดูแล

โฆษก ทบ.ออกโรงโต้เดือดรัฐบาลกัมพูชา ยืนยันหนักแน่นพื้นที่พิพาทชายแดนอยู่ในอธิปไตยไทย ไม่จำเป็นต้องใช้กลไก JBC แก้ปัญหา ย้ำไทยแก้ปัญหาตามหลักสากล พร้อมส่งสัญญาณกดดันกัมพูชาให้เร่งทำตามข้อตกลง GBC 4 ข้อ ลั่นยิ่งยื้อเวลาแก้ปัญหา กัมพูชายิ่งเสียเปรียบเอง “แม่ทัพกุ้ง” ชี้กัมพูชาไร้ความจริงใจ เห็นด้วยเลื่อนถก RBC ประชุมไปอาจไร้ประโยชน์ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเพื่อนบ้านแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง

วันที่ 18 ต.ค.68 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (โฆษกทบ.) ได้ออกมาตอบโต้ นายเพ็ญ โบนา โฆษกรัฐบาลกัมพูชา ที่ออกแถลงการณ์ปฏิเสธกรณีที่สื่อมวลชนไทยได้กล่าวว่าบ้านหนองจาน และ บ้านหนองหญ้าแก้ว รวมถึงพื้นที่ที่ฝ่ายไทยได้ มีการวางลวดหนาม และได้ใช้รถปรับพื้นดินเพื่อปฏิบัติการกวาดล้างทุ่นระเบิดอยู่นั้นอยู่ในเขตแดนไทย


โดย พล.ต.วินธัย กล่าวว่า โฆษกรัฐบาลกัมพูชา ได้กล่าวว่าเขตแดนระหว่างกัมพูชาและไทย เป็นเขตแดนระหว่างประเทศตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ซึ่งรวมถึงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และหลักเขตแดนที่ได้รับการยอมรับ จำนวน 74 หลัก ยังคงมีผลทางกฎหมายและได้รับการคุ้มครองภายใต้บทบัญญัติของกฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพียงฝ่ายเดียว

พล.ต.วินธัย กล่าวอีกว่า โฆษกรัฐบาลกัมพูชา พยายามที่จะไม่เข้าใจ ซึ่งได้เคยชี้แจงไปแล้วหลายครั้ง จึงขอเรียนว่าพื้นที่ที่ชาวบ้านกัมพูชาบุกรุกที่เป็นข้อพิพาทกันอยู่ในขณะนี้ อยู่นอกเขตพื้นที่ที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ ลึกเลยเข้ามาในพื้นที่ฝั่งไทย ถึงแม้ว่ากัมพูชาจะนำแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 มาใช้อ้างอิงก็ตาม โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชายแดนที่มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบ ตามสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ระบุให้ใช้หลักเขตแดน ที่ได้เคยปักปันกันไว้แล้วในอดีตเป็นหลัก ซึ่งในบางหลักเขตอาจมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง จึงเกิดเป็นพื้นที่ ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ ทำให้ต้องใช้กลไก คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) มาร่วมแก้ปัญหา

พล.ต.วินธัย กล่าวอีกว่า แต่พื้นที่ที่มีปัญหาและข้อพิพาทกันอยู่ และจำเป็นต้องดำเนินการเร่งแก้ไขนั้น จะเป็นในส่วนที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ แต่เป็นพื้นที่ที่อยู่ลึกเลยเข้ามาในฝั่งประเทศไทยอย่างชัดเจน จึงไม่จำเป็นต้องรอให้กลไก เจบีซีมาใช้แก้ปัญหาในบริเวณพื้นที่ส่วนนี้

“การรุกล้ำกรณีดังกล่าวจึงย่อมมีผลทางกฎหมายของไทย และไม่เป็นการละเมิดในบทบัญญัติของกฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศอย่างที่กล่าวอ้าง” พล.ต.วินธัย กล่าวว่า

จี้เขมรทำตามข้อตกลง GBC 4 ข้อ

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้เผยถึงความคืบหน้าของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายหลังจากที่กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 ได้ทำการส่งหนังสือถึงภูมิภาคทหารที่ 4 และ 5 เพื่อเร่งรัดให้ฝ่ายกัมพูชาได้ดำเนินการตามข้อตกลงสำคัญทั้ง 4 ข้อ ได้แก่ การถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และการบริหารจัดการชายแดนร่วมกัน

โดย พล.ต.วินธัย ระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นหนึ่งในมาตรการเร่งรัดให้ฝ่ายกัมพูชาได้เร่งพิจารณาดำเนินการอย่างจริงจัง ตามแนวทางข้อตกลงที่ได้เห็นชอบร่วมกันแล้วเมื่อครั้งการประชุม GBC ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันฝ่ายไทยได้พยายามเดินหน้าขับเคลื่อน เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม แม้จะไม่ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายกัมพูชา ทั้งการเก็บกู้ทุ่นระเบิด การสกัดกั้นและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำดินแดน

พล.ต.วินธัย กล่าวเพิ่มเติมว่า เชื่อว่าฝ่ายกัมพูชาจะเริ่มตระหนักว่าการเพิกเฉยหรือไม่จริงจังต่อการแก้ไขปัญหาทั้ง 4 ข้อดังกล่าว ไม่เป็นผลดีต่อการดำรงความสัมพันธ์ ซ้ำยังส่งผลกระทบต่อแรงกดดันจากนานาชาติในประเด็นอาชญากรรมข้ามชาติที่กัมพูชากำลังเผชิญอยู่ ดังนั้น การเปิดใจยอมรับและปฏิบัติตามข้อตกลง GBC อย่างจริงจัง จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่อาจเห็นทิศทางของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน

แม่ทัพกุ้ง” ชี้ “กัมพูชา” ไม่จริงใจ

ด้าน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 และที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบกได้เดินทางมาปาฐกถา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการปาฐกถาพิเศษในโครงการพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ภายใต้หัวข้อ “เด็กไทย ใฝ่ดี ชัยนาทโมเดล” ที่หอประชุมโรงเรียนชัยนาทพิทยาคม อ.เมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ถึงประเด็นสถานการณ์ชายแดน โดยเฉพาะกรณีที่กัมพูชามีการเลื่อนการประชุมหารือเรื่องทุ่นระเบิดว่า ส่วนตัวคิดว่าตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะมานั่งประชุมอะไรกันเพราะว่าสถานการณ์ยังตึงอยู่ ประชุมไป ตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เลื่อนไปดีแล้ว เพราะดูท่าทีแล้วแน่นอนว่าทางกัมพูชาไม่มีความจริงใจในเรื่องของการแก้ปัญหาชายแดน

ส่วนประเด็นที่ทางประเทศเกาหลีได้มีการไปพูดคุยกับ ฮุน มาเนต ที่มีท่าทีอ่อนน้อมกับกัมพูชาเป็นอย่างดี แต่กับประเทศไทยกลับไม่มีท่าทีที่จริงจังเลยตรงนี้อยู่ที่ผู้นำของทางเกาหลีที่เขาเป็นห่วงประชาชนของเขา ซึ่งประเทศไทยเราก็ทำมาโดยต่อเนื่อง ส่วนเรื่องของการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ ตรงนี้จะละเลยไม่ได้ เพราะคนไทยก็เป็นเหยื่อหนึ่งในนั้นและไทยต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ ซึ่งหลายๆ ประเทศขณะนี้ต้องการที่จะเข้าร่วมแก้ปัญหาสแกมเมอร์ ซึ่งประเทศไทยสมควรที่จะเข้าร่วมด้วยเนื่องจากมูลค่าความเสียหายมันเยอะ คนดีหลายๆ คนจะต้องมาเสียทรัพย์สินให้กับกลุ่มพวกนี้ และควรที่จะทำแบบจริงจังร่วมกับประชาคมโลก ส่วนเรื่องของการลงนาม ที่กลับมาเป็นประเด็นข้อโต้เถียงตรงนี้ ขอให้เป็นเรื่องผู้นำประเทศ และทางกองทัพได้คุยกันถึงข้อดีข้อเสียอันไหนดีมีผลประโยชน์ที่ดีต่อประเทศก็ต้องมานั่งคุยกัน

ทภ.1 เผยสถานการณ์ทั่วไปปกติ

ด้านกองทัพภาคที่ 1 โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ได้สรุปสถานการณ์ประจำวันที่ 18 ตุลาคม 2568 ณ เวลา 16.00 น.ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้วว่า สถานการณ์ด้านความมั่นคงชายแดน จ.สระแก้ว โดยฝ่ายไทยมีมวลชนชาวบ้านในพื้นที่และสื่อมวลชน ติดตามการช่วยเหลือของมูลินิธิกันต์จอมพลัง ช่วยสู้ ดำเนินการสนับสนุนการปรับปรุงสร้างถนนเพื่อเปิดเส้นทางการสัญจรในพื้นที่บ้านหนองหน้าแก้ว

สำหรับการเปิดกระจายเสียงซึ่งเมื่อวานนี้ (17 ต.ค.) ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายพลเรือนโดยกลุ่มคนรักเครื่องเสียง ประมาณ 40 - 50 คน แสดงออกเชิงสัญลักษณ์รถแห่ลำโพงไทย-สะเทือนแนวชายแดนในห้วงเวลา 18.00-19.00 น.โดยเปิดเพลงชาติและเพลงปลุกใจ ในพื้นที่บ้านหนองจานก่อนเดินทางกลับและวันนี้มีกลุ่มคนรักเครื่องเสียงจากหลายจังหวัดนำรถแห่ลำโพงจำนวน 7 คันเข้าพื้นที่จอด ณ บริเวณ บ้านหนองจาน เพื่อเตรียมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์

ส่วนฝั่งตรงข้าม ฝ่ายกัมพูชา บริเวณบ้านโจกเจยและบ้านเปรยจัน พบความเคลื่อนไหวประชาชน สื่อมวลชน ทหาร และตำรวจ ฝ่าย กพช.คอยติดตามความเคลื่อนไหว การปฏิบัติของฝ่ายไทย ประมาณ 40-50 คนสถานการณ์ทั่วไปปกติ

คืนพื้นที่ให้ชุมชนชายแดน

สำหรับภารกิจปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่บ้านหนองจาน เตรียมเคลียร์พื้นที่ทุ่นระเบิดเพื่อส่งคืนความปลอดภัยให้ชุมชนชายแดนนั้น โดยตั้งแต่ 17 ต.ค.68 กกล.บูรพา, ฉก.อรัญประเทศ, ช.พัน 2 ร่วมกับหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม 1 (นปท.1) เข้าดำเนินการสำรวจพื้นที่สำคัญบริเวณบ้านหนองจาน มีความละเอียดอ่อนซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เนื่องจากพื้นที่ฝั่งตรงข้ามเคยตรวจพบทุ่นระเบิดดักรถถัง (Anti-Tank Mine) ชนิด Type 59 ซึ่งเป็นวัตถุระเบิดที่มีอันตรายสูง เพื่อเป็นการป้องกันและกำหนดขอบเขตอันตรายให้กับประชาชนในพื้นที่ ชุดปฏิบัติการจะวางแผนเพื่อกำหนดขอบเขตเป็นพื้นที่อันตรายต้องสงสัย (Suspected Hazardous Area: SHA) ให้ชัดเจนก่อนที่จะเตรียมการจัดทำแผนปฏิบัติการเก็บกู้วัตถุระเบิด และเคลียร์พื้นที่ให้ปลอดภัยต่อไปเพื่อสร้างความปลอดภัยและคืนพื้นที่ให้แก่ชุมชนชายแดนอย่างยั่งยืน

สำหรับความคืบหน้าในการเร่งรัดให้ฝ่ายกัมพูชาทำตามข้อตกลง เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาในระดับพื้นที่นั้น ทางกองทัพภาคที่ 1 ได้ส่งหนังสือให้ภูมิภาคทหารที่ 5 ฝ่ายกัมพูชา เร่งรัดจัดทำแผนประเด็นในการหารือ 3 หัวข้อ ได้แก่ 1.การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ติดตามการแต่งตั้งคณะกรรมการพร้อมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติการเก็บกู้ (SOP), 2.การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ติดตามการแต่งตั้งคณะกรรมการพร้อมทั้งจัดทำแผนงานปฏิบัติการ (Action Plans) และ 3.การบริหารจัดการพื้นที่ ติดตามจัดทำแผนอพยพประชาชนชาวกัมพูชาในพื้นที่บริเวณบ้านหนองจาน, บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว และบ้านคลองแผง อำเภอตาพระยา จังหวัดสวัดสระแก้ว รวม 3 พื้นที่ที่อยู่ในพื้นพื้นที่อธิปไตยของไทย เพื่อเข้าสู่การการหารือในการประชุมกองแลขานุการคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย -กัมพูชาในวันที่ 21 ต.ค.68 และเตรียมการประชุมคณะกรรมการชายแดนสวนภูมิภาค ไทย - กัมพูชา ในวันที่ 24 ต.ค.68 นี้ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนการปฏิบัติในระดับพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การหารือในการประชุม GBC ที่จะเกิดขึ้นต่อไป

รวบ5คนไทยหนีภัยปอยเปต

วันเดียวกันเมื่อเวลา 07.00 น. พ.อ.ชัยณรงค์ กาสี ผบ.ฉก.อรัญประเทศ กกล.บูรพา และ พ.อ.เมธี คำเต็ม ผบ.ชค.ทพ.12 ได้นำกำลังพลจาก ร้อย ทพ.1206 ร่วมกับ ฉก.ร.2 พัน 1 ออกปฏิบัติการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ท้ายหมู่บ้านทุ่งรวงทอง ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เจ้าหน้าที่สามารถสกัดจับคนไทยชาย-หญิงได้ 5 คน ขณะกำลังเดินเท้าลัดเลาะอยู่ในไร่อ้อย บริเวณชายแดนบ้านทุ่งรวงทองฯ หลังสอบสวนทราบว่าทั้งหมดได้ ลักลอบข้ามแดนตามช่องทางธรรมชาติ เข้ามาในประเทศไทย โดยมีจุดเริ่มต้นจากกรุงปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยคนไทยทั้ง 5 ราย ให้การยอมรับว่า ได้ลักลอบเข้าไปทำงานในปอยเปตระหว่าง 15 วัน ถึง 6 เดือน โดยเป็นแอดมินเว็บพนันออนไลน์ 3 คน และทำงานเป็นแม่บ้าน 2 คน

สาเหตุที่ต้องเร่งเดินทางกลับภูมิลำเนาในไทย เนื่องจากหวาดกลัวความไม่ปลอดภัยในกัมพูชา หลังจากมีข่าวลือแพร่สะพัดว่ารัฐบาลกัมพูชาจะร่วมกับเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ บุกกวาดล้างจับกุมแก๊งสแกมเมอร์ ในกรุงปอยเปต พวกตนจึงได้ติดต่อผู้นำพาชาวกัมพูชาเพื่อลักลอบข้ามแดนกลับประเทศ โดยต้องเสียค่าจ้างนำพาสูงถึงคนละ 10,000-20,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่าค่าจ้างลักลอบเข้าเมืองโดยทั่วไป แต่ก็ต้องยอมจ่ายเพราะต้องการกลับบ้าน ผู้นำพาได้มารับพวกเขาจากที่พัก พามาส่งบริเวณชายแดนก่อนที่จะมีผู้นำพากัมพูชาอีก 3 คนมารับช่วงต่อ และนำพาลัดเลาะตามช่องทางธรรมชาติจนข้ามเข้าสู่ประเทศไทย ก่อนจะถูกชุดลาดตระเวนตรวจพบและจับกุมตัวไว้ได้ในที่สุด

ชาวบ้านหนองจานอุ่นใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ตั้งแต่ช่วงเช้ามีชาวบ้านทยอยมารอทำกิจกรรมรถแห่ลำโพง เปิดเพลงปลุกใจตั้งแต่เวลา 07.00 น.รวมถึงเปิดเพลงชาติพร้อมกันในเวลา 08.00 น.แต่หลังช่วงเย็นวานนี้การเปิดเพลงและสารคดีอนุญาตให้เปิด 1 ชั่วโมง ทำให้เช้านี้นอกจากไม่มีรถแห่ ชาวบ้านบางส่วนยังผิดหวังเดินทางกลับ แต่บางส่วนยังคงรอดูท่าทีและยอมรับรู้สึกเสียดายเพราะเมื่อวานมาไม่ทันยังอุตส่าห์หาที่พักในอำเภอ เพื่อมารอร่วมกิจกรรมตอนเช้า และยังเชื่อว่าการเปิดเครื่องเสียงทำกิจกรรมในฝั่งไทย

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top