พร้อมถอนอาวุธหนัก-ร่วมกู้ทุ่นระเบิด  ‘เขมร’เริ่มยอมไทย  เจรจาGBC/4เงื่อนไขคืบหน้า

พร้อมถอนอาวุธหนัก-ร่วมกู้ทุ่นระเบิด ‘เขมร’เริ่มยอมไทย เจรจาGBC/4เงื่อนไขคืบหน้า

วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

พร้อมถอนอาวุธหนัก-ร่วมกู้ทุ่นระเบิด

‘เขมร’เริ่มยอมไทย

เจรจาGBC/4เงื่อนไขคืบหน้า

กต.เชื่อเวทีอาเซียนได้ลงนาม

ประกาศสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

“บิ๊กเล็ก” บินมาเลย์ถก GBC สมัยพิเศษ แถลงผลประชุมคืบหน้ามีนัยสำคัญ ไทยประสบความสำเร็จโน้มน้าว “กัมพูชา” เห็นชอบร่วมทำแอ๊กชั่นแพลน ถอนอาวุธหนัก ส่งต่อ “มทภ.2 -ผบ.ภูมิภาคที่ 4” เขมรยอมขับเคลื่อน ร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด-ปราบไซเบอร์สแกม –จัดระเบียบชายแดน พร้อมเดินหน้าสร้างรั้วชายแดน ในพื้นที่ที่เส้นเขตแดนชัดเจนแล้ว  ส่วน “สีหศักดิ์”มั่นใจได้ลงนาม ‘’ประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา’’ บนเวทีอาเซียน ย้ำมีแผนถอนอาวุธหนัก -กู้ทุ่นระเบิด ปราบสแกมเมอร์ตาม 4 เงื่อนไขไทยชัดเจน ด้านผลประชุม JBC เร่งสำรวจเขตแดนบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว ส่วนการสร้างรั้วชายแดน เขมรบ่ายเบี่ยงไม่หารือ

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นำคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย–กัมพูชา (GBC)สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2/2568


บิ๊กเล็กบินถกGBCเผยคืบหน้า90%

พลเอกณัฐพลกล่าวก่อนเดินทางไปมาเลเซียว่า คืบหน้าไปแล้วกว่า 90% ที่ทราบจากทางฝ่ายเลขานุการ พร้อมย้ำว่าไม่มีเรื่องใดที่น่ากังวลใจเหลืออีกเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะเดินทางไปคุยต่อให้แล้วเสร็จและในเวลา 10:00 น. จะหารือระหว่างประธานทั้งสองฝ่าย หรือ “4 EYES” ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมอย่างเป็นทางการ และจะมีการลงนามบันทึกการประชุม เพื่อเป็นกรอบความร่วมมือด้านความมั่นคงชายแดนร่วมกันต่อไป

สำหรับการประชุมครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายหารือ 4 ประเด็นสำคัญได้แก่1.ถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน2.เก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกันในพื้นที่เสี่ยง3. การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมทางไซเบอร์4.การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนในจุดบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว

ผลGBCคืบหน้าเขมรยอมรับ4เงื่อนไข

หลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา(GBC) พลเอกณัฐพลแถลงผลประชุม GBCว่า ตนมาเป็นประธานการประชุมจีบีซี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 / 2568 ร่วมกับฝ่ายกัมพูชานำโดย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาตามคำเชิญของกระทรวงกลาโหมมาเลเซีย การประชุมGBCครั้งนี้ ไทยยังยืนหยัดเงื่อนไขเดิม 4 ข้อได้แก่ ถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ขัดแย้ง เก็บกู้ระเบิดสังหารบุคคล ปราบปรามขบวนการไซเบอร์สแกม และการจัดการพื้นที่หมู่บ้านชายแดนในจ.สระแก้ว

สำหรับผลประชุมวันนี้ถือว่ามีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยฝ่ายไทยประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้ฝ่ายกัมพูชายึดถือปฏิบัติในประเด็นเดิม แต่ลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น เพื่อให้หน่วยในพื้นที่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งตนจะขอชี้แจงให้ประชาชนทราบดังนี้

ปมถอนอาวุธตกลงทำTOR-แอคชั่นแพลน

ประเด็นแรก การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ขัดแย้ง ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงจัดทำข้อกำหนดเงื่อนไขของงานหรือทีโออาร์ สำหรับคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนหรือ IOT และได้มีการลงนามโดยผู้แทนทั้งสองฝ่ายเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคณะ IOT จะมีหน้าที่สำคัญในการสังเกตและติดตามผลความคืบหน้าของการถอนอาวุธหนักของแต่ละฝ่ายออกจากพื้นที่ขัดแย้ง รวมถึงกำหนดกรอบเวลาและเป้าหมายปลายทางในการถอนอาวุธเรียบร้อยแล้วโดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบแผนปฏิบัติการหรือแอ็คชั่นแพลน ที่ได้จัดทำร่วมกันและมอบหมายให้แม่ทัพภาคที่ 2 ของไทยและผู้บัญชาการภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชา ขับเคลื่อนแผนไปสู่การหารือกันเพิ่มเติมในวันที่ 25 ตุลาคม

ทั้งนี้การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ขัดแย้งมีความมุ่งหมายหลักเพื่อสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนตามแนวชายแดน เนื่องจากอาวุธของกัมพูชาส่วนใหญ่ เช่น จรวดบีเอ็ม 21 เป็นอาวุธมีอำนาจทำลายล้างเป็นวงกว้าง ยากแก่การควบคุมตำบลกระสุนตก จึงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงเป้าหมายที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร เช่น บ้านเรือน ร้านค้า ไล่นา โรงเรียน และโรงพยาบาล

เขมรยอมร่วมทำแผนเดินหน้ากู้ทุ่นระเบิด

ประเด็นที่ 2 เรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ทั้งสองฝ่ายประสบความสำเร็จในการจัดทำระเบียบปฏิบัติตามมาตรฐานหรือ เอสโอพี สำหรับการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน ทั้งในพื้นที่ที่กำหนดเขตแดนชัดเจนแล้ว และพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายยังเห็นไม่ตรงกัน หลังจากนี้ชุดประสานงานของทั้งสองฝ่ายจะเริ่มปฏิบัติการเก็บกู้ได้ทันที ซึ่งที่ผ่านมาศูนย์ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของฝ่ายไทย ไม่สามารถดำเนินการหรือเก็บกู้ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากมักถูกขัดขวางจากฝ่ายกัมพูชาบ่อยครั้ง เมื่อเราเข้าไปใกล้พื้นที่ชายแดน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฝ่ายกัมพูชายอมที่จะนำประเด็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิดมาพูดคุยในรายละเอียดกันอย่างจริงจัง ทั้งนี้การเก็บกู้ระเบิดในพื้นที่ชายแดนมุ่งหมายเพื่อสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนและทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันชายแดน ซึ่งไทยยืนยันมาตลอดว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการและต้องไม่นำเรื่องเขตแดนมาเป็นข้อจำกัดแต่อย่างใด

เขมรร่วมทำแอคชั่นแพลนปราบสแกมฯ

ประเด็นที่ 3 การปราบปรามขบวนการไซเบอร์สแกม เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เราได้รับความร่วมมือมากขึ้นเป็นครั้งแรกจากฝ่ายกัมพูชา โดยหน่วยงานตำรวจของทั้ง 2 ฝ่ายได้ร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการหรือแอ็คชั่นแพลนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งกองกำลังเฉพาะกิจร่วมหรือภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อเริ่มกวาดล้างแกนนำหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการไซเบอร์สแกมได้ต่อไป ซึ่งต้องยอมรับว่ามีขบวนการบางส่วนเดินทางไปมาระหว่าง 2 ประเทศด้วยวิธีต่างๆ นอกจากนี้ได้ตกลงร่วมกันเกี่ยวกับขั้นตอนที่ชัดเจนในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารหลักฐานพยานเหยื่อที่ถูกหลอกลวงและผู้ต้องหา รวมถึงมาตรการคุ้มครองพยาน อันจะทำให้การปฏิบัติงานของตำรวจรวดเร็วยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ขบวนการไซเบอร์สแกมเป็นภัยคุกคามที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ภูมิภาคอาเซียน และพื้นที่อื่นทั่วโลกดังนั้นแผนปฏิบัติการที่ร่วมกันจัดทำขึ้น จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานตำรวจของไทยและกัมพูชา ซึ่งอาจรวมถึงเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของประเทศอื่น ที่มีประชาชนของตนตกเป็นเหยื่อของขบวนการไซเบอร์สแกมด้วย

ยอมร่วมมือสำรวจหนองจาน-หญ้าแก้ว

ประเด็นสุดท้ายเรื่องการจัดการพื้นที่หมู่บ้านชายแดนในจ.สระแก้ว ตามข้อมูลข้างต้นที่ได้รับการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมหรือเจบีซี นำโดยกระทรวงต่างประเทศมีผลลัพธ์เชิงบวกสำคัญที่จะทำให้หน่วยในพื้นที่ปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะส่งเจ้าหน้าที่ของตนลงพื้นที่สำรวจแนวเส้นที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิ์ โดยจะสำรวจร่วมจากหลักเขตที่ 42-47 ช่วงบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว

“ถือเป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขมรยอมร่วมมือกับฝ่ายไทยในการลงพื้นที่เดินสำรวจแนวเส้นอ้างสิทธิ์และวางหมุดชั่วคราวที่แน่ชัดด้วยกัน อันจะทำให้แต่ละฝ่ายยอมรับขอบเขตพื้นที่ที่เกิดขึ้น ตามผลการสำรวจและจะนำไปสู่การปรับการถือครองที่ดินของทั้งสองฝ่ายได้ต่อไป”พลเอกณัฐพลกล่าวและขอยืนยันว่าการวางหมุดชั่วคราวนี้เป็นเพียงเพื่อการสำรวจเท่านั้น จะไม่กระทบต่อสิทธิ์ของไทยในเรื่องเขตแดนทางบกตามกฎหมายระหว่างประเทศแต่อย่างใด

ยันสร้างรั้วชายแดนสกัดภัยคุกคาม

นอกจากนี้ฝ่ายไทยจะเริ่มสร้างรั้วชายแดนในบริเวณที่มีความชัดเจนของเส้นเขตแดนแล้ว โดยยืนยันว่ารั้วดังกล่าวจะอยู่ภายในเขตอธิปไตยของไทยเพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนตลอดจนเพื่อป้องกันภัยคุกคามข้ามแดนระหว่างทั้งสองประเทศ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นนับเป็นความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญที่เกิดขึ้นจากการประชุมGBCครั้งนี้ ซึ่งยังมีรายละเอียดหลายเรื่องที่เราต้องร่วมกันติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดต่อไป ฝ่ายไทยขอยืนยันว่า เราต้องการเห็นความคืบหน้าที่ชัดเจนในทุกเรื่องตามที่กล่าวไปแล้ว จึงจะพิจารณาการยุติความเป็นปรปักษ์ต่อกัน ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้เขมรแสดงความจริงใจในการปฏิบัติตามผลการประชุมGBCครั้งนี้โดยเคร่งครัด เพื่อร่วมกันนำสันติสุขให้กลับคืนสู่ประชาชนทั้งสองประเทศ ตลอดจนภูมิภาคอาเซียนในภาพรวม

กต.มั่นใจลงนามสัมพันธ์ไทย-เขมรได้

ด้านนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงการลงนามประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่มาเลยเซียระหว่างวันที่ 25 - 28 ตุลาคมว่า เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา ทุกอย่างที่ประเทศไทยให้ความสำคัญค่อนข้างลงตัวแล้ว และตกลงกันได้ระดับหนึ่ง ทั้งการถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ

โดยมีแผนงานและแผนดำเนินการเป็นขั้นตอน รวมถึงการนำคนเขมรออกจากดินแดนที่เป็นพื้นที่ประเทศไทยก็พูดคุยแล้วเช่นกัน ซึ่งหลังจากนี้จะทำงานและพูดคุยกันว่ามีจุดใดบ้างที่มีการรุกล้ำ และจะแก้ปัญหาต่อไป รวมถึงวันที่ 23 ตุลาคมน่าจะเรียบร้อย เพราะรมว.กลาโหม จะลงนามบันทึกสรุปการประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ระหว่างรมว.กลาโหมไทยกับกัมพูชา

“ทั้งนี้ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ก็จะลงนาม ‘’ประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา’’ ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย และนายกรัฐมนตรีเขมร ในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่มาเลเซียวันที่ 25 ตุลาคม โดยมีนายโดนัลทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐและนายอันวาร์อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย รวมทั้งผู้นำชาติสมาชิกอื่นเป็นพยาน”นายสีหศักดิ์กล่าว

ย้ำในประกาศฯมีแผนทำ4เงื่อนไขไทย

และว่าสำหรับขั้นตอนภายหลังลงนาม ‘’ประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา’ เสร็จแล้วนั้น ในการลงนามประกาศความสัมพันธ์ฯ จะมีแผนดำเนินการแนบว่าหลังจากนี้ต้องมีการถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงการปราบปรามปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจะมีแผนการดำเนินการ และกรอบเวลาที่ชัดเจน ส่วนการแก้ปัญหาบ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ที่ชาวเขมรรุกล้ำแผ่นดินไทย คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) จะได้พูดคุยกันรายละเอียดให้ชัดเจน และดำเนินการแก้ไขต่อไป

JBCจบสำรวจหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว

อีกด้าน มีความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ ระหว่างวันที่ 21 – 22 ตุลาคม 2568ที่จ.จันทบุรี ซึ่งจบลงเป็นทางการ เมื่อเวลา 00.15 น. จากนั้นเวลา 00.50 น. นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ร่วมแถลงผลประชุม โดยนายประศาสน์กล่าวว่า การประชุมสองวันหารือกรณีบ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ใช้ระยะเวลาหารือนานที่สุด แต่ยังบอกรายละเอียดไม่ได้ จนกว่าจะเสนอรัฐบาล

“เบื้องต้นเห็นตรงกันว่า หลังจากนี้จะเข้าไปสำรวจบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว เพื่อวางตำแหน่งทั้งของไทยและกัมพูชาที่มีการอ้างสิทธิ เมื่อได้แนวพื้นที่ขั้นต้นมาแล้ว รัฐบาลจะตั้งผู้รับผิดชอบมาดูแล คาดใช้ระยะเวลา 6 สัปดาห์เพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัย อีกทั้งบางจุดยังเป็นพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิด” นายประศาสน์กล่าว และว่า การรุกล้ำพื้นที่บ้านคลองแผง อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ยังไม่ได้หารือครั้งนี้

เขมรบ่ายเบี่ยงไม่หารือสร้างรั้วชายแดน

ส่วนเรื่องการสร้างรั้วก้นเขตแดน นายประศาสน์กล่าวว่าที่ประชุมเสนอให้พิจารณาการสร้างรั้ว เพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดน ยาเสพติด แต่ผู้แทนฝ่ายเขมรระบุว่าไม่มีอำนาจหารือกรณีนี้ จึงนำประเด็นออกจากการหารือ แต่ไทยก็ได้อธิบายถึงความจำเป็น เพื่อให้ผู้แทนกัมพูชานำสารไปส่งต่อให้ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง

ด้านนายเบญจมินทร์กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เน้นเฉพาะเรื่องหลักเขตแดนกับภารกิจและอำนาจของเจบีซีและคณะกรรมาธิการจะต้องนำผลการเจรจาไปเสนอยังรัฐบาล ดังนั้นรายละเอียดรวมถึงเรื่องที่อาจไม่ได้อยู่ในกรอบเจบีซี กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจงในโอกาสถัดไป เพื่อป้องกันเกิดความเข้าใจผิด จากประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนในการเจรจารวมทั้งรักษาพลวัตที่ดีของการประชุม ที่จะนำไปสู่การลดทอนความตึงเครียดของสถานการณ์และการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต

เห็นชอบทำหลักเขตใหม่แทนชำรุด18จุด

สำหรับข้อตกลงร่วมในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) สมัยวิสามัญ วันที่ 21 - 22 ตุลาคม2568 มีรายละเอียดดังนี้ทั้งสองฝ่ายมอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม (Joint Technical Sub-Commission: JTSC) ดำเนินการสร้างหลักเขตแดนใหม่เพื่อทดแทนหลักเขตแดนเดิมที่ชำรุดหรือสูญหาย 15 หลัก ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันแล้ว ให้กลับคืนสู่ที่ตั้งและตำแหน่งเดิม

- ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดทำหลักเขตแดนเพื่อเปลี่ยนหรือทดแทนหลักเขตแดนเดิมที่จมน้ำ 3 หลัก โดยจะกำหนดตำแหน่งที่ตั้งใหม่ร่วมกันภายหลัง - ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้เร่งแก้ไข Terms of Reference 2003 (TOR 2003) เกี่ยวกับการจัดทำแผนที่ภาพถ่าย (Orthophoto Maps) เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น Light Detection and Ranging (LiDAR) มาใช้ทำแผนที่ภาพถ่าย เพื่อให้การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ - การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ระหว่างหลักเขตแดนที่ 42-47 บริเวณบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว

เร่งถกแผนสำรวจวางหมุดหลักเขต42-47

นายเบญจมินทร์กล่าวต่อว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงหารือเพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับคำแนะนำทางเทคนิค (Technical Instruction: TI) สำหรับการสำรวจและวางหมุดชั่วคราวในพื้นที่ภูมิประเทศที่เร่งด่วนบริเวณหลักเขตแดนที่ 42- 47เมื่อสำรวจและวางหมุดชั่วคราวเสร็จแล้ว จะนำผลสำรวจดังกล่าวเสนอรัฐบาลเพื่อขอความเห็นชอบ เพื่อกำหนดกลไกที่เหมาะสมสำหรับการปรับการถือครองที่ดินของทั้งสองฝ่ายต่อไป ทั้งนี้ การวางหมุดชั่วคราวนี้วัตถุประสงค์เพื่อสำรวจเท่านั้นไม่กระทบสิทธิของไทยและเขมรเรื่องเขตแดนทางบกตามกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงจะกำชับให้หน่วยงานท้องถิ่น ทั้งทหารและพลเรือน รับประกันความปลอดภัยให้ชุดสำรวจจากทุ่นระเบิด ตามข้อ 3 ของ MOU 2543 และเพื่อให้ชุดสำรวจปฏิบัติงานได้โดยปราศจากการขัดขวางและการยั่วยุที่อาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มเติมในบริเวณดังกล่าว อีกทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจัดประชุม JBC ครั้งต่อไปในสัปดาห์แรกเดือนมกราคม 2569 ที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top