วันพุธ ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568
“คนละครึ่ง”ยังยืนหนึ่ง สะท้อนคนไทยยังต้องการปากท้อง ให้เศรษฐกิจคึกคัก อย่าลืมใช้สิทธิ์
จากผลสำรวจจาก“สวนดุสิตโพล”เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 26 ตุลาคม ที่มีการเผยแพร่ เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของความรู้สึกและความคาดหวังของคนไทยต่อรัฐ ในยุคค่าครองชีพพุ่งสูง โดยเฉพาะพบว่า มีมากกว่าร้อยละ76.43 ของประชาชน เคยเข้าร่วมโครงการ“คนละครึ่ง”และพบอีกว่า มีถึงร้อยละ 69.31ระบุว่า ชื่นชอบมากที่สุด เมื่อเทียบกับ โครงการลดภาระค่าครองชีพอื่นๆ ตลอดช่วงหลายรัฐบาลที่ผ่านมา
โดยเฉพาะโครงการ‘คนละครึ่ง’ที่ได้มีการริเริ่มในสมัยรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและการบริโภคของประชาชนได้อย่างเห็นผล และ โครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ที่กำลังดำเนินโครงการอยู่ในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ประชาชนรอคอยและคาดหวังว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาให้กลับมาคึกคักได้อีกครั้ง
ความนิยมที่“คนละครึ่ง”ยังคงครองใจคนไทยได้ แม้เปลี่ยนรัฐบาล สะท้อนว่า นโยบายนี้“เข้าถึงได้จริง” และ“เห็นผลทันตา” เพราะประชาชนรู้สึกถึงผลลัพธ์โดยตรง มีเงินในกระเป๋าเพิ่ม กินได้ ซื้อได้ เดินตลาดได้ เป็นนโยบายที่จับต้องได้ทางอารมณ์ เพราะสร้างความรู้สึกว่า“รัฐยังไม่ทอดทิ้ง”ในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง เชื่อมโยงฐานเศรษฐกิจรากหญ้าและร้านค้ารายย่อย ทำให้ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น มีสภาพคล่องจริง เงินหมุนในระบบฐานราก ไม่หยุดอยู่ในเมืองใหญ่
มุมเศรษฐกิจ : ยาช่วยระยะสั้น แต่ยังไม่ใช่การรักษาโรค
แม้“คนละครึ่ง”จะช่วยให้ เศรษฐกิจฐานรากขยับตัวได้ในช่วงสั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเช่น รศ.ดร.เขมภัทท์ เย็นเปี่ยม อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิตโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
ชี้ให้เห็นว่า“นี่เป็นเพียงมาตรการเยียวยาระยะสั้น ไม่ใช่ทางออกเชิงโครงสร้าง”
เพราะในขณะที่ประชาชนพอใจที่รัฐช่วยแบ่งครึ่งค่าใช้จ่าย แต่ปัญหาต้นเหตุของค่าครองชีพสูง ยังไม่ถูกแก้ได้แก่ราคาพลังงานและต้นทุนการผลิตสูง ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคขยับขึ้นต่อเนื่อง หนี้ครัวเรือนพุ่งแตะระดับประวัติการณ์
ดังนั้น หากไม่มีการ“ควบคุมราคาสินค้าและต้นทุนหลัก” อย่างที่ประชาชน 61.9% เรียกร้อง ผลของ “คนละครึ่ง”หรือ“คนละครึ่งพลัส”ก็จะเป็นเพียง“การต่ออายุลมหายใจเศรษฐกิจ”ชั่วคราว ไม่ได้สร้างความยั่งยืนทางรายได้ หรือ กำลังซื้อในระยะยาว
มิติทางการเมือง :“ประชานิยม” ยังครองใจคนส่วนใหญ่
ผลสำรวจที่พบว่าร้อยละ 67.4 ของคนไทย เชื่อว่า พรรคที่มีนโยบายประชานิยม จะได้เปรียบในการเลือกตั้ง นี่คือสัญญาณชัดว่า“เศรษฐกิจปากท้อง”ยังคงเป็นปัจจัยตัดสินใจอันดับหนึ่งทางการเมือง
ในทางปฏิบัติ รัฐบาลชุดปัจจุบันของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ต่อยอดโครงการ“คนละครึ่งพลัส”จึงถูกจับตาอย่างมากว่าจะสามารถสร้าง“โมเมนตัมทางเศรษฐกิจ”ได้จริงหรือไม่ หลังจากเริ่มโครงการดังกล่าวในวันที่ 29 ตุลาคมนี้
หากโครงการดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีผลเชิงบวกต่อการหมุนเวียนเศรษฐกิจช่วงปลายปี2568โดยเฉพาในช่วงจับจ่ายปลายไตรมาส 4/2568 ก็อาจเป็น“จุดเปลี่ยนทางความนิยม”ของรัฐบาลชุดนี้ได้
ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจช่วงปลายปี2568
ระยะสั้น ภายใน 3 เดือนข้างหน้า คาดว่าการใช้จ่ายของประชาชนจะเพิ่มขึ้น 5–7%ในกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง ธุรกิจค้าปลีก ตลาดสด ร้านอาหารและร้านค้ารายย่อยจะได้รับผลบวกโดยตรง สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจจะดีขึ้นบางส่วน โดยเฉพาะในภูมิภาค
ระยะกลาง ช่วงต้นปี 2569 ผลของโครงการจะเริ่มชะลอตัว หากไม่มีมาตรการต่อเนื่อง หากรัฐไม่เร่งแก้ราคาพลังงานและค่าขนส่ง ผลของ“คนละครึ่งพลัส”จะถูกกลบด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น
ระยะยาว การพึ่งนโยบายประชานิยมอย่างเดียวไม่พอ ต้องมี“การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง”เช่นการเพิ่มรายได้ การลดภาษีผู้มีรายได้น้อยและการพัฒนาทักษะแรงงาน
“สวนดุสิตโพล”ครั้งนี้ เป็น เสียงเตือนจากประชาชนว่า รัฐบาลไม่สามารถละเลย เรื่องปากท้องได้ แม้วันเดียว“ประชาชนต้องการให้รัฐที่ลงมือเร็ว แต่สร้างผลลัพธ์ยั่งยืน” แม้“คนละครึ่ง”อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความหวัง แต่ความยั่งยืนต้องมาจากการ“ควบคุมต้นทุนสินค้า-พลังงาน”และ“เพิ่มรายได้ประชาชน” ไปพร้อมกัน
และท้ายนี้ สิ่งสำคัญ คนไทยทุกๆคน อย่าลืมเติมเงินใน‘เป๋าตัง’แล้ว ไปใช้สิทธิ์ของท่านในโครงการ ‘คนละครึ่ง’ในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ไปจนถึง 31 ธันวาคม 2568 นี้
เพราะ“เสียงของประชาชน”คือ พลังสำคัญที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและอนาคตของประเทศต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี