วันอังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
            
								วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ระบุว่า มาช่วยกันต่อจิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์การเมืองที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน (1)
จากประเด็นโต้แย้งในปัจจุบัน ทำให้เกิดการย้อนกลับไปอธิบายความในอดีต #ย้อนอดีตที่ไม่นาน
ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ และดีสำหรับคนรุ่นเก่าที่อาจลืมไปบ้างแล้ว
………….
จากการที่มีนิสิต คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ราว 4-5 คน (จำนวนมากน้อยไม่สำคัญ เท่ากับสาระและความจริงที่เรียกร้อง !) ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 ออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะต่อการสูญเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม พ.ศ. 2553
นายอภิสิทธิ์ได้ชวนนิสิตเหล่านั้นนั่งคุยกัน และอธิบายเรื่องราวที่และผลของกระบวนการยุติธรรมเกิดขึ้น
สื่อได้นำคลิปบทสนทนานั้นไปเผยแพร่ นำมาซึ่งการแสดงความคิดเห็นต่างๆ และมีการอธิบายความย้อนหลังไปถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา
การสูญเสียที่นิสิตออกมาเรียกร้องหาความรับผิดชอบ เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ในสมัยที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีเข้าควบคุมกระชับพื้นที่และสลายการชุมนุม
การชุมนุมเกิดขึ้นเพราะอะไร ?
การชุมนุมเกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรียุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้ง
ทำไมต้องเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้ง ?
เราคงต้องกลับไปดูความเป็นมาของการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
……………. 
ก่อนหน้าที่นายอภิสิทธิ์จะขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พรรคพลังประชาชน (เดิมคือ พรรคไทยรักไทยที่มีนายทักษิณเป็นหัวหน้าพรรค) เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่นายสมชาย จำต้องยุติบทบาทของตัวเองลง เพราะศาลรัฐธรรมนูญที่ได้ตัดสินยุบพรรคพลังประชาชนในวันที่ 2ธันวาคม 2552 โดยคดีสืบเนื่องมาจากวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551 คณะกรรมการ
เลือกตั้งมีมติด้วยเสียงข้างมากให้ใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เนื่องจากพบว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งที่จังหวัดเชียงราย และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย
ให้ยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย รวมทั้งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งต่อกรรมการบริหารพรรคมีกำหนด 5 ปี
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยข้างต้น สมาชิกพรรคชาติไทยได้ไปก่อตั้งพรรคชาติไทยพัฒนา ส่วนพรรคพลังประชาชนส่วนหนึ่งไปตั้งพรรคเพื่อไทย และส่วนหนึ่งคือกลุ่มเพื่อนเนวินกับพลพรรค
มัชฌิมาธิปไตยได้ไปตั้งพรรคภูมิใจไทย
การแยกตัวไปตั้งพรรคใหม่ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือ การพลิกขั้วจับมือทางการเมืองหันไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ส่งผลให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี
ตัวแปรที่สำคัญในการเปลี่ยนขั้วในครั้งนี้คือ กลุ่มเพื่อนเนวินที่ยังเจ็บแค้นเมื่อครั้งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายสมัคร สุนทรเวช จำต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยแก๊งออฟโฟร์ซึ่งหนึ่งใน
นั้นคือ นายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน ได้พยายามดันนายสมัครให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกรอบ
แต่ความพยายามดังกล่าวต้องสูญเปล่าเมื่อนายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรค (พลังประชาชน) ตัวจริงได้เคาะไปแล้วว่า ต้องการให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ตนสามารถควบคุมได้ มา
นั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้กลุ่มเพื่อนเนวินไม่พอใจเป็นอย่างมาก
กระแสความไม่พอใจต่อทักษิณ ที่ไม่สนับสนุนนายสมัครให้นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกสมัย ทำให้กลุ่มเพื่อนเนวินออกมาตั้งพรรคภูมิใจไทย และหันไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์
ปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดในช่วงของการเสนอชื่อผู้เป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้คือ พรรคเพื่อไทย (เดิมคือพรรคพลังประชาชนและไทยรักไทย)ในฐานะที่เป็นพรรคที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรมากที่สุดกลับไม่ยอมเสนอชื่อสนับสนุนหัวหน้าพรรคของตนเอง (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์) หรือบุคคลในพรรคของตนเพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่พรรคเพื่อไทยกลับเสนอชื่อสนับสนุน พล. ต. อ. ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน เพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ในที่สุด คะแนนเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 17 ธันวาคม 2551
หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองก็ได้ขับเคลื่อนมวลชนออกมาต่อต้านในทำนองเดียวกันกับที่พันธมิตรฯ ออกมาต่อต้านรัฐบาลนายสมัครและนายสมชาย
โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 31มกราคม 2552 กลุ่มคนเสื้อแดงได้เริ่มชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่ท้องสนามหลวงและยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ดังนี้
1. เร่งรัดดำเนินคดีอย่างจริงจังกับตัวแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
2. ปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายกษิต ภิรมย์ (ที่มีส่วนร่วมนำการชุมนุมประท้วงกับพันธมิตรฯ)
3. รับร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ (คปพร.) ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของ 35 องค์กร นำโดย นพ.เหวง โตจิราการ, นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และกลุ่มแนวร่วม
ประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) เก่า ทำการรวบรวมรายชื่อประชาชนซึ่ง คปพร.ระบุว่ารวบรวมได้กว่าสองแสนรายชื่อเมื่อเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2552 เพื่อประกอบในการยื่นญัตติ
แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ต่อประธานรัฐสภา และให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 แล้วนำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้
4. เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่แล้วให้ยุบสภา และให้เวลา 15 วันในการปฏิบัติ มิฉะนั้นจะชุมนุมยืดเยื้อ
การชุมนุมเรียกร้องและต่อต้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ของคนเสื้อแดงหรือ นปช. ได้เกิดขึ้นทั้งที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่กระจายไปตามจังหวัดต่างๆ ถือเป็นปรากฏการณ์
ใหม่ในการเมืองไทย
เพราะแต่เดิมการชุมนุมต่อต้านจะเกิดขึ้นในกรุงเทพ และส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนกรุงเทพฯ ที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล
ปรากฏการณ์ใหม่ของการชุมนุมที่กระจายไปตามต่างจังหวัดในปี พ.ศ. 2552 เป็นจุดเริ่มต้นและการส่งสัญญาณให้เห็นถึงวิกฤตการเมืองไทยที่เข้มข้นรุนแรงมากขึ้นกว่าในอดีต อันจะนำไปสู่การ
แบ่งพื้นที่ระหว่างขั้วขัดแย้งทางการเมืองที่จะเห็นได้ชัดขึ้นในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ เนื้อหาสาระของการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้พุ่งเป้าไปที่การชี้ให้เห็นถึงการใช้อำนาจและอิทธิพลของชนชั้นนำกลุ่มหนึ่งที่ต้องการสร้างข้อกล่าวหาต่อนายทักษิณว่าไม่จงรัก
ภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และมีเครือข่ายที่พยายามจะหาทางกำจัดนายทักษิณ
ซึ่งสาระดังกล่าวนี้มาจากการกล่าวผ่านวิดีโอลิงก์โดย ตัวนายทักษิณเองมายังผู้ชุมนุมในที่ต่างๆ และกล่าวชัดเจนว่า มี พล. อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีอยู่เบื้องหลัง รวมทั้งประธานองคมนตรี
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ด้วย
จะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังนายอภิสิทธิ์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ถูกเน้นไปที่ความขัดแย้งระหว่าง พ.ต.ท. ทักษิณ กับ ประธานองคมนตรีและองคมนตรี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี