วันพฤหัสบดี ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
‘ผบ.ตร.’ โอด. สตช. ถูกพายุโหมกระหน่ำขีดเส้นคำถูกโจมตีจากคนนอก กล่าวหา ‘องค์กรตำรวจ’ เป็นศูนย์รวมอาชญากรรมขนาดใหญ่ ซัด เป็นเรื่องรุนแรง ขอ ก้มหน้าทำงานตามนโยบาย ‘นายกฯ‘ แก้ปัญหาสแกมเมอร์พร้อมลงดาบไม่สนหน้าใคร
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 เวลา 11.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวในงานพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ถึงนโยบายแนวทางในการปราบปรามสแกมเมอร์ โดยกล่าวออกตัวในช่วงต้นว่า สื่อมวลชนคงจับจ้องว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะพูดอะไร เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ถูกพุ่งเป้า เป็นหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จากที่นายกฯได้ประกาศเป็นนโยบายการหลอกลวงโดยใช้เทคโนโลยีเป็นภัยคุกคาม สร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชน กระทั่งยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ และมีการลงนามความร่วมมือ 15 หน่วยงาน ตลอดเวลาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทำงาน
พล.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ข้าราชการทุกคนมุ่งมั่น เหน็ดเหนื่อยทุ่มเทสรรพกำลังกาย กำลังใจ รวมถึงความคิดในการช่วยกันทำงาน 2 มิติ คือ เรื่องนอกประเทศ เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย ขอยืนยันว่า ไทยไม่มีอาณาจักรที่เป็นฐานที่ตั้ง แต่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเรามีการประสานความร่วมมือกับตำรวจสากล สหประชาชาติ เกี่ยวกับการกระทำผิดที่เกี่ยวกับการหลอกลวง ทั้งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์ ที่มีความสัมพันธ์กัน และมีการยกระดับความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งไทยเป็นประเทศที่ต้องรองรับผู้หลบหนี และขอร้องให้นำตัวบุคคลเหล่านั้นกลับไปสอบสวน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดีในการประสานงานกับต่างประเทศ แต่ขึ้นอยู่กับว่าประเทศเหล่านั้นจะให้ความร่วมมือกับเรามากน้อยเพียงใด
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวอีกว่า จากการประชุมตำรวจอาเซียนตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย. มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล มีการพูดคุยถึงวิธีการคัดแยกเหยื่อ และผู้กระทำผิด นอกจากนี้ตั้งแต่ทำงานระหว่างประเทศ มีผลตอบรับเป็นอย่างดี แต่สิ่งต้องยอมรับมิติในประเทศ นั่นคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่แบ่งอำนาจหน้าที่ในการป้องกันและปราบปราม ได้ยกระดับความสำคัญผ่านการเสริมสร้างวัคซีน เพราะหากเน้นแต่การปราบปราม แต่ถ้าไม่ใส่วัคซีนให้ประชาชนก็จะถูกหลอกอยู่ซึ่งเราต้องพูดกันด้วยความจริง การแก้ไขที่ต้นเหตุองค์กรอาชญากรรมที่เกิดขึ้น มีองค์ประกอบการกระทำความผิด คือ คน รวมถึงสาย เสา ที่สามารถส่งสัญญาณผ่านสายไฟเบอร์ออปติก โดยมีการสั่งสำรวจเสาที่จะมีการปล่อยสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปยังต่างประเทศ ต้องทำลายทั้งหมดไม่ต้องสนใครทั้งนั้นถือเป็นการทำลายแขนขา หากทำได้ตนมั่นใจว่า จะสามารถแก้ไขปัญหานี้
ขณะเดียวกันยังสั่งให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเข้า (ตม.) คัดแยกผู้ที่เข้าออกในกลุ่มที่ผิดปกติ ตนอยากถามว่า มีใครทำเหมือนตนหรือไม่ ก่อนที่จะตั้งทีมชุดปฏิบัติการสืบสวน ซึ่งตนจะเป็นผู้กำกับดูแลเอง ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลของคนก็จะสามารถตัดวงจรของกระบวนการได้
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ในทุกองค์กรมีทั้งคนดี และคนไม่ดี ตำรวจที่ไม่ดี ขอยืนยันต่อสื่อมวลชนและทุกคนว่า ถ้าปรากฏข้อมูลไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือผู้ใด จะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ไม่มีการช่วยเหลืออย่างแน่นอน ถือเป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นเรื่องที่บั่นทอนความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างยิ่ง
“ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราถูกพายุโหมกระหน่ำ โจมตีเรื่องภาพลักษณ์ที่ถูกกล่าวหาจากบุคคลภายนอก ผมขอย้ำว่า จากบุคคลภายนอกที่กล่าวหาว่าตำรวจเป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ในประเทศไทย ขีดเส้นใต้องค์กรนั่นหมายความว่าเป็นการกล่าวหาตำรวจทั้งประเทศ และเป็นการกล่าวหาสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่รุนแรงมาก รู้สึกอย่างไรเจ็บปวด ผมอดทน ตั้งสติ และทำงานมาจากการถูกโจมตีมาโดยตลอด แต่การกล่าวหาอย่างรุนแรงเช่นนี้ ผมเชื่อว่า ตำรวจทั้งประเทศรับไม่ได้ จะกล่าวหากันอย่างไรก็ว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้คำมั่นสัญญากับท่านนายกฯว่าจะมุ่งมั่นทำงาน ก้มหน้าก้มตาและจะปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจนี้ให้บังเกิดผลตามนโยบายของรัฐบาล และความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี