‘บิ๊กเล็ก’ยันมีแต่หนุนให้จบ  ไม่เคยโทรสั่ง‘บิ๊กกุ้ง’หยุดยิง

‘บิ๊กเล็ก’ยันมีแต่หนุนให้จบ ไม่เคยโทรสั่ง‘บิ๊กกุ้ง’หยุดยิง

วันจันทร์ ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

เพจ “วาสนา นาน่วม” เผยเบื้องลึกความมั่นคงระบุ “บิ๊กเล็ก” ยันไม่เคยโทรสั่ง “แม่ทัพกุ้ง” หยุดยิง ตอนปะทะเขมรวันแรก ผ่านไป 6 ชม. ยังมีคนสงสัย ยันมีแต่หนุนกองทัพจัดให้จบ อีกทั้งยังหนุน“บิ๊กกุ้ง” เอาปราสาทตาควายคืนให้ได้ก่อนเกษียณด้วยซ้ำ แต่จังหวะไม่อำนวย ขณะที่‘ที่ปรึกษา รมว.กลาโหม’โพสต์‘แจงใครสั่งหยุดยิง’ เปิดบทสนทนาถาม‘บิ๊กเล็ก’โทร.คุย‘แม่ทัพกุ้ง’หรือไม่ เจ้าตัวสาบานไม่เคยสั่งการ

ความคืบหน้ากรณีพล.ท.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบกให้สัมภาษณ์น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก ที่ปฐมโศกช่วงหนึ่งถึงถึงเหตุปะทะกับทหารกัมพูชา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมาว่า มีคำสั่งให้หยุดตั้งแต่ 6 ชั่วโมงแรก แต่พล.ท.บุญสินไม่ยอม พร้อมระบุด้วยว่า ถ้าหยุดจะเปิดเผยใครสั่ง โทษถึงประหารตามที่เป็นข่าวนั้น


ที่ปรึกษารมว.กห.โพสต์แจงใครสั่งหยุดยิง

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน นายวันวิชิต บุญโปร่ง ที่ปรึกษา รมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า... ใครสั่งหยุดยิง พร้อมระบุขอชี้แจงตรงนี้ที่นี่ครั้งเดียวถึงเรื่องราว และคำถามว่าเหตุผลใด ตนจึงมารับตำแหน่งที่ปรึกษา รมว.กลาโหม และตอนนี้กำลังขบวนการตัดต่อคลิป พยายามบ่งชี้ว่า “ใครสั่งแม่ทัพกุ้งหยุดยิง” แน่นอนมันเป็นการดิสเครดิตตัว ทำให้ดูเหมือนว่ารัฐมนตรีกลาโหมเกี่ยวข้อง

โดยตอนแรก นายวันวิชิตได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ตนกับพลเอกณัฐพล ก่อนจะรับปากมาเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี นอกจากนี้ นายวันวิชิตยังเปิดบทสนทนาระหว่างตัวเองกับพล.อ.ณัฐพลด้วย ซึ่งนายวันวิชิตได้ถามพล.อ.ณัฐพลว่า การเจรจาหยุดยิงเที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคมได้โทรไปหาบิ๊กกุ้งหรือไม่ พลเอกณัฐพลตอบว่า ตอบย์จริงๆนะ สาบาน ไม่เคยโทรไป หรือสั่งการใดๆกับกุ้ง หรือแม้แต่ ผบ.ทบ. เลย พี่เป็นทหารทำไมจะไม่รู้ ซึ่งนายวันวิชิตถามต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้นเป็นคุณ….ใช่มั้ยครับ”พลเอกณัฐพลตอบว่า “พี่ไม่ก้าวล่วง และเข้าไม่ถึง…ด้วย” นายวันวิชิตจึงกล่าวต่อว่า “ผมน่าจะเข้าใจแล้วว่าใคร ขอคิดเองคนเดียว ถ้าเป็นอย่างนี้ผมยินดีเข้าร่วมทำงานกับพี่”

นายวันวิชิตยังโพสต์ต่อไปด้วยว่า พลเอกณัฐพลยังบอกกับตนว่า ขออย่างเดียว อย่าอวยหรือแก้ต่างให้พี่ ขอแค่ช่วยเอาความจริงมาบอกประชาชน ตัวพลเอกณัฐพลพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ ซึ่งในวันที่ตนตอบรับตำแหน่ง พี่ๆ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ติดตาม หรือใกล้ชิดกับแม่ทัพกุ้ง ต่างบอกว่า “ดีแล้ว อาจารย์จะช่วยพี่เล็กได้มาก ช่วยกันคนละไม้คนล่ะมือ คนเข้าใจพี่เล็กผิดไปมาก และชอบเสี้ยมให้ขัดแย้งกับพี่กุ้ง” ไม่มีเลยครับ ทหารสักนายมาห้ามผม หรือห่วงใยว่าอย่าเข้าไปเลย

“ผมยืนยันไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลย ผมเองสมัยหนึ่งยังเคยวิจารณ์ให้คุณสุทิน คลังแสง เป็น รมว.กลาโหมต่อไป เลย ให้พลเอกณัฐพล รอก่อน เพราะอยากให้พลเรือนสามารถทำงานกับกองทัพได้”นายวันวิชิตกล่าว

ทนไม่ได้ใส่ร้ายคนทำงานจงรักภักดีว่าขายชาติ

และว่า คนมักกล่าวหาใส่ความอย่างมีอคติว่าท่านเป็นสปาย เป็นไส้ศึก ตนบอกว่าถ้าคิดอย่างนี้ทั้งกองทัพไทย ก็เป็นไส้ศึกกันหมด ผู้บัญชาการทหารสูงสุดท่านปัจจุบัน เติบโตมาจากกรมยุทธการทหารบก ตามรอยพล.อ.ณัฐพลมาเลย หรือเสนาธิการทหารบกเป็นเพื่อนรักสนิทสนมกับผบ.ทบ.มาก ท่านยังเป็นน้องรักกับรมว.กลาโหม ถ้ามีมูลเชื้อความหวาดระแวงกันอย่างนี้ พลเอกณัฐพล ไม่น่าจะได้รับการยอมรับจากน้องๆ ในกองทัพ ถ้าคนติดตามข่าวสารการเมืองการทหารมายาวนาน ถ้า ใครมีชื่อถูกเสนอมาเป็น รัฐมนตรีกลาโหม ถ้า ผบ.ทบ. ไม่เอาด้วย ก็ไปต่อยาก

นายวันวิชิตกล่าวอีกว่า เมื่อตนมีโอกาสติดตาม รมว.กลาโหม อาทิ ไปเยี่ยมทหารจากการสู้รบ ไทย-กัมพูชา ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ตัวพล.อ.ณัฐพลไม่อยากให้ลงข่าว กังวลจะมีคนกล่าวหาว่าสร้างภาพ ตนและทีมงานขอร้องและบังคับให้ลงภาพ ลงข่าว จะได้กระทุ้งไปยังส่วนการเมือง พรรคการเมืองให้เข้าใจทหารมากขึ้น ที่เค้าทำเพื่อประเทศ ราชบัลลังก์ และประชาชน ทุกวันนี้ รมต. ยังไปดอดเยี่ยมทหารชายแดน พาผมไปเยี่ยมทหารเกณฑ์เค้ามีชีวิตกันอย่างไร ไม่เคยหยุดเสาร์-อาทิตย์

นายวันวิชิตกล่าวตอนท้ายด้วยว่า นี่คือที่มาความจริงทุกประการ แต่ตนทนไม่ได้ขบวนการชี้หน้าใส่ร้ายว่าขายชาติ ใส่คนที่ทำงานด้วยความจงรักภักดี ไม่ปริปากบอกใคร ตนทนไม่ได้จำเป็นต้องชี้แจง ถ้าตนอยู่นิ่งเฉย ไม่ออกมาชี้แจงอะไรบ้าง ตนก็ไม่ควรสอนหนังสือใครได้แล้ว

บิ๊กเล็กยันไม่เคยโทรสั่งแม่ทัพกุ้งหยุดยิง

ด้านวาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊กWassana  Nanuamเปิดเบื้องลึกความมั่นคง โดยระบุข้อความว่า “บิ๊กเล็ก”ยัน ไม่เคยโทรสั่ง “แม่ทัพกุ้ง”หยุดยิง ตอนปะทะเขมรวันแรก ผ่านไป6 ชม. อย่างที่สงสัยกันเผย มีแต่หนุนกองทัพ จัดให้จบแถม ยังเคยหนุน “แม่ทัพกุ้ง”ให้เอาคืน ปราสาทตาควาย คืนให้ได้ก่อนเกษียณ ด้วยซ้ำแต่จังหวะเวลานั้น อาจไม่เอื้ออำนวย 

พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม ในเวลานั้นเป็นรมช.กลาโหม และรักษาการรมว.กลาโหม ชี้เแจงว่า ไม่ทราบว่าหมายถึงใคร แต่ตนไม่เคย โทรไปสั่งแบบนั้นเลย เพราะตอนนั้น เราเข้าใจสถานการณ์ดีว่า มันจำเป็นที่ต้องจัดการให้เด็ดขาด เรามีแต่สนับสนุน ในฐานะกองหลัง ให้จัดการเต็มที่ เอาให้จบ ไม่เคยไปขัดขวาง หรือสั่งหยุดยิงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ต่อมาตนยังสนับสนุนให้แม่ทัพกุ้ง ทวงคืนปราสาทตาควายให้ได้ก่อนเกษียณด้วยซ้ำ ตอนนั้นคุยกันมี ผบ.ทบ.อยู่ด้วย เพราะกองทัพก็หาจังหวะที่เหมาะสม อยู่ เพราะตอนนั้น เดือนกันยายนแต่ที่สุด สถานการณ์ก็ไม่เอื้ออำนวยดังนั้น มาตอนนี้ ตนจึงตั้งใจ ที่จะทวงคืนประสาทตาควายให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด แต่อย่างที่บอกว่าต้องใช้สันติวิธีก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาหรือการปักปันเขตแดน แต่หากไม่สำเร็จ ตนก็ไม่ปฏิเสธ เรื่องของการใช้กำลัง

เปิดแผน5ขั้นลุยสร้างรั้วชายแดน

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการสร้างรั้วชายแดน พื้นที่หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี (ฉก.นย.จันทบุรี) ในการกำกับดูแลของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) กระทรวงการต่างประเทศ ทั้งสองฝ่ายโดยฝ่ายไทย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย หัวหน้าคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ได้ลงนามและฝ่ายกัมพูชาพิจารณารับรองเอกสารทางเทคนิค (Technical Instruction: TI)

สำหรับการสำรวจและติดตั้งหลักเขตแดนชั่วคราวระหว่างหลักเขตที่ 52–59 ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 1-2 เรียบร้อยแล้ว ในขั้นต่อไปจะดำเนินการขั้นที่ 3 คือสำรวจแนวเขตและปักหลักเขตชั่วคราว โดยนัดฝ่ายกัมพูชามาดำเนินการเร็ววันนี้

โดยขั้นที่ 1 รับรองกรอบอำนาจตามอนุสัญญาชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ชายแดนจังหวัด จันทบุรี-ตราด โดยต้องเห็นชอบยืนยันว่าพื้นที่หลักเขต 52–59 เป็น “แนวเขตที่ตกลงร่วมแล้ว (Agreed Boundary Line)”โดยเจบีซีมีมติหรือออก “หนังสืออนุมัติหลักการ” ให้สามารถก่อสร้างรั้วในแนวเส้นดังกล่าวได้ พร้อมแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการด้านเทคนิค (Technical Sub-Committee)” เพื่อควบคุมงานระดับปฏิบัติ

ขั้นที่ 2 ให้ทั้งสองฝ่ายจัดทำข้อตกลงทางเทคนิค (Technical Instruction – TI) ฉบับปรับแก้ โดยมีกรมแผนที่ทหาร พร้อมคณะสำรวจร่วมไทย–กัมพูชา โดยนำ TI ฉบับเดิม (ที่คณะสำรวจลงนามแล้ว) มาปรับข้อความให้ชัดเจนว่า การสำรวจและปักหลักชั่วคราวเป็นเพียงเพื่อวางแนวรั้วตามเส้นตรงระหว่างหลักเขตที่ตกลงแล้วเท่านั้น

ขั้นที่ 3 เป็นการสำรวจแนวเขตและปักหลักเขตชั่วคราว โดยชุดสำรวจร่วมไทย–กัมพูชา ใช้เครื่องมือรังวัดสัญญาณดาวเทียม GPS/GNSS เทคนิค RTK และ Total Station เพื่อยืนยันแนวเขตแดนที่เป็นเส้นตรง ระหว่างหลักเขตแดนที่ 52–59 พร้อมปักหมุดชั่วคราว (Temporary Markers)” ทุกระยะ 50–100 เมตร เพื่อใช้เป็นแนวอ้างอิงแนวเขตแดน

การบินถ่ายภาพทางอากาศด้วยอากาศยานไร้คนขับ(Drone) เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบจัดทำแผนผัง พร้อมทั้งการจัดทำแผนผังสนาม ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลตำแหน่งหลักเขตแดนที่ 52-59 ตำแหน่งหมุดชั่วคราว และข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ ตามมาตราส่วนที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน จากนั้นให้จัดทำรายงานผลการสำรวจและปักหมุดชั่วคราว ระหว่างหลักเขตแดนที่ 52-59 พร้อมทั้งแผนผังสนาม และบัญชีค่าพิกัดหมุดชั่วคราวระหว่างหลัก 52-59 จากนั้นให้จัดทำรายงานผลให้ OG JTSC และ JBC พิจารณาและรับรอง

สำหรับ“แนวเขตจริงในภาคสนาม” ที่ผ่านการยอมรับจากทั้งสองประเทศ แนวเขตแดนมีความชัดเจน ลดปัญหาการเผชิญหน้าของกองกำลังทั้งสองฝ่าย และใช้เป็นแนวอ้างอิงในการสร้างรั้ว ซึ่งขณะนี้ทั้งไทยและกัมพูชาเดินมาถึงขั้นตอนที่ 3 ในการเดินสำรวจและปักหมุดพร้อมกัน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 10-15 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ในแต่และหลักเขต บางพื้นที่เป็นพื้นที่ราบ บางพื้นที่เป็นพื้นที่สูง และยังต้องคอยระวังเรื่องทุ่นระเบิดที่อาจหลงเหลืออยู่ในพื้นที่อีก จึงต้องมีหน่วยทหารช่างของทั้งสองประเทศเป็นผู้กุยทางในการปักหมุดก่อน

จากนั้นเป็นขั้นที่ 4 เป็นการจัดทำและลงนาม “บันทึกข้อตกลงการก่อสร้างรั้ว (MOU on Border Fence Construction) โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบ อาทิ กระทรวงกลาโหม / กองทัพเรือ / JBC ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งต้องนำข้อมูลที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบทั้งหมดจากขั้นตอนที่ 1-3 มาจัดทำร่าง MOU กำหนดเพื่อป้องกันการลักลอบ การตัดไม้ การลำเลียงผิดกฎหมาย“รั้วควบคุมการผ่านแดน” ไม่ใช่“เส้นเขตแดนใหม่”

สำหรับการบำรุงรักษารั่ว ต้องดูแลร่วมกันโดยคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ทำเสนอผ่านกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ JBC รับรองก่อนลงนามจริง จากนั้นทำเป็นเอกสารข้อตกลงระดับรัฐต่อรัฐ (MOU) รับรองการสร้างรั้ว ปฏิบัติการได้ถูกต้องตามอนุสัญญาชายแดน 1907 และ MOU ปี 2000

ขั้นที่ 5 ดำเนินการก่อสร้างและตรวจรับร่วม ในพื้นที่ชายแดนจันทบุรี-ตราด หน่วยรับผิดชอบหลักกองทัพเรือ (กปช.จต./หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี / หน่วยก่อสร้างร่วมไทย–กัมพูชา) รั้วชายแดนถูกสร้างอย่างถูกต้องตามขั้นตอนทางกฎหมายปลอดภัยและได้รับการยอมรับจากทั้งสองประเทศ

มทภ.2เร่งสร้างหลุมหลบภัยใน4จว.

พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ตนลงพื้นที่ตรวจติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างฐานที่มั่นกำบัง (หลุมบุคคลคู่) ภายใต้โครงการ “กองทุนหทัยทิพย์” ของมูลนิธิจุฬาภรณ์ ที่ฐานปฏิบัติการแดนไกล ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี หลังจากเกิดสถานการณ์การปะทะในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งก่อนหน้านี้กำลังพลไทยประสบความเสี่ยงเนื่องจากไม่มีที่กำบัง ทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการถูกโดรนโจมตี

พล.ท.วีระยุทธกล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือของกองทัพภาคที่ 2 และกองกำลังสุรนารี มีเป้าหมายเสริมสร้างความปลอดภัยให้กำลังพล และประชาชนที่อาศัยตามแนวชายแดน โดยปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้าง หลุมบุคคลคู่ 256 แห่ง และหลุมหลบภัยสำหรับประชาชน 7 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์และบุรีรัมย์ โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ ได้รับรายงานความคืบหน้าจาก พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผบ.กกล.สุรนารี, พล.ต.กิติศักดิ์ ถารวร ผู้บัญชาการกองพลพัฒนา 2 และ พ.อ.คุณนิธ สิทธิชัยกานต์ ผู้บังคับการช่างที่ 2 พัน 202 ซึ่งเป็นหน่วยหลักในการดำเนินการก่อสร้าง ถึงความคืบหน้าในการก่อสร้างทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 2 เน้นย้ำว่าการสร้างฐานที่มั่นกำบังในพื้นที่เสี่ยง หรือบังเกอร์มีความสำคัญในการปกป้องชีวิตนักรบชายแดน พร้อมขอบคุณทุกภาคส่วนที่สนับสนุนโครงการกองทุนหทัยทิพย์ ที่ช่วยให้กำลังพลปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจมากขึ้น

แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวย้ำว่า ไทยนี้รักสงบ แต่หากจำเป็นต้องปกป้องอธิปไตย เราก็พร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังสำหรับโครงการก่อสร้างหลุมบุคคลและหลุมหลบภัยยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง เพื่อสร้างความพร้อมและความปลอดภัยสูงสุดให้กับทั้งกำลังพลและประชาชนในพื้นที่แนวชายแดนไทย–กัมพูชา

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top