วันอังคาร ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
‘หนู’ลั่นเชือดแน่
ถ้าคนในรบ.เอี่ยวสแกมเมอร์
นายกฯ อนุทิน แถลงปราบอาชญากรรมไซเบอร์ ลั่นพร้อมรับผิดชอบ ถ้ามีคนในรัฐบาล-นักการเมืองเอี่ยว ชี้เคลียร์ไม่ได้-ไม่ยกเว้น ยันไทยไม่ใช่“ศูนย์กลางสแกมเมอร์” เดินหน้าลุยปราบจับกุมกว่า 7,000 คดี พร้อมคืนเงินผู้เสียหายต่อเนื่อง
เมื่อเวลา 11.05 น. วันที่ 10 พ.ย. 68 ที่ห้องประชุมแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรม ตม. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานการแถลงข่าวการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้ชื่อ รวมพลังคนไทย ต้านภัยสแกมเมอร์ (United Thailand Against Scammers) โดยมีพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วยรอง ผบ.ตร. และผู้บริหารระดับสูงและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมงาน โดยนายกฯ ได้รับฟังรายงานการดำเนินปราบปรามสแกมเมอร์ และเยี่ยมชมบูธต่างๆภายใน
โดยนายกฯกล่าวว่า เป็นการแสดงจุดยืนร่วมกันว่าทุกภาคส่วนของประเทศไทย จะเป็นพลังร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมสแกมเมอร์ให้หมดไปจากชีวิตคนไทย อาชญากรรมทางเทคโนโยลีที่เราเผชิญอยู่ เป็นภัยที่สร้างความเดือดร้อนกับประชาชนทุกระดับ ไม่ว่าคนทำงาน แม่ค้าออนไลน์ ชาวบ้าน เยาวชนและผู้สูงอายุที่รับโทรศัพท์ผิดสายหรือไว้ใจคนแปลกหน้าที่แทรกตัวเข้ามาได้ถึงทุกพื้นที่ในบ้านของประชาชน ความเดือดร้อนนี้มาถึงพวกเรา ที่จะต้องเร่งปราบปรามป้องกัน และต้องทนต่อคำพิพากษากิการต่างๆนานา
เราต้องไม่ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตัวที่ทำให้เรามีกำลังใจลดลง แต่ตรงกันข้ามต้องถือเป็นยาชูกำลังที่จะเร่งทำให้ความเดือดร้อนเหล่านี้สูญสิ้นไปจากประชาชนให้ได้ ความเสียหายจากสแกมเมอร์ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของประชาชน ของประเทศ ระบบเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และเป็นตัวชี้วัดสำคัญของรัฐบาล รัฐบาลจึงได้ประกาศสงครามกับสแกมเมอร์ และเป็นวาระแห่งชาติ วันนี้ตนได้ใช้โอกาสนี้มารายงานความคืบหน้าและเน้นย้ำสิ่งที่เราต้องร่วมกันทำต่อไป
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีตนเป็นประธาน เพื่อให้ทุกหน่วยงานทำงานไปในทิศทางเดียวกันและมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ 15 หน่วยงาน รวมถึงสถาบันการเงินเพื่ออุดช่องโหว่เส้นทางการเงิน และตัดเส้นทางขบวนการเหล่านี้ให้สิ้นซาก เราเปลี่ยนจากการตั้งรับ มาเป็นการรุกไล่และผลงานของเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างชัดเจน ที่ผ่านมาเราได้อายัดทรัพย์สินเป็นจำนวนเงินหลาย 10,000 ล้านบาท เพิกถอนวีซ่า และผลักดันผู้กระทำผิดชาวต่างชาติให้ออกนอกประเทศ ตลอดจนเพิกถอนสัญชาติ และที่สำคัญ เรากำจัดบัญชีม้าไปได้แล้วเป็นจำนวนมากทั้งหมดที่นี่คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
“ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมทราบดีว่าพี่น้องประชาชนยังมีคำถาม และบางคนอาจตั้งข้อสงสัยว่า ในเครือข่ายอาชญากรรมเช่นนี้ มีคนของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ผมขอเรียนให้ทุกท่านได้รับทราบว่า รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ และรับฟังทุกเสียงสะท้อนที่เกิดขึ้น พร้อมกำชับให้ผู้บังคับบัญชาของทุกหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่ในภารกิจนี้ และขอความร่วมมือว่า หากท่านใดมีข้อมูลว่ามีนักการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปพัวพัน ขอให้ส่งข้อมูลถึงผู้บังคับบัญชาในหน่วยงาน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการเรื่องนี้โดยตรง แต่ในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาลและเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบสูงสุด อย่างที่ผมเรียนเรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้ เรื่องนี้ทำงานดูจากพฤติกรรมพฤติการณ์ และความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ ไม่ดูชื่อ ถ้าชื่อคนไหนโผล่มา ก็คนนั้นที่จะต้องถูกดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดและเด็ดขาด ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาล จะให้ความคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสอย่างเต็มที่และอยากจะขอย้ำให้แจ้ง ในช่องทางที่มีอำนาจหน้าที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องตามกฎหมาย“ นายกฯ กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า เราต้องรวมพลังกันบอกเล่าเรื่องราวให้ความรู้ความเข้าใจกับสังคมเกี่ยวกับกลยุทธ์การล่อลวงต่างๆ ของสแกมเมอร์ เพราะอาจอาชญากรเหล่านี้ จะใช้ความไม่รู้ความไม่เข้าใจของเราเป็นอาวุธ และวิธีที่จะสู้ได้ดีที่สุดคือ ทำให้ประชาชนรู้เท่าทัน วันนี้ตนขอให้ประชาชนยึดหลัก 3 ข้อคือ ไม่เชื่อ ไม่รีบ และไม่โอน ซึ่งจะช่วยให้เรามีสติพิจารณาอย่างรอบคอบ และจะป้องกันการถูกล่อลวงได้ สังเกตง่ายๆ หากผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ มีการส่งลิ้งค์ให้ท่านกรอกข้อมูลส่วนตัวและยืนยันตัวตน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า กำลังเจอมิจฉาชีพแล้ว เมื่อเขาได้ข้อมูลยืนยันตัวตนจากท่าน เขาก็สามารถเข้าไปในแอพของธนาคาร เพื่อดำเนินการโอนเงินออกจากบัญชีของท่านได้ นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น จึงขอให้รับฟังข่าวสารและช่วยกันเตือนคนใกล้ตัวให้ระวังการถูกล่อลวง ก็จะเป็นการช่วยป้องกันให้พ้นจากภัยร้ายจากของสังคมนี้ได้
นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลจะเดินหน้ารณรงค์อย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่และดำเนินการในทุกวิถีทางทุกช่องทาง เพื่อให้คนไทยทุกวัยรู้ทันสแกมเมอร์ และปกป้องตัวเองได้ต้องขอขอบพระคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อปกป้องประชาชนให้ปลอดภัย และทุกแพลตฟอร์มที่เผยแพร่ข่าวสารให้ประชาชนได้รู้ได้เข้าใจ ขอเป็นกำลังใจให้กับ ผบ.ตร. ผู้บริหาร ตร.ทุกๆท่าน ตนทราบดีว่า ท่านตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ทุ่มเทเสียสละ เพราะท่านตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชน การที่นำประชาชน มารับเงินที่ถูกหลอกคืน ถือเป็นขวัญกำลังใจ และเป็นสิ่งที่เราจะต้องดำเนินการต่อไปจนอาชญากรรมเหล่านี้ไม่สามารถทำร้ายประชาชนของเราต่อไปได้
“ผมเข้าใจดีสิ่งที่ประเทศไทยได้ทำคือ เราเป็นศัตรูกับสแกมเมอร์อย่างชัดเจน เพราะเราไม่มีศูนย์กลาง ไม่มีเซ็นเตอร์อยู่ในประเทศของเรา เซ็นเตอร์เหล่านี้อยู่รอบๆ ประเทศของเรา เพราะว่าการบังคับใช้กฎหมาย วิธีการปกครองไม่เหมือนกัน ในประเทศไทยไม่มี นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าในประเทศไทยนั้น ผู้รักษากฎหมายไม่ยินยอมให้เกิดการดำเนินการของสแกมเมอร์อย่างเป็นรูปธรรมได้ แต่สิ่งที่เราต้องทำคือ การแสวงหาความร่วมมือต่างๆ การกดดันถ้ามีความจำเป็นต่อประเทศที่ให้สแกมเมอร์ อาชญากรเหล่านี้ใช้พื้นที่ของเขาเป็นศูนย์กลางดำเนินการอยู่ ซึ่งรัฐบาลยินดีที่จะสนับสนุนภารกิจของท่านในทุกวิถีทาง“ นายกฯ กล่าว
นายอนุทิน ต้องขอขอบคุณเครือข่ายจากนานาชาติที่ให้ความร่วมมือกับพวกเรา เครือข่ายภาคเอกชน ที่ให้บริการในเรื่องสัญญาณโทรคมนาคมต่างๆ ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญในการให้คนเหล่านี้ได้ดำเนินการผิดกฎหมาย เราคงจะต้อ ขอความร่วมมือไปยังช่องทางทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก ติ๊กต๊อก วอทแอป และแอพพลิเคชั่นอื่นๆ เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่สแกมเมอร์ใช้เป็นช่องทางในการที่จะติดต่อกับประชาชนแล้วก็จะต้องดำเนินการปิดทุกช่องทาง และมั่นใจว่า ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ในสิ่งที่ถูก ที่ชอบ ที่ควร และถูกต้องตามกฎหมาย
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีการสรุปผลการปฏิบัติในช่วงระดมกวาดล้างล่าสุดห้วงวันที่ 27 ตุลาคม – 8 พฤศจิกายน 2568 (รวม 13 วัน) สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีรวม 7,044 คดี ผู้ต้องหา 7,174 คน
ผลการปฏิบัติที่สำคัญคือการดำเนินการติดตามเงินคืนให้กับผู้เสียหาย (Money Cash Back) โดยติดตามเงินคืนได้รวม 234 ราย และจับกุมผู้ต้องหาได้ 224 คน ซึ่งในวันนี้มีผู้เสียหายเดินทางมารับเงินคืนในงานแถลงข่าวรวม 31 ราย เป็นเงินรวม 14,604,248 บาท โดยนับตั้งแต่เริ่มโครงการ (กุมภาพันธ์ 2568 - ปัจจุบัน) สามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้แล้ว 322 ราย เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 312,014,202.15 บาท
ในส่วนของการปราบปรามการพนันออนไลน์และสื่อผิดกฎหมาย ตำรวจได้สืบสวนจับกุมเว็บไซต์ แพลตฟอร์ม และผู้โฆษณาชักชวน โดยเฉพาะอินฟูลเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง โดยห้วงวันที่ 1 – 8 พฤศจิกายน 2568 จับกุมผู้จัดให้มีการเล่นและผู้โฆษณาชักชวนบนสื่อออนไลน์ ได้ 22 ราย ผู้ต้องหา 27 คน ซึ่งในภาพรวมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 8 พฤศจิกายน 2568 ได้จับกุมเครือข่ายการพนันออนไลน์รายใหญ่ 26 ราย ผู้ต้องหา 196 คน ตรวจยึดทรัพย์สิน 41,720,000 บาท
นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอปิดกั้นเว็บไซต์การพนันออนไลน์รวม 38,394 URL และปิดแพลตฟอร์มการพนันออนไลน์และที่ผิดกฎหมายอื่น ๆ (Facebook/YouTube/X/TikTok/Line) รวม 8,802 ครั้ง ในห้วงวันที่ 1 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน 2568
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี