วันศุกร์ ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
"รุจิระ บุนนาค" ชี้ "ก.ม.คุมเหล้า" กระทบเศรษฐกิจ 6 แสนล้าน "รายเล็กถูกปรับ-รายใหญ่สบาย"
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 รุจิระ บุนนาค เจ้าของคอลัมนิสต์ "กฎ กติกา ธุรกิจ" ของหนังสือพิมพ์แนวหน้า ได้เขียนคอลัมนิสต์ในหัวข้อ "ก.ม.ควบคุมดื่มแอลกอฮอล์ กับผลกระทบทางเศรษฐกิจ" โดยชี้พิรุธกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ หลังมีผลบังคับใช้ 8 พ.ย.68 สร้างความตื่นตัวและวิจารณ์สนั่น เมื่อออสเตรเลียเป็นชาติแรกที่เตือนพลเมืองตนเองที่จะมาเที่ยวไทย ประเด็นร้อนคือ "ข้อห้ามดื่ม" ใหม่ ที่ปรับลูกค้า-ร้านอาหารทั่วไป 10,000 บาท หากดื่มเกินเวลา ขณะที่ "สถานบริการ-โรงแรม-สนามบิน" ยังขายได้ตามปกติ TDRI ประเมินผลกระทบมูลค่าเศรษฐกิจสูงถึง 6 แสนล้านบาท รัฐบาลรับลูกเตรียมทบทวนเวลาขาย หวังให้กฎหมายสอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน (คลิกอ่านต้นฉบับ)
ก.ม.ควบคุมดื่มแอลกอฮอล์ กับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ฉบับใหม่ล่าสุด มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ได้มีผู้วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วไป
ข้อกำหนดที่สำคัญคือ ห้ามจำหน่ายสุราในเวลา 14.00-17.00 น. และ 00.00-11.00 น.(เป็นข้อกำหนดที่มีอยู่เดิม) และห้ามดื่มในเวลาที่ห้ามขายดังกล่าวหากฝ่าฝืนมีโทษปรับ 10,000 บาท (เป็นข้อกำหนดใหม่)
ผลบังคับของกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่นี้ ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่ออกมาประกาศเตือนนักท่องเที่ยวประเทศตน ที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
การที่ประเทศอื่นประกาศเตือนนักท่องเที่ยวของตน ที่จะมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้คนไทยที่เดิมอาจจะไม่ค่อยทราบเกี่ยวกับกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากนัก ตื่นตัวเป็นอย่างมาก
ตลกร้ายเกี่ยวกับกฎหมายใหม่นี้ ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า ร้านอาหารทั่วไปที่มีลูกค้านั่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากเผอเรอดื่มจนเกินเวลาที่กำหนด ทั้งเจ้าของร้านและลูกค้าจะถูกปรับเป็นจำนวนเงินถึง 10,000 บาท
แต่ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับเดิม ที่ลงนามเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2568 ยกเว้นการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยให้ถือว่ากระทำได้แม้ในเวลาที่ห้ามจำหน่ายในสถานที่ดังต่อไปนี้คือ การขายในอาคารที่ให้บริการกับผู้โดยสารในสนามบิน ที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ, ขายในสถานบริการตามที่กำหนดเวลาเปิด-ปิดของสถานบริการ, ขายในโรงแรม
นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วไปที่เป็นรายเล็กกับสถานบริการ หรือโรงแรมที่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่
ความหมายคือ ร้านอาหารทั่วไปขนาดเล็ก ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาที่ควบคุมไม่ได้แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เป็นสถานบริการ หรือโรงแรม และสนามบิน ขายได้...เอวัง มีด้วยประการ เช่นนี้
หากย้อนไปถึงประเด็นการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลา 14.00-17.00 น. มีที่มาจากประกาศคณะปฏิวัติ เมื่อ พ.ศ. 2515 ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อห้ามและปรามพนักงานและข้าราชการบางส่วนในสมัยนั้น ที่ทานอาหารและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลากลางวัน จนล่วงเลยเวลาทำงาน และไม่สามารถทำงานได้
นอกจากนี้ อาจมีเจตนาที่ดีเพื่อสกัดกั้นเยาวชนและคนทั่วไป ให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ดีพอสมควร
ปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจและการแข่งขันทางธุรกิจในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังถือว่า ลำบาก อาจมีธุรกิจบางอย่างที่ดำเนินไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหา แต่ถือว่าเป็นส่วนน้อย
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) ประเมินว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และธุรกิจต่อเนื่องที่เป็นร้านอาหาร โรงแรม การท่องเที่ยว มีมูลค่าสูงถึง 6 แสนล้านบาทต่อปี และเชื่อมโยงกับสถานประกอบการกว่า 312,000 แห่งทั่วประเทศ
ล่าสุด รัฐบาลได้ตระหนักและเห็นความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยจะทบทวนเกี่ยวกับกำหนดเวลา และสถานที่ในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ และสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีโดยจะแก้ไขด้วยการออกเป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
กฎหมายที่บัญญัติไว้และมีผลบังคับใช้ เมื่อเวลาผ่านไป ยุคสมัยเปลี่ยนไปจากที่เคยทันสมัยและเหมาะสมในสมัยหนึ่ง อาจกลายเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี