ศาลสั่งจำคุกแก๊งดูหมิ่นสถาบัน คนละ 3 ปี กล่าวโจมตีสถาบันหน้าสถานทูตเยอรมนี ปี'64 ลดโทษเหลือคุกคนละ 2 ปี รอการลงโทษ 1 คน อีก 2 คนไม่รอการลงโทษ
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ศาลอ่านคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบัน ที่หมายเลขดำ อ.2204/2567 ที่พนักงานอัยการ คดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นโจทก์ฟ้อง นายชาติชาย , นายณวรรษ และ น.ส.ฉัตรรพี ทั้งหมดขอสงวนนามสกุล เป็นจำเลยที่ 1 - 3 ตามลำดับความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ฯลฯ
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 จำเลยทั้งสามร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ในระหว่างการชุมนุมสาธารณะที่บริเวณหน้าสถานทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย ถนนสาทรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร โดยแบ่งหน้าที่กันทำ กล่าวคือ จำเลยทั้งสามทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้เข้าร่วมชุมนุมกล่าวปราศรัยแก่ผู้ร่วมชุมนุมบริเวณหน้าสถานทูตฯ โดยจำเลยที่ 1 ทำหน้าที่กล่าวปราศรัยแก่ผู้ที่มาร่วมชุมนุม ให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ และแจ้งความประสงค์ในการชุมนุมเพื่อยื่นหนังสือต่อสถานทูตฯ รวมทั้งจะมีการอ่านคำแถลงการณ์ให้ที่ชุมนุมทราบ พร้อมทั้งกล่าวในที่ชุมนุมวิพากษ์วิจารณ์การปกครองของประเทศในปัจจุบัน ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่อ่านคำแถลงการณ์ฉบับภาษาไทยที่จัดเตรียมมาให้ประชาชนที่ร่วมชุมนุมฟัง ต่อมาจำเลยที่ 3 กับพวกอีก 2 คน เป็นตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปยื่นหนังสือต่อสถานทูตฯ เมื่อกลับออกมาจำเลยที่ 3 ได้ชี้แจงกับกลุ่มผู้ชุมนุมว่าได้ยื่นหนังสือแล้วและขอบคุณผู้เข้าร่วมชุมนุม
พวกจำเลยให้กาปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งสามแล้ว เห็นว่า คำแถลงการณ์ในการชุมนุมเป็นการกล่าวยืนยันว่าประเทศไทยปกครองในระบอบกึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีลักษณะเป็นการกล่าวข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ทำให้ประชาชนที่หลงเชื่อเข้าใจไปได้ว่า ในรัชกาลปัจจุบันอำนาจอธิปไตยไม่ได้เป็นของปวงชนชาวไทยอีกต่อไป และเป็นการแฝงการตำหนิติเตียนพระมหากษัตริย์ ทั้งเป็นคำกล่าวเฉพาะเจาะจงว่าไม่ได้กล่าวถึงบุคคลอื่นหรือประเด็นอื่นนอกเหนือจากอำนาจการปกครองของพระมหากษัตริย์ที่มีเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาประกอบกับข้อความโพสต์ในเพจเฟซบุ๊กของกลุ่ม "ทะลุฟ้า-Thalufah" และข้อความโพสต์ในเพจเฟซบุ๊กของกลุ่ม "แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม" เป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นเจตนาในคำแถลงการณ์ได้อย่างแจ้งชัดว่าเป็นการกล่าวถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 การที่จำเลยที่ 1 แจ้งว่าจะมีการอ่านคำแถลงการณ์ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้อ่านคำแถลงการณ์ จำเลยที่ 3 เดินเข้าไปยื่นหนังสือต่อสถานทูตเยอรมนีซึ่งเชื่อได้ว่าเอกสารหนังสือดังกล่าวเป็นคำแถลงการณ์ มีลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำและเป็นการยอมรับผลการกระทำซึ่งสามารถเล็งเห็นผลได้ว่าถ้อยคำแถลงการณ์ดังกล่าวจะถูกเผยแพร่และส่งมอบให้กับบุคคลที่สาม เห็นได้ชัดเจนว่าคำแถลงการณ์เป็นคำกล่าวที่ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจได้ว่ากล่าวถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 และเป็นคำหมิ่นประมาทน่าจะทำให้พระมหากษัตริย์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังจากเหตุต่างๆ ที่ระบุไว้ในคำแถลงการณ์ จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ตามที่โจทก์ฟ้อง
สำหรับความผิดฐานร่วมกันทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีการอื่นใดเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย หรือเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 นั้น ทางนำสืบของโจทก์และจำเลยได้ความว่า การนัดหมายรวมตัวมาชุมนุมและการชุมนุมตามสถานที่ต่างๆ และผู้ร่วมชุมนุมให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานตำรวจทั้งหลังจบการชุมนุมจำเลยทั้งสามก็ไม่ได้มีการแจ้งให้ผู้ใดไปกระทำการใดต่อไป หรือมีการนัดหมายใดๆ เพิ่มเติมอีก กลุ่มผู้ชุมนุมแยกย้ายโดยไม่มีการข่มขู่ว่าจะใช้กำลั'ประทุษร้าย หรือใช้กำลังประทุษร้ายเจ้าพนักงานตำรวจ หรือกระทำการให้เกิดความวุ่นวาย หรือทุบทำลายสิ่งของให้เกิดความเสียหายแต่อย่างใด โดยไม่ได้มีการนัดหมายว่าจะไปพบที่ไหนวันเวลาใด โจทก์ไม่ได้นำสืบเห็นว่ามีข้อความตอนใดอันจะเป็นการยุยง ปลุกปั่น เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนอันจะเป็นความผิดตามมาตราดังกล่าว พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีข้อบ่งชี้และเชื่อมโยงให้เห็นได้อย่างแน่ชัด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนี้ให้แก่จำเลยทั้งสาม
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี
พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีตามทางนำสืบโจทก์และจำเลยทั้งสามแล้ว ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้ร่วมก่อตั้งหรือเป็นสมาชิกสำคัญของกลุ่มเคลื่อนไหวซึ่งเป็นผู้จัดการชุมนุมที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุในครั้งนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามมีลักษณะรับอาสาทำการงานเฉพาะหน้าตามที่ได้รับมอบหมายให้กล่าวปราศรัยอ่านคำแถลงการณ์ตามที่มีการจัดเตรียมไว้ และประกาศแจ้งความคืบหน้าให้ผู้ชุมนุมทราบเพื่อให้การชุมนุมได้สำเร็จตามที่ผู้จัดการชุมนุมสั่งการวางแผนไว้ทั้งไม่ปรากฏจำเลยทั้งสามมีส่วนร่วมในการจัดทำคำแถลงการณ์ที่หมิ่นประมาทตามคำฟ้อง ส่อแสดงว่าจำเลยทั้งสามเป็นเครื่องมือของกลุ่มผู้จัดการชุมนุมอันเป็นเหตุให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องโดยไม่รู้เท่าทัน ขาดการตรึกตรองยั้งคิด และกระทำการไปโดยปราศจากการคิดคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมส่วนรวม จึงนับเป็นเรื่องปกติวิสัยธรรมดาของสังคมในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมสะท้อนสภาพและเสนอแนะแนวทางแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนวิถีในสังคมเพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เพื่อเป็นสังคมอารยะ แต่การกระทำที่จะมีส่วนร่วมดังกล่าว ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและไม่เป็นการละเมิดสิทธิผู้อื่นเพราะบุคคลทุกคนย่อมได้รับการปกป้องคุ้มครองภายใต้กฎหมายเดียวกัน ถ้อยคำแถลงการณ์ตามคำฟ้องแม้จะเป็นการสะท้อนสภาพการเมืองการปกครองในทัศนคติส่วนตนหรือกลุ่มบุคคลใดก็ตาม แต่ก็หาได้มีการดำเนินการเสนอเพื่อแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนวิถีให้เป็นไปตามครรลองของกฎหมาย ทั้งยังเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงและไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุน จึงหาใช่เป็นการแสดงความเห็นหรือติชมโดยสุจริต แต่มีลักษณะเป็นการกระทำที่มุ่งให้ร้ายและปรักปรำเป็นประการสำคัญ และเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงต่อประชาชนที่อาจทำให้ประชาชนที่มีความเห็นผิดหรือไม่มีความรู้จริงเกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องได้โดยง่าย พฤติกรรมการกระทำดังกล่าวนี้เป็นการกระทำที่ไม่อยู่ภายใต้ความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง และไม่มีบทบัญญัติกฎหมายยกเว้นว่าการกระทำนี้ไม่เป็นความผิดหรือมีเหตุให้ไม่ต้องรับโทษในการกระทำความผิดไว้ จำเลยทั้งสามย่อมต้องรับผลแห่งการกระทำของตนตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ทางนำสืบจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นควรลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี
ทั้งนี้ ในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปรากฏว่า ศาลอาญามีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยไม่รอการลงโทษและยังไม่มีคำพิพากษาศาลสูงเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 จึงไม่อาจรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ โดยให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.953/2566 ของศาลอาญาข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
สำหรับจำเลยที่ 3 เมื่อไม่ปรากฏว่าเคยรับโทษจำคุกมาก่อน จำเลยที่ 3 ยังมีโอกาสที่จะแก้ไขปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นเพื่อเป็นพลเมืองดีของสังคมได้ และการถูกดำเนินคดีนี้น่าจะทำให้จำเลยที่ 3 เข็ดหลาบไม่หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีก โทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี แต่เพื่อเป็นการติดตามและควบคุมพฤติกรรมความประพฤติของจำเลยที่ 3 จึงเห็นควรให้คุมความประพฤติจำเลยที่ 3 ไว้มีกำหนด 1 ปี โดยกำหนดเงื่อนไขให้จำเลยที่ 3 ละเว้นการคบหาสมาคมหรือการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำผิดในทำนองเดียวกันอีก และให้เข้ารับคำปรึกษาที่คลินิกจิตสังคมของศาลเพื่อจะได้สอบถาม แนะนำ ช่วยเหลือ หรือตักเตือนตามที่เห็นสมควรในเรื่องความประพฤติจำนวน 4 ครั้ง ภายในระยะเวลาและความถี่ที่กำหนด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
โดยจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งให้ส่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวของจำเลย ส่งศาลอุทธรณ์พิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี