วันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
“กองทัพไทย” เปิดหลักฐาน AOT-TH ยันชัดทุ่นระเบิด PMN-2 ภูมะเขือเป็นของใหม่ ทำทหารไทยเสียขา พบเขมรฝังทุ่นใหม่อื้อในเขตแดนไทยทั้งหมด
ยังเก็บกู้ไม่ได้ เสี่ยงอันตราย ยันมีหลักฐานทางกายภาพ พิกัดภูมิศาสตร์ ภาพถ่าย วิดีโอ เป็นเชิงประจักษ์ “กองทัพภาค 2” แฉทหารเขมรขโมยลวดหนามออกจากพื้นที่ชายแดน บริเวณช่องระยี-ช่องเปรอ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ คาดอาจล่อทหารไทยเหยียบกับระเบิด แหล่างข่าวเผย ทหารกัมพูชาใช้อาคารกาสิโน เป็นฐานที่ตั้งโดรนใช้บินสอดแนมไทย “มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน” มอบโดรนฝีมือคนไทยอีก 100 ลำ ให้กองทัพบก“ปานเทพ”เผย“บวรศักดิ์”เล็งถกยกเลิก MOU 43-44
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 กองบัญชาการกองทัพไทย ออกประกาศเปิดเผยรายงานผลการตรวจสอบของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย (ASEAN Observer Team- Thailand: AOT-TH) ต่อเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดบริเวณพื้นที่ภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ โดยผลการสังเกตการณ์ยืนยันชัดเจนว่า ทุ่นระเบิดที่พบเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 ที่ถูกฝังใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าตามที่กองทัพกัมพูชาอ้างแต่อย่างใด
คณะAOT-TH ได้ลงพื้นที่ทันทีหลังเกิดเหตุ และจากการประเมินสภาพหน้าดิน รูปแบบการวางทุ่น และร่องรอยการฝัง พบว่าทุ่นระเบิด PMN-2 ถูกฝังในช่วงเหตุปะทะล่าสุด ลักษณะตรงกับทุกเหตุการณ์ก่อนหน้าในความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งทุ่นระเบิด PMN-2 ที่พบในแต่ละครั้งล้วนเป็นการฝังใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าที่ตกค้างตามคำกล่าวอ้างของฝ่ายกัมพูชา
จากการตรวจสอบของหน่วยวิศวกรรมร่วมกับ AOT-TH ยังพบสัญญาณบ่งชี้ว่าพื้นที่ดังกล่าวอาจมีการฝังทุ่นระเบิดเพิ่มเติม และยังไม่สามารถเข้าดำเนินการเก็บกู้ได้ในทันทีเนื่องจากความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
นอกจากนี้ คณะ AOT-TH ได้ยืนยันพิกัดจุดพบทุ่นระเบิดทุกจุดด้วย GPS โทรศัพท์มือถือ (Google Map) ร่วมกับแผนที่ภูมิประเทศอย่างเป็นระบบ ผลการตรวจสอบชัดเจนว่า ทุกตำแหน่งอยู่ในดินแดนของไทยทั้งหมด ไม่มีจุดใดอยู่นอกเขตแดนไทย
ที่สำคัญ หัวหน้าคณะ AOT-TH ได้ตรวจสอบ โทรศัพท์มือถือส่วนตัวของทหารกัมพูชา ซึ่งถูกทิ้งไว้ขณะถอนกำลังบริเวณภูมะเขือ ภายในโทรศัพท์พบภาพถ่าย วิดีโอ และข้อมูลการลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ที่เป็นของฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน โดยมีภาพการวางและขุดฝังทุ่นระเบิด PMN-2 รวมถึงภาพการปฏิบัติของทหารกัมพูชาในพื้นที่ ซึ่งถือเป็น หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันได้ว่าทุ่นระเบิดถูกฝังโดยฝ่ายกัมพูชาในเขตแดนไทย
คณะสังเกตการณ์ยังระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวเคยใช้เป็นฐานปฏิบัติการส่วนหน้าในช่วงการปะทะ และมีความเป็นไปได้สูงว่าทุ่นระเบิดถูกฝังในห้วงสถานการณ์ความตึงเครียดล่าสุด ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าที่เหลืออยู่ในพื้นที่ตามการชี้แจงของฝ่ายกัมพูชา
กองบัญชาการกองทัพไทยขอย้ำว่า ข้อมูลทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่มาจากการสังเกตการณ์โดยตรง หลักฐานทางกายภาพ พิกัดภูมิศาสตร์ ภาพถ่าย วิดีโอ และการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ โดยคณะ AOT-TH ซึ่งมีความเป็นกลาง โปร่งใส และปฏิบัติตามมาตรฐานสากลทุกขั้นตอน โดยประเทศไทยปฏิบัติตามทุกข้อตกลงภายใต้กรอบกลไกทวิภาคี ไม่ว่าจะเป็น GBC, JBC หรือข้อตกลงการสังเกตการณ์ร่วมทุกฉบับ พร้อมดำเนินงานตามหลักสันติวิธี ความโปร่งใส และมาตรฐานสากลมาโดยตลอด เพื่อคลี่คลายสถานการณ์อย่างสร้างสรรค์และรักษาความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศเป็นสำคัญ
ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยยังพบพฤติการณ์จากฝ่ายกัมพูชาที่ให้ข้อมูลไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในหลายเวทีการหารือ ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการเจรจาและความเชื่อมั่นในกลไกความร่วมมือ
ทั้งนี้ กองบัญชาการกองทัพไทยยังคงเดินหน้าตามกลไกทวิภาคีทุกระดับอย่างโปร่งใส ชัดเจน และตรวจสอบได้ เพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏต่อประชาคมในทุกเวทีที่เกี่ยวข้อง และเพื่อปกป้องอธิปไตย-บูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างมั่นคงต่อไป
ขณะเดียวกัน กองทัพภาคที่ 2 ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณชน กรณีที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่กัมพูชานำลวดหนามหีบเพลงออกจากพื้นที่ชายแดน พร้อมมีการกล่าวอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของทหารไทย จากการตรวจสอบของหน่วยเฉพาะกิจที่ 2 กองกำลังสุรนารี ยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงในพื้นที่รอยต่อระหว่าง ช่องระยี–ช่องเปรอ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ โดยเมื่อวันที่ 23 พ.ย.2568 เวลาประมาณ 09.00 น. ขณะกองร้อยทหารพรานที่ 2101 ปฏิบัติภารกิจวางแนวรั้วลวดหนาม เพื่อควบคุมพื้นที่และป้องกันการรุกล้ำจากฝ่ายกัมพูชา เจ้าหน้าที่ชุดที่กำลังปฏิบัติงานได้รับรายงานจากชุดระวังป้องกันว่า มีกำลังทหารกัมพูชาประมาณ 20 นายเคลื่อนที่เข้ามาใกล้จุดปฏิบัติงาน จึงมีการหยุดภารกิจชั่วคราวและจัดกำลังที่ออกปฏิบัติงานเข้าไปเจรจา ซึ่งอยู่ห่างจากจุดวางลวดหนามประมาณ 200 เมตร เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ
จากการพูดคุยนานประมาณ 20 นาที เจ้าหน้าที่กัมพูชาถอนกำลังกลับไปยังพื้นที่ของตนเอง แต่เมื่อหัวหน้าชุดทหารพรานได้นำกำลังที่เข้าไปเจรจากลับมายังจุดเดิม พบว่าลวดหนามหีบเพลงที่เตรียมไว้สำหรับวางแนวควบคุมได้หายไป หลังจากตรวจพบว่าลวดหนามสูญหาย หน่วยได้ควบคุมพื้นที่วางกำลังป้องกันโดยรอบ และได้มีการตรวจสอบวัตถุระเบิดในพื้นที่อย่างละเอียด ปัจจุบันหน่วยวางกำลังควบคุมพื้นที่ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และได้นำลวดหนามใหม่เข้าไปติดตั้ง และพร้อมปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จากการประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวมีความเสี่ยงต่อการซุกซ่อนวัตถุอันตราย เช่น กับระเบิดและทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (PMN-2) เป็นต้น และอาจเป็นเล่ห์เหลี่ยมของทหารกัมพูชาที่หลอกล่อให้ทหารเราติดตามเข้าไปในพื้นที่สังหาร
นอกจากนี้ แหล่งข่าวกองทัพภาคที่ 2 ได้เปิดเผยความเคลื่อนไหวชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า มีการตรวจพบฝ่ายกัมพูชาใช้อาคารกาสิโนตามแนวชายแดนเป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร โดยใช้เป็นฐานที่ตั้งของโดรนเพื่อปฏิบัติการกับฝ่ายไทย ซึ่งปัจจุบันนี้พบว่าฝ่ายกัมพูชาใช้โดรนในการบินสอดแนมฝ่ายไทย อีกทั้งอาคารกาสิโนเป็นคอนกรีตแข็งแรง จึงใช้เป็นที่กำบังทางทหารอีกด้วย
พลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวขอบคุณประชาชนทุกภาคส่วนที่ให้กำลังใจทหาร และขอบคุณมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ที่มอบอุปกรณ์ในการปฏิบัติงาน โดยจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการป้องกันประเทศชาติ โดยกองทัพบก และกองทัพภาคที่ 2 ขอให้ความมั่นใจกับประชาชนว่า จะทำหน้าที่ในการปกป้องประเทศชาติด้วยความตั้งใจ เพื่อแผ่นดิน และเพื่อพี่น้องของเรา ขอให้มั่นใจใน กองทัพภาคที่ 2 และกองกำลังสุรนารี รวมถึงพี่น้องทหารทุกคน ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ โดยยืนยันจะปฎิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด
วันเดียวกัน นายปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน และคณะมอบอากาศยานไร้คนขับ (Drone) 100 ระบบ รวมมูลค่า 19 ล้านบาท ให้กับกองทัพบก เพื่อสนับสนุนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีพลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นตัวแทนผู้รับมอบ และมีพลโท บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีฯ
นายปานเทพ กล่าวว่า สำหรับโดรนที่ทำ รุ่นนี้ขออนุญาตไม่เปิดเผยรายละเอียด เนื่องจากเป็นความลับทางราชการ ยืนยันว่า ไม่ใช่เห็นว่า กองทัพไม่มีงบฯ แต่สถานการณ์โดรน และแอนตี้โดรนในยุคปัจจุบันเป็นการแข่งขันแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงในสงครามคลื่นความถี่ได้ทุกสัปดาห์ มีการพัฒนามากขึ้น เพราะฉะนั้นการทำสงครามเช่นนี้ จึงต้องทำความเร็วต่อสารสถานการณ์ ซึ่งโดรนทุกตัวเป็นของคนไทย และไม่อาจเปิดเผยวิธีการทำงานได้แต่ใช้การพูดคุยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดพัฒนาโดยฝีมือคนไทย
นอกจากนี้ นายปานเทพ ยังมอบหนังสือ 3 เล่มให้กับอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 และแม่ทัพภาคที่ 2 คนปัจจุบัน คือ หนังสือชื่อแผ่นดินของเรา, เอกสารที่สำคัญ ซึ่งเป็นคำแปลของบรรพบรรพบุรุษไทย ในการต่อสู้เรื่องปราสาทเขาพระวิหาร และเอกสารที่อยู่ในคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU2543-2544 สภาผู้แทนราษฎร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี